Home / รักโบราณ / วาสนาข้ามภพ ชะตารักพลิกผัน / ๐๑ ม่านหมอกปริศนา พัดพาลอยล่อง

Share

วาสนาข้ามภพ ชะตารักพลิกผัน
วาสนาข้ามภพ ชะตารักพลิกผัน
Author: ต้นไม้แห้ง

๐๑ ม่านหมอกปริศนา พัดพาลอยล่อง

last update Last Updated: 2025-06-03 22:53:42

เดือนห้า รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก¹

ยามรัตติกาลล่วงเลย อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ดุจไอเหมันต์แผ่ปกคลุมไปทั่วสารทิศ

แม้จันทราจะทอแสงนวลผ่อง แต่ก็มิอาจขับไล่ความมืดมิดที่เข้าปกคลุมดวงจิตของ ตู้เยี่ยนอวี่ ไปได้เลย เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนเตียงไม้แข็งกระด้าง ไม่อาจขยับเขยื้อนกาย ดุจท่อนไม้ที่ถูกทอดทิ้งริมธาร ใบหน้าซีดขาวดุจกระดาษ แสงเทียนริบหรี่ในมุมห้องส่องกระทบใบหน้าของเธอ เผยให้เห็นเค้าโครงอ่อนเยาว์ที่ไม่คุ้นตา

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เสียงกระซิบแผ่วเบาเล็ดลอดจากลำคอแห้งผาก ราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง สองตาเบิกโพลง พยายามปรับโฟกัสกับภาพที่เห็นตรงหน้า

ภาพจำสุดท้ายของตู้เยี่ยนอวี่ในวัยยี่สิบสี่ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น คือแสงไฟสว่างจ้าจากรถยนต์ที่กำลังพุ่งเข้าใส่ เสียงยางบดถนน และความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วร่าง

ทว่า…

บัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับเลือนหายไปสิ้น มีเพียงความมึนงงและอาการปวดร้าวบริเวณศีรษะที่หลงเหลืออยู่

“นี่ฉันยังไม่ตายเหรอเนี่ย ?” เธอพยายามขยับนิ้วมืออย่างเชื่องช้า ความรู้สึกแปลกประหลาดไหลเวียนไปทั่วฝ่ามือ ดุจกระแสธารวารีที่ไหลวนในเส้นเลือด นิ้วมือที่เคยเรียวยาวแข็งแกร่งจากการจับเข็มฉีดยา บัดนี้กลับดูบอบบางและเล็กจ้อยยิ่งนัก

“คุณหนูฟื้นแล้ว !”

เสียงอุทานปนความยินดีของหญิงสาววัยสิบเจ็ดสิบแปดปี ผู้มีใบหน้ากลมมนน่าเอ็นดู ดวงตากลมโตเป็นประกาย นางรีบก้าวเข้ามาใกล้เตียง พลางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผากของเยี่ยนอวี่อย่างเบามือ

“เธอเป็นใคร ?” เยี่ยนอวี่พยายามเปล่งเสียงอีกครา แต่กลับแหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน

หญิงสาวผู้นั้นนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ดวงตาฉายแววกังวล

“คุณหนูจำบ่าวไม่ได้หรือเจ้าคะ บ่าวชื่อ เสี่ยวจู เป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลยนะเจ้าคะ”

เยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วแน่น

คำว่าคุณหนู และบ่าวดังก้องอยู่ในโสตประสาท ดุจระฆังยามเช้าที่ดังสนั่น ภาพในห้วงความคิดของเธอฉายซ้ำราวกับม้วนภาพยนตร์เก่า ๆ ห้องพักที่เรียบง่ายในอพาร์ตเมนต์ กลิ่นยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล เสียงอึกทึกครึกโครมของมหานคร สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นความทรงจำอันเลือนรางไปเสียแล้ว

“ที่นี่ที่ไหน ?” เธอถามเสียงแผ่วอีกครั้ง พร้อมกวาดสายตามองไปรอบห้องที่ประดับประดาด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบโบราณ ราวกับหลุดมาจากภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมกายอยู่เป็นผ้าทอหยาบ ๆ เตียงนอนทำจากไม้เนื้อแข็ง หน้าต่างไม้ที่ปิดสนิท และแสงเทียนที่ให้ความสว่างเพียงน้อยนิด ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย

เสี่ยวจูถอนหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายความกังวลถาโถมเข้ามาอีกครา

“คุณหนูคงจะทรงไข้หนักจนหลงลืมไปชั่วขณะนะเจ้าคะ นี่คือเรือนเล็กของสกุลตู้ในหมู่บ้านซีหลินเจ้าค่ะ”

หมู่บ้านซีหลิน ? สกุลตู้ ?

คำตอบเหล่านี้ยิ่งทำให้ตู้เยี่ยนอวี่สับสนงุนงงดุจอยู่ในเขาวงกต เธอพยายามนึกย้อนถึงญาติมิตร หรือแม้แต่ชื่อสกุลที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่มีใครปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเธอเลย

“ฉั- ขะ ข้าชื่อตู้เยี่ยนอวี่หรือ ?” เธอลองเอ่ยชื่อที่ได้ยินออกมาอย่างตะกุกตะกัก พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้หลุดคำพูดแปลก ๆ

เสี่ยวจูพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ สตรีที่ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่าเพียบพร้อม” นางยิ้มอย่างโล่งใจเล็กน้อย “ดูท่าคุณหนูจะดีขึ้นแล้ว บ่าวจะรีบไปแจ้งฮูหยินและท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”

กล่าวจบเสี่ยวจูก็รีบร้อนวิ่งออกไปจากห้อง ทิ้งให้ตู้เยี่ยนอวี่จมอยู่กับความคิดอันวุ่นวายดุจเส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง

“ตู้เยี่ยนอวี่ ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย” เธอพึมพำกับตนเอง พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าบอบบางของตนเอง สัมผัสที่รับรู้คือผิวที่เนียนนุ่มดุจไข่มุก และโครงหน้าที่เล็กกว่าที่เคยเป็น

“นี่ไม่ใช่ร่างของข้า” ความคิดนี้ผุดขึ้นในสมอง ดุจฟ้าผ่าลงกลางใจ “นี่ฉันทะลุมิติมาหรือนี่ ? เรื่องแบบนี้มีจริงในโลกใบนี้ด้วยหรือไงกัน ?”

ความจริงอันน่าตกใจนี้ทำให้หัวใจของตู้เยี่ยนอวี่เต้นระรัว ดุจกลองศึกที่รัวขึ้นในยามสงคราม เธอพยายามรวบรวมสติ ค่อย ๆ ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ตั้งแต่จุดจบในโลกเดิม จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาในร่างใหม่นี้

“ตอนนี้ฉันอยู่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสี่ปีสินะ” เธอทอดถอนใจยาว พลางมองสำรวจร่างกายของตนเองใต้ผ้าห่มผืนหนา “แต่ก่อนฉันเคยเป็นถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นเด็กน้อยไปเสียได้”

ความรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวเข้าครอบงำจิตใจ ดุจนกน้อยที่พลัดหลงจากรัง

ไม่มีที่พึ่งพิง สิ่งที่เคยเป็นความจริงในชีวิตของเธอตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนไปสิ้นเชิง ทว่าในความสิ้นหวังนั้น แววตาของนางก็ฉายประกายแห่งความมุ่งมั่น ดุจแสงหิ่งห้อยที่ยังคงส่องสว่างในความมืดมิด

“จะร้องไห้คร่ำครวญไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร” เธอกล่าวกับตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อฟ้าดินลิขิตให้ฉันมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ !”

ครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงพูดคุยแผ่วเบา

ประตูห้องเปิดออกเผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมอาภรณ์เรียบง่ายแต่ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ดวงตาฉายแววห่วงใย นางเดินตรงเข้ามาที่เตียง พลางจับมือของเยี่ยนอวี่อย่างอ่อนโยน

“อวี่เอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วหรือลูก ? รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้แม่ใจหายใจคว่ำไปหมด”

ตู้เยี่ยนอวี่มองสตรีผู้นั้นด้วยความรู้สึกแปลกแยก แม้จะมิเคยพบพานมาก่อน แต่แววตาและสัมผัสที่อบอุ่นของนางก็ทำให้หัวใจที่เย็นชาของเยี่ยนอวี่อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

“ท่านเป็นมารดาของข้าหรือเจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่ถามออกไปตรง ๆ

สตรีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ “บุตรสาวข้าช่างพูดจาแปลกไปเสียจริง ป่วยหนักจนจำมารดาไม่ได้เชียวหรือนี่ ?”

นางหันไปสบตากับชายสูงวัยผู้หนึ่งที่เดินตามเข้ามา ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น แต่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความปรานี

“นายท่านผู้เฒ่า ฮูหยิน คุณหนูอวี่เอ๋อร์ก็จำข้าไม่ได้เช่นกันเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

ชายสูงวัยผู้นั้นมีหนวดเครายาวสีขาวประปราย ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงบดุจพระสงฆ์ในวิหาร เดินเข้ามาใกล้เตียง พลางวางมือลงบนศีรษะของเยี่ยนอวี่อย่างแผ่วเบา

“มิเป็นไรหรอกลูกรัก เพียงป่วยหนักจนความจำเลอะเลือนไปชั่วขณะเท่านั้น พักผ่อนให้มาก แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน

ตู้เยี่ยนอวี่มองบุคคลทั้งสามตรงหน้า แม้จะมิใช่ครอบครัวที่แท้จริงของเธอ แต่ความห่วงใยที่พวกเขามอบให้ก็สัมผัสได้ถึงจิตใจอย่างลึกซึ้ง

“ข้าปวดหัวเจ้าค่ะ” เธอกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่อาจทำให้ความลับของเธอถูกเปิดเผย

“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิดลูกรัก” มารดาของร่างนี้กล่าว พลางใช้มือลูบผมของเธออย่างแผ่วเบา “เสี่ยวจู เจ้าคอยดูแลคุณหนูให้ดี”

“เจ้าค่ะฮูหยิน” เสี่ยวจูรับคำอย่างนอบน้อม

เมื่อบุคคลทั้งสองเดินออกไปจากห้อง เหลือเพียงตู้เยี่ยนอวี่กับเสี่ยวจู ความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครา

“เสี่ยวจู เจ้าเล่าเรื่องราวของข้าให้ฟังได้หรือไม่ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมข้อมูล

เสี่ยวจูยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ

“ได้เจ้าค่ะ คุณหนูเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยิน ท่านผู้เฒ่าเป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียน มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ชอบความวุ่นวาย จึงเลือกมาใช้ชีวิตอย่างสงบในหมู่บ้านซีหลินแห่งนี้ ส่วนฮูหยินก็เป็นแม่ศรีเรือนที่ดี มีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยและทำอาหารเลิศรส”

เสี่ยวจูเล่าเรื่องราวของตระกูลตู้ให้ฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของท่านผู้เฒ่าตู้ การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในหมู่บ้าน ไปจนถึงเหตุการณ์ที่ตู้เยี่ยนอวี่ล้มป่วยด้วยไข้หนักและสลบไปหลายวัน

“คุณหนูเพิ่งอายุสิบสี่ปีเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวสรุป “แต่คุณหนูเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียว เรียนรู้เร็ว ทั้งยังมีความเมตตาต่อผู้คน ยามว่างมักจะไปช่วยบ่าวรับใช้ทำงานบ้าน หรืออ่านตำราต่าง ๆ ในห้องสมุด”

ตู้เยี่ยนอวี่รับฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างตั้งใจ

สิ่งที่เสี่ยวจูเล่ามานั้นช่างแตกต่างจากชีวิตเดิมของเธอลิบลับ แต่ก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่าอย่างน้อยร่างนี้ก็มีครอบครัวที่อบอุ่นและมีพื้นเพที่ดี

“ข้าเข้าใจแล้ว” เธอตอบสั้น ๆ พลางหลับตาลงช้า ๆ พยายามประมวลข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ

ในความมืดมิดของเปลือกตา ตู้เยี่ยนอวี่เห็นภาพของโลกเดิมเลือนลางลงไปทุกที โดยที่มีความทรงจำใหม่เริ่มเข้ามาแทนที่ทีละน้อย

“ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นยังไง ฉันก็จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด” เธอปวารณาในใจ ดุจนักรบที่ตั้งมั่นในคำปฏิญาณ “ในเมื่อฟ้าส่งฉันมาแล้ว ฉันก็จะไม่ยอมให้ตัวเองต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทม”

————————

¹รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก (天和七十六年 – เทียนเหอ ชี่สือลิ่วเหนียน) เป็นการระบุปีตามแบบจีนโบราณ

เทียนเหอ (天和) แปลว่าฟ้าสัมพันธ์ หรือสันติแห่งสวรรค์ เป็นชื่อรัชศก (年号 – เนี่ยนฮ่าว) ซึ่งเป็นชื่อยุคสมัยที่จักรพรรดิทรงตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกปีในรัชสมัยของพระองค์ ส่วนปีที่เจ็ดสิบหก (七十六年) หมายถึง ปีที่ 76 ในรัชศกนั้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วาสนาข้ามภพ ชะตารักพลิกผัน   ตอนพิเศษที่ 5 วิวาห์ใต้เงาจันทร์

    ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง

  • วาสนาข้ามภพ ชะตารักพลิกผัน   ตอนพิเศษที่ 4 กระชากหน้ากากอสรพิษ

    ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน

  • วาสนาข้ามภพ ชะตารักพลิกผัน   ตอนพิเศษที่ 3 อสรพิษแดนใต้

    กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว

  • วาสนาข้ามภพ ชะตารักพลิกผัน   ตอนพิเศษที่ 2 เงาอดีตที่หวนคืน

    ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให

  • วาสนาข้ามภพ ชะตารักพลิกผัน   ตอนพิเศษที่ 1 ราชโองการหวนคืน

    ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ

  • วาสนาข้ามภพ ชะตารักพลิกผัน   ๑๔๗ วสันต์คืนสู่แดนเหนือ

    บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status