“ไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากที่ข้าเปิดดูโดยมิได้ตั้งใจ แต่กลับพบว่าบนม้วนหนังสือนั้นไม่มีแม้แต่ตัวอักษรสักตัวเดียว เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”กู้จิ่นนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “โยนมันทิ้งเสียเถิด นั่นเป็นเพียงมายาบังตา ม้วนหนังสือตัวจริงได้ถูกย้ายไปแล้ว”เจียงซุ่ยฮวนชะงักงัน ม้วนหนังสือในมือร่วงหล่นลงสู่พื้นนางตั้งสติได้ในไม่ช้า แล้วเอ่ยถามด้วยความไม่อาจเชื่อ “ท่านจงใจวางเพลิงอย่างนั้นหรือ”“อืม” กู้จิ่นพยักหน้า “เป็นข้าลงมือวางเพลิงด้วยตนเอง”“เหตุใดหรือ” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยอย่างเจ็บใจ วังอันงามสง่ากลับถูกเผาวอดไปในเวลาเพียงชั่วครู่ เช่นนี้ต้องสูญเสียเงินทองไปเท่าใดกันทว่าเงินทองเหล่านี้ สำหรับกู้จิ่นแล้วหาใช่สิ่งสำคัญไม่ เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาของเจียงซุ่ยฮวน แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อาฮวน ข้าจักต้องออกจากเมืองหลวงอยู่สักระยะหนึ่ง”“ช่วงนี้มีเรื่องที่ต้องทำมากมายนัก แม้ข้าจะวางแผนไว้แล้ว แต่ก็หาได้มีโอกาสบอกเจ้าไม่ อีกทั้งแผนยังถูกเร่งให้เร็วขึ้น ข้าจึงจำต้องลอบทำก่อนแล้วจึงแจ้งให้เจ้าทราบ”เจียงซุ่ยฮวนก้มหน้าลง น้ำเสียงแผ่วเบาไร้ซึ่งอารมณ์ “ท่านจะไปที่ใดหรือ”“แคว้นเฟิ่งซี” กู้จิ่น
จวนองค์ชายเป่ยโม่ที่ครั้งหนึ่งเคยงดงามยิ่งใหญ่ บัดนี้กลายเป็นหม้อนึ่งขนาดมหึมา ห่อหุ้มเจียงซุ่ยฮวนไว้ภายในอากาศแสนร้อนระอุแม้เจียงซุ่ยฮวนจะเทน้ำทั้งถังรดใส่ตัว แต่ในอุณหภูมิเช่นนี้ น้ำก็ระเหยหมดสิ้นอย่างรวดเร็วนางวิ่งไปยังประตูห้องหนังสืออย่างไม่เกรงกลัว ห้องหนังสือมีเปลวไฟโหมโรงสูงเสียดฟ้า เหลือเพียงบานประตูเดียวที่ไม่ถูกไฟโหมกลืนกินประตูไม้สีดำมืดมิด เหมือนปากอ้ากว้างของสัตว์ป่า ขวางอยู่ตรงหน้านางดูเหมือนหากเพียงบุกเข้าไป ก็จะถูกสัตว์ป่ากลืนกินจนหมดสิ้นเจียงซุ่ยฮวนหยุดชั่วพริบตา หลังจากสะสมแรงในเวลาสั้น ๆ นางก็เตะประตูห้องหนังสือเปิดออกเมื่อไฟลุกโหมถึงเพียงนี้ แม้ประตูไม้จะหนาแน่นแข็งแรงเพียงใด ก็กลายเป็นสิ่งที่อ่อนแอไม่อาจต้านทานได้นางก้าวเท้าเข้าสู่ห้องหนังสือ ชายกระโปรงปลิวผ่านเปลวไฟที่กรอบประตู ในพริบตาก็ม้วนงออ่อนขึ้นในห้องหนังสือเต็มไปด้วยควันหนาทึบ เจียงซุ่ยฮวนถูกควันรมจนแทบลืมตาไม่ได้ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากจมูก ค้นหากู้จิ่นในห้องหนังสือห้องหนังสือใหญ่มาก นางก้มตัวค้นหาไปทั่ว แต่กลับหากู้จิ่นไม่พบได้ยินทหารรักษาการณ์บอกว่ากู้จิ่นกำลังพักผ่อนในห้องหนังสือ
ฉู่เฉินตกใจจนถึงกับลืมกระสอบที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขน รีบเร่งเอาไปยัดในมุมอย่างร้อนรน แล้วจึงติดตามเจียงซุ่ยฮวนไปพร้อมกับองครักษ์สี่คน วิ่งตรงไปยังจวนอ๋องจางรั่วรั่วก็อยากจะไปด้วย แต่ถูกองครักษ์ลับที่เหลืออยู่ขัดขวางไว้ "คุณหนูจาง ที่นั่นอันตราย ข้าต้องส่งคุณหนูกลับไปก่อน""แต่ซุ่ยฮวนไปแล้วนะ!" จางรั่วรั่วร้อนใจจนเอาเท้ากระแทกพื้น "วันนี้นางช่วยข้าไว้ ข้าจะนั่งมองดูนางไปตายเฉยๆ ไม่ได้!"แม้นางจะไม่เต็มใจเพียงใด ก็ยังถูกองครักษ์ลับส่งกลับไปยังจวนไท่ซือจวนองค์ชายเป่ยโม่เกิดไฟไหม้ ฝูงชนที่มาดูมากมายนับไม่ถ้วนเจียงซุ่ยฮวนฝ่าฝูงชนชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็ออกมาจากฝูงชนได้ที่ระยะห่างจากจวนอ๋องประมาณยี่สิบกว่าเมตรจวนองค์ชายเป่ยโม่ไม่ไกลนัก กำลังลุกโชนด้วยเปลวเพลิงลูกใหญ่ แม้องครักษ์หลายร้อยนายจะช่วยกันดับไฟ แต่ก็ยังดับไม่ได้ยิ่งเข้าใกล้ ควันหนาก็ยิ่งแสบจมูกฉู่เฉินปิดปากและจมูกไว้ แล้วจับองครักษ์ที่ถือถังน้ำอยู่คนหนึ่งถามว่า "เกิดอะไรขึ้น จวนองค์ชายเป่ยโม่มีคนใช้มากมาย ทำไมถึงเกิดไฟไหม้ใหญ่พึงเพียงนี้"องครักษ์เหนื่อยจนเหงื่อไหลเต็มหัว กล่าวว่า "ฤดูหนาวอากาศแห้ง ไม้ในเรือนฟืนลุกไหม้
เจียงซุ่ยฮวนโบกมืออย่างเหนื่อยหน่าย "เอาไปเถอะ ไม่เอาก็เสียดาย"การเดินทางครั้งนี้ลำบากยากเข็นพึงเพียงนี้ ก็ควรจะได้อะไรติดมือไปบ้างฉู่เฉินดึงกระสอบใบใหญ่ออกมาจากแขนเสื้อ ขณะเก็บของบนพื้นใส่กระสอบ ก็พูดอย่างมีความสุขว่า "กลับไปหลอมทองพวกนี้ แล้วซื้อของขวัญวันเกิดให้เจ้าเก้า"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แม้เจียงซุ่ยฮวนจะโกรธแค่ไหน ก็หายไปหมดสิ้นฉู่เฉินเก็บของบนพื้นใส่กระสอบจนหมด แล้วแบกกระสอบขึ้นกล่าวว่า "ไปกันเถอะ!""วันนี้ทุกคนลำบากกันนัก กลับไปข้าจะให้อั่งเปาทุกคน!"ทุกคนออกจากป่าช้าร้าง แล้วนั่งรถม้ากลับไปตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ เจียงซุ่ยฮวนไม่ได้นอนเกือบสองวันสามคืน เมื่อนั่งในรถม้าก็ง่วงจนแทบลืมตาไม่ขึ้นฉู่เฉินกับจางรั่วรั่วหมดสติไปสักพัก เลยมีแรงมาก นั่งกระซิบกระซาบกันอยู่ ปรึกษากันว่าจะซื้อของขวัญวันเกิดอะไรหลังจากรถม้าเข้าสู่เมืองหลวง บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มพลุกพล่านเจียงซุ่ยฮวนกำลังหลับตาพักผ่อน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนข้างรถม้าว่า "เกิดเพลิงไหม้!"นางง่วงจนมึนงง แม้เสียงจะอยู่ใกล้ๆ แต่ก็เหมือนลอยมาจากขอบฟ้าแรกๆ นางคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ จึงไม่ได้ลืมตาขึ้น
เหลียนซินยิ้มอย่างขมขื่น กล่าวว่า "ข้าใช้ชีวิตมาหลายปี จนรู้แจ้งในเรื่องหนึ่ง""เรื่องของความรัก ผู้อื่นยากจะห้ามปราม ต้องให้ผู้เกี่ยวข้องตระหนักรู้ด้วยตนเอง""หากไม่เจอกำแพงก็ไม่มีทางหันหลงกลับ ทว่าผู้คนส่วนใหญ่หาได้เจอกำแพงไม่ หากแต่เจอปมในใจตนเอง เมื่อปมนั้นคลี่คลาย กำแพงก็จักมลายไปเอง"จางรั่วรั่วยังเยาว์วัยนัก ไม่อาจเข้าใจความหมายของวาจานี้ได้ถ่องแท้ จึงเปล่งเสียง "อ้อ" ออกมาเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจเหลียนซินมองดูนางด้วยสายตาเหม่อลอย คล้ายเห็นเงาตนเองในวัยเยาว์ พลางยิ้มเล็กน้อย "ชีวิตคนเรามีเพียงหนึ่งชาติภพ สิ่งใดที่ปรารถนา สิ่งใดที่รัก ควรทำตามใจตน""หลายครั้งในยามค่ำคืน ข้าหวนคิดเสียใจที่มิได้ขวางเหลียนจื่อ ทว่าครั้นคิดอีกที หากข้าขวางนางไว้ นางอาจต้องทนทุกข์ชั่วชีวิตเพราะมิได้อยู่เคียงข้างผู้เป็นที่รัก""บัดนี้ ข้าได้พบตัวนางแล้ว เพียงเท่านี้ก็เพียงพอ"ระหว่างสนทนา เจียงซุ่ยฮวนเลิกแขนเสื้อขึ้น อสรพิษหอมมายาเลื้อยตามแขนขึ้นมาสู่ฝ่ามือ พลางแลบลิ้นออกมาอย่างเชื่อง"นางกล่าวเสียงเบา "ขออภัยจริง ๆ ต้องขอเลือดเจ้าอีกสักหน่อย"อสรพิษหอมมายาคล้ายจะฟังเข้าใจ มันส่ายหัวเล็ก
เหลียนซินส่ายหน้าว่า "ข้าไม่รู้ แม้พี่สาวจะเอ่ยถึงในจดหมายว่านางคลอดลูกชายคนหนึ่ง แต่ข้าไม่เคยพบเลย""ตอนข้าพบอาจารย์คนนั้น เขาเสียสติไปแล้ว ไม่ว่าข้าจะบีบบังคับถามอย่างไร เขาก็ไม่บอกที่อยู่ของเด็ก""บัดนี้มาคิดดู บางทีเด็กคนนั้นอาจตายไปนานแล้ว"เหลียนซินพูดจบ ก็ถอนหายใจหนักๆเจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามเสียงเรียบ "ต่อไปเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร"เหลียนซินเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า "ข้าตั้งใจจะฝังพี่สาวให้ดีๆ แล้วจึงกลับไปดูที่บ้าน""อยู่ข้างนอกมาหลายปีแล้ว คงถึงเวลากลับบ้านแล้ว"เจียงซุ่ยฮวนกล่าวว่า "ที่ได้มาพบกันที่นี่ก็เป็นวาสนาพัดพา บังเอิญว่าข้าเป็นหมอ ข้าจะดูให้ว่ายังมีหนทางช่วยเหลียนจื่อได้หรือไม่"ในที่สุดฉู่เฉินก็หาโอกาสได้ รีบพูดว่า "เจ้าเก้าของเราเก่งกาจเรื่องการแพทย์นัก ให้นางตรวจดูสักหน่อย บางทีอาจทำให้พี่สาวของเจ้าตื่นได้!"เจียงซุ่ยฮวนมองฉู่เฉินเหมือนเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง "อาจารย์ เยินยอไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก"ฉู่เฉินทำหน้าตาเอาจริงเอาจัง "นี่จะเป็นการเยินยอได้อย่างไร ข้าพูดทุกคำจากใจจริง"เหลียนซินมองเจียงซุ่ยฮวนตะลึงว่า "เจ้าเป็นหมอหรือนี่"เจียงซุ่ยฮวนถามกลับว่า "ข้าดูไม