เจียงซุ่ยฮวนนึกในใจ หากขาดลมหายใจเป็นเวลานาน ก็อาจกลายเป็นมนุษ์ผักไร้วิญญาณ ฉู่อี้ถูกฝังอยู่เช่นนี้มานานเพียงใดกัน นางลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวแก่เฉียนจิงอี๋ "ตามข้ามา ข้ามีถ้อยคำจะถาม""ได้" เฉียนจิงอี๋เดินผ่านกู้จิ่น สายตาส่อแววท้าทาย "มิคาดคิดว่าวันหนึ่งข้าจักได้สนทนากับหมอเจียงตามลำพัง นับเป็นเกียรติอันสูงส่ง"กู้จิ่นเดินตามมาด้านหลังด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เฉียนจิงอี๋ขมวดคิ้วกล่าวว่า "องค์ชายแห่งเป่ยโม่ หมอเจียงประสงค์จะสนทนากับข้าตามลำพัง ท่านก็มิจำเป็นต้องตามมากระมัง!""ข้าพึงพอใจเช่นนั้น เจ้ามีความเห็นขัดแย้งหรือไร" กู้จิ่นย้อนถาม"...มิมี""เช่นนั้นก็จงหุบปาก"เฉียนจิงอี๋หยิบลูกวอลนัทสองลูกออกมา ใบหน้าดำทมิฬ เริ่มหมุนวอลนัทเล่นในมือเจียงซุ่ยฮวนเหลียวมองเขา "ข้าถามเจ้าหนึ่งข้อ ที่นี่ไร้ผู้อื่น เจ้าต้องตอบด้วยความจริงทั้งมวล""ถามมาเถิด""ฉู่อี้ถูกฝังในดินเมื่อใด""ค่ำคืนของเมื่อวานนี้""เจ้าแน่ใจหรือ"เจียงซุ่ยฮวนกล่าวเสียงเฉียบขาด "ใต้ดินนั้นไร้อากาศ วันนี้หิมะโปรยปราย หากถูกฝังตั้งแต่เมื่อคืนวาน ยามนี้ย่อมเย็นชืดแล้ว มิอาจมีชีพจรเช่นนี้ได้"ลูกวอลนัทในมือเฉียนจิงอี๋ส่ง
กู้จิ่นมีหอสะสมของล้ำค่าที่เต็มไปด้วยสมบัติอันหายากนานาชนิด เขาต้องรู้แน่ว่านี่คือสิ่งใดเจียงซุ่ยฮวนค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของกู้จิ่น แม้เขามิได้หันหลังกลับมา แต่ฝีก้าวกลับช้าลง"ท่านอ๋องเพคะ ท่านพอจะดูได้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด"เขาก้มศีรษะลงมองเล็กน้อย แววตาวาบขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ได้มาจากที่ใดกัน"เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปที่ฉู่เฉิน แล้วกระซิบเสียงเบาว่า "เมื่อครู่มันลอยเข้าไปในปากของเขา"กู้จิ่นไม่รู้จะกล่าวเช่นไรในชั่วขณะ ส่ายหน้าพลางตอบว่า "คนโง่ช่างโชคดีนัก"ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ทราบทันทีว่านี่เป็นของดี ฉู่เฉินยืดอกอย่างภาคภูมิใจพลางกล่าวว่า "ข้าโชคดีน่ะ"เจียงซุ่ยฮวนกลับสนใจมากกว่าว่านี่คืออะไร นางมองกู้จิ่นอย่างเฝ้ารอคำตอบกู้จิ่นกล่าวว่า "ที่นี่ไม่สะดวกที่จะพูด รอกลับไปแล้ว ข้าจะเขียนบอกและให้ชางอี้นำไปส่งให้เจ้า เพียงดูเจ้าก็จะเข้าใจ"นางพยักหน้าหลายครั้ง "อืม อืม"ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทรกเล็กๆ น้อยๆ นี้ ฉู่เฉินเดินต่อไปด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ร่างกายเบาหวิวดั่งล่องลอยหลบหลีกกระดูกขาวบนพื้นราวกับกำลังเต้นรำเหล่าองครักษ์เสื้อแพรมองฉู่เฉินอย่างฉงน หัวหน้าองครักษ์เอ่ยถ
เขาตั้งใจจะกล่าวโทษไปที่กู้จิ่น ทว่ามิคาดคิดว่ากู้จิ่นเพียงประโยคเดียวก็โยนเอาความผิดกลับมาที่เขา ทำให้เหล่าองค์รักษ์เสื้อแพรที่อยู่ในที่นั้นต่างมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจหัวหน้าองค์รักษ์เสื้อแพรเอ่ยอย่างเหลืออดว่า "ท่านผู้นี้ พวกเรามีกันมากมายเพียงนี้ แต่มีเพียงท่านเท่านั้นที่รู้ว่าองค์ชายแปดถูกฝังไว้ที่ใด เหตุใดท่านจึงยังลังเลอยู่"เขากัดฟันแน่น ก้าวเท้ายาวๆ เดินนำหน้าไป "ตามข้ามาเถิด"องค์รักษ์เสื้อแพรหลายสิบนายตามไป กู้จิ่นค่อยๆ เดินตามอย่างไม่เร่งรีบ แล้วกระซิบเสียงที่มีเพียงตนและเจียงซุ่ยฮวนเท่านั้นที่ได้ยินว่า "อาฮวน ติดตามข้าให้ดี"เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้าเบาๆ "เพคะ"ฉู่เฉินเดินติดตามทั้งสองคนอย่างใกล้ชิด มองกระดูกขาวที่เกลื่อนกลาดบนพื้น หลายครั้งเกือบเหยียบกระดูกเข้า อดรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้ "ที่นี่มีโครงกระดูกมากมายเหลือเกิน!"เฉียนจิงอี๋ ผู้เดินนำหน้าสุด ได้ยินดังนั้นจึงหันมายิ้มแล้วกล่าวว่า "ที่นี่คือป่าช้าร้าง สิ่งที่มีมากที่สุดก็คือโครงกระดูกนั่นแหละ""ส่วนโครงกระดูกเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นของคนยากจนที่ตายไปโดยไม่มีเงินจัดงานศพ จึงต้องนำมาทิ้งที่นี่ อีกส่วนหนึ่งคือบ่าวไพร่ในบ้
บนหอบูชาฟ้าอันกว้างใหญ่เหลือเพียงผู้คนไม่กี่คน จีกุ้ยเฟยถูกอาเซียงประคองลงไป ฝ่าบาทกำลังกระซิบอะไรบางอย่างกับราชครูกู้จิ่นยืนอยู่กลางหอบูชาฟ้า สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย "กระหม่อมเคยไปป่าช้าร้างมาก่อน คุ้นเคยกับภูมิประเทศที่นั่นดี จะสามารถหาองค์ชายแปดได้เร็วกว่า"ฝ่าบาทโบกมือ "ไปเถิด""หากว่าเจ้าแปด..." ฝ่าบาทพูดไม่จบ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า "เจ้าจงจำไว้ให้เปลี่ยนอาภรณ์สะอาดให้เขาด้วย""พ่ะย่ะค่ะ" กู้จิ่นพยักหน้า จากนั้นร่างก็กระโดดขึ้น สองเท้าแตะพื้นเบาราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ ทะยานจากหอบูชาฟ้าไปยังข้างกายเจียงซุ่ยฮวนและเฉียนจิงอี๋เขาเอามือไพล่หลัง เดินตรงผ่านระหว่างทั้งสองคนไป แยกระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่"ไปกันเถอะ"เจียงซุ่ยฮวนในใจยินดียิ่งนัก แต่ไม่อาจแสดงออกชัดเจนเกินไป จึงยกมือขึ้นกระแอมเบาๆ หนึ่งที ก้าวเท้าตามไปเฉียนจิงอี๋ยืนอยู่กับที่ สีหน้าไม่สู้ดีนักกู้จิ่นก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว เห็นเฉียนจิงอี๋ไม่ตามมา จึงหันกลับมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา "ยังไม่รีบอีกหรือ หากเสียเวลาในการช่วยเหลือองค์ชายแปด เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ"เขาหน้าเขียวตามไปม้าที่อยู่ไม่ไกลเตรียมพร้อมแล้ว นอกจากรถม้า
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ หัวใจของจีกุ้ยเฟยพลันบีบรัดด้วยความตระหนก "คนในกระสอบป่านนั้น... เป็นอี้เอ๋อร์หรือไม่""ยามนั้นเป็นเวลาดึกดื่น ข้าน้อยมิอาจเห็นได้ชัดเจนนัก เพียงแต่สังเกตเห็นอาภรณ์ที่ผู้นั้นสวมใส่ ดูมิใช่ของราคาถูกแต่อย่างใด"เฉียนจิงอี๋กระแอมเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อว่า "บุรุษร่างเตี้ยขุดหลุมลึกใต้ต้นไม้แห้ง แล้วนำร่างนั้นฝังลงไป ครู่ต่อมา เขาแบกกระสอบป่านอีกใบมา ครานี้กระสอบเล็กกว่า ข้างในดูราวกับเป็นทารกน้อย""บุรุษร่างเตี้ยโยนทารกลงไปในหลุมเดียวกัน แล้วกลบดินจนมิดแน่น ในยามที่ข้าน้อยคิดว่าพวกเขากำลังจะจากไป บุรุษร่างสูงกลับลงมือสังหารบุรุษร่างเตี้ย โยนร่างไว้ข้างทางอย่างไร้ความปรานี แล้วหมุนกายจากไป""ข้าน้อยไม่อยากนำพาตนเองเข้าสู่เรื่องยุ่งยาก จึงรีบออกจากป่าช้าร้างนั้นก่อนฟ้าสาง ตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ แต่เมื่อครู่นี้ข้าน้อยคิดอย่างถี่ถ้วน เงาร่างของบุรุษสูงในคืนวานช่างคล้ายคลึงกับองค์ชายหนานหมิงยิ่งนัก"เฉียนจิงอี๋ประสานมือไว้เบื้องหน้า โค้งกายลงต่ำกล่าวว่า "ข้าน้อยไม่กล้าหลอกลวงฝ่าบาท ทั้งไม่อยากเห็นองค์ชายแปดผู้ทรงอำนาจเช่นนี้ต้องสิ้นชีพอย่างไร้ความกระจ่าง ด้วยเหตุนี้
จีกุ้ยเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นลืมตาขึ้นฉับพลัน ร้องเรียกนามหนึ่งด้วยเสียงแหลมสูง"สวี่เหนียน!"มิใช่ฉู่อี้ แต่กลับเป็นสวี่เหนียนเสียนี่"โอ๊ะ" เจียงซุ่ยฮวนดูอย่างสนอกสนใจยิ่ง รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้นำถั่วลิสงหรือเมล็ดแตงมาด้วยสักสองกำมือ รู้สึกว่ามือนั้นว่างเปล่าเหลือเกินฉู่เฉินมองไปรอบๆ แล้วรีบยัดถั่วลิสงหนึ่งกำมือใส่มือของเจียงซุ่ยฮวน "ข้าคิดว่าพิธีบวงสรวงใหญ่คงจะน่าเบื่อ ก่อนออกจากประตูจึงซุกถั่วลิสงใส่แขนเสื้อไว้บ้างเพื่อฆ่าเวลา""เจ้าจงกินอย่างเงียบๆ อย่าให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด"เจียงซุ่ยฮวนซ่อนถั่วลิสงไว้ แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า "อาจารย์ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ค่าเดินทางของท่านไปเจียงหนาน ข้าจะออกให้เอง"บนหอบูชาฟ้า ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย "สวี่เหนียนเป็นผู้ใดกัน"จีกุ้ยเฟยได้สติ ตอบอย่างรวดเร็วว่า "ฝ่าบาท สวี่เหนียนเป็นขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายหม่อมฉัน ทุกครั้งที่หม่อมฉันฝันร้าย เขาผู้นี้คือผู้รับผิดชอบในการจุดธูปหอมสงบจิต"ฮ่องเต้นึกขึ้นได้ ในวังของจีกุ้ยเฟยมีขันทีน้อยแซ่สวี่อยู่จริงจีกุ้ยเฟยกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วซบเข้าในอกของฮ่องเต้ สะอื้นร่ำไห้ว่า "หม่อมฉันฝันร้ายเห็นอี