ยามลมหนาวเริ่มพัดหวน บรรยากาศของหมู่บ้านซีหลินเริ่มปกคลุมด้วยความเงียบสงบยามค่ำคืน ทว่าในใจของบางคนกลับมิได้สงบนิ่งเช่นเดียวกับสายลม ตู้เยี่ยนอวี่ยังคงดำเนินชีวิตเฉกเช่นปกติวิสัย นางใช้เวลาในยามเช้าตรู่ฝึกฝนกำลังภายใน ยามสายออกตรวจเยี่ยมชาวบ้านที่เจ็บป่วย และยามบ่ายศึกษาตำราโบราณ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเองอย่างมิมีวันหยุดหย่อน
ด้วยความสามารถที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน และจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ทำให้ชื่อเสียงของหมอเทวดาตู้แผ่ขยายออกไปไกลยิ่งกว่าเดิม ชาวบ้านจากหัวเมืองใกล้เคียงต่างหลั่งไหลมาขอความช่วยเหลือจากนางมิขาดสาย ผู้คนต่างชื่นชมในคุณธรรมและสติปัญญาของนาง
ทว่ายามใดที่มีแสงสว่างเจิดจ้า ย่อมมีเงาอันมืดมิดติดตาม
ความชื่นชมยกย่องที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้รับ มิได้เป็นที่ยินดีแก่ทุกผู้คนเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮูหยินหลี่ ภรรยาของเศรษฐีหลี่ ผู้มีฐานะร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน และเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนมายาวนาน นางเป็นสตรีผู้มีรูปโฉมงดงาม แต่ก็มักจะโอ้อวดในทรัพย์สมบัติและยศถาบรรดาศักดิ์ของตระกูลตนเสมอ ดุจนกยูงที่รำแพนอวดขน
ฮูหยินหลี่มองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาที่ไม่พอใจ ยามที่นางเห็นชาวบ้านต่างพากันไปพึ่งพาตู้เยี่ยนอวี่ มิใช่หมอประจำหมู่บ้านอย่างท่านผู้เฒ่าหลี่ หรือแม้แต่มิได้มาขอความช่วยเหลือจากตนผู้เป็นภรรยาของเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ฮูหยินหลี่รู้สึกว่าชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่กำลังบดบังรัศมีของตนเอง ดุจเงาที่บดบังแสงจันทร์
“นางเด็กบ้านนอกนั่น มีดีอันใดกันนักหนา” ฮูหยินหลี่บ่นพึมพำกับ อาซิ่น บ่าวรับใช้คนสนิทของนาง ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความริษยา “เป็นแค่เด็กสาววัยกระเตาะ มาจากตระกูลสามัญชน เหตุใดจึงเป็นที่สรรเสริญเยินยอถึงเพียงนี้”
อาซิ่นผู้จงรักภักดี ตอบด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ “ฮูหยินอย่าได้ทรงกังวลเลยเจ้าค่ะ นางเด็กนั่นมิอาจเทียบรัศมีของฮูหยินได้หรอกเจ้าค่ะ”
แต่คำพูดของอาซิ่นมิอาจทำให้ฮูหยินหลี่คลายความริษยาลงได้เลย ยิ่งวันคืนผ่านไปยิ่งเห็นผู้คนหลั่งไหลไปหาตู้เยี่ยนอวี่มากขึ้นเท่าใด ความไม่พอใจในใจของนางก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น ฮูหยินหลี่เริ่มวางแผนการร้ายในใจ เพื่อทำลายชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่
–
ยามหิมะโปรยปรายลงมา อากาศหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ ตู้เยี่ยนอวี่และชาวบ้านต่างช่วยกันเตรียมรับมือกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง นางแนะนำให้ชาวบ้านเก็บฟืนให้เพียงพอ และเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวที่หนาแน่น เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง ข่าวลืออันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน มีคนร่ำลือว่าตู้เยี่ยนอวี่ใช้มนต์ดำในการรักษาโรค หรือใช้สมุนไพรแปลกปลอมที่มิอาจทราบที่มาในการปรุงยา คำครหาเหล่านี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว และทำให้ผู้คนเริ่มตั้งข้อสงสัยในตัวนาง
“หมอเทวดาตู้นางใช้มนต์ดำจริงหรือ ?” ชาวบ้านบางคนเริ่มพูดคุยกันด้วยความหวาดระแวง
“ข้าว่าคงเป็นเรื่องจริง นางเด็กนั่นมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำไมถึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้” อีกคนสมทบ
เสียงซุบซิบนินทาเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนที่ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากตู้เยี่ยนอวี่ หรือผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากคำพูดของฮูหยินหลี่
ตู้เยี่ยนอวี่ที่พอจะได้ยินข่าวลือเหล่านี้มาบ้างก็มิได้สนใจมากนัก นางยังคงมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เพราะนางก็เชื่อว่าความจริงจะเปิดเผยในไม่ช้า
ทว่าคำครหาเหล่านี้กลับเริ่มส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนในครอบครัวตู้ ท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยินตู้เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
“อวี่เอ๋อร์ เจ้าได้ยินข่าวลือที่ชาวบ้านพูดถึงหรือไม่ลูก ?” ฮูหยินตู้ถามบุตรสาวด้วยความกังวลใจ ใบหน้าของนางฉายแววความทุกข์ระทม
ตู้เยี่ยนอวี่วางตำราลงช้า ๆ “ข้าได้ยินมาบ้างแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
“พวกเขาพูดว่าเจ้าใช้มนต์ดำในการรักษาโรค” ฮูหยินตู้กล่าวเสียงสั่น “แม่มิอยากให้เจ้าต้องแปดเปื้อนกับเรื่องร้าย ๆ เช่นนี้เลย”
ท่านผู้เฒ่าตู้ที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ข่าวลือเหล่านี้ช่างร้ายกาจนัก มันทำลายชื่อเสียงของคนเราได้โดยง่าย”
ตู้เยี่ยนอวี่มองบิดามารดาของร่างนี้ด้วยความสงสาร นางรู้ดีว่าพวกเขาห่วงใยนางมากเพียงใด นางกุมมือของฮูหยินตู้ไว้แน่น
“ท่านแม่ ท่านพ่อ มิต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด และข้าก็เชื่อว่าความจริงย่อมเป็นสิ่งไม่ตาย”
“แต่หากข่าวลือเหล่านี้แพร่กระจายไปมากกว่านี้ อาจจะทำให้เราเดือดร้อนได้นะลูก” ท่านผู้เฒ่าตู้กล่าวด้วยความเป็นห่วง
“ข้าจะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าความจริงเป็นเช่นไรเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาของนางฉายแววแน่วแน่ ดุจหินผาที่ไม่หวั่นไหวต่อกระแสลม
ยามสิ้นปีใกล้เข้ามา อากาศยิ่งหนาวเย็นยะเยือก
มีชาวบ้านคนหนึ่งล้มป่วยหนักด้วยอาการแปลกประหลาดที่มิเคยพบเห็นมาก่อน อาการของเขาหนักมากจนแพทย์คนใดในหมู่บ้านก็มิอาจรักษาได้
“หมอหลี่ ! ท่านช่วยบุตรชายของข้าด้วยเถิดขอรับ” มารดาของชายผู้นั้นร้องขอความช่วยเหลือจากท่านผู้เฒ่าหลี่ด้วยความสิ้นหวัง
ท่านผู้เฒ่าหลี่ตรวจดูอาการของชายผู้นั้นด้วยความกังวล “อาการของเขาน่าเป็นห่วงยิ่งนัก ลมปราณติดขัดรุนแรงจนแทบจะมิมีเรี่ยวแรง ข้ามิเคยพบเห็นอาการเช่นนี้มาก่อนเลย”
ในยามที่ทุกคนกำลังสิ้นหวัง ฮูหยินหลี่ก็ปรากฏกายขึ้น
“ข้าว่าพวกท่านควรจะไปขอความช่วยเหลือจากหมอเทวดาตู้ของพวกท่านนะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “เห็นว่านางเก่งกาจนัก มิรู้ว่านางจะช่วยผู้ป่วยผู้นี้ได้หรือไม่”
คำพูดของฮูหยินหลี่ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหันมามองหน้ากันด้วยความลังเล หลายคนยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในข่าวลือที่แพร่สะพัด
“แต่...แต่ว่าข่าวลือที่ว่านางใช้มนต์ดำ...” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างลังเล
ท่านผู้เฒ่าตู้ที่บังเอิญผ่านมาได้ยินบทสนทนานั้นพอดี ก็ก้าวเข้ามาทันที
“ข่าวลือเหล่านั้นมิเป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย ! อวี่เอ๋อร์ของข้าเป็นเด็กดี มีคุณธรรม และมีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง”
ท่ามกลางความสับสนของชาวบ้าน ตู้เยี่ยนอวี่ก็เดินเข้ามาในที่เกิดเหตุ ดวงตาของนางสงบนิ่งและมั่นคง
“ข้าขออนุญาตตรวจดูอาการของผู้ป่วยเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
เมื่อตรวจดูอาการของชายผู้นั้น ตู้เยี่ยนอวี่ก็พบว่าอาการของเขาหนักกว่าที่คิดไว้มาก ลมปราณในกายถูกปิดกั้นอย่างรุนแรง และมีพิษแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย นางนึกย้อนถึงตำราแพทย์โบราณที่กล่าวถึงอาการที่เกิดจากการถูกวางยาพิษบางชนิด
“เขาถูกพิษ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่น้ำเสียงนั้นกลับดังก้องไปทั่วบริเวณ
คำกล่าวของตู้เยี่ยนอวี่ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง ฮูหยินหลี่ถึงกับหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
“ข้าจะพยายามรักษาเขาให้หายเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “แต่จะต้องใช้เวลาและต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกท่าน”
นางสั่งให้เสี่ยวจูเตรียมสมุนไพรบางชนิด และนำเข็มเงินออกมาอย่างรวดเร็ว นางเริ่มทำการฝังเข็มที่จุดลมปราณสำคัญบนร่างกายของชายผู้นั้นอย่างแม่นยำและรวดเร็ว พลางส่งพลังปราณภายในของตนเองเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนของลมปราณที่ติดขัด
ผ่านไปนานนับชั่วยาม เหงื่อกาฬไหลหยดจากใบหน้าของตู้เยี่ยนอวี่ แต่สายตาของนางยังคงแน่วแน่ มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือชีวิตตรงหน้า
ในที่สุดชายผู้นั้นก็เริ่มกระสับกระส่ายเล็กน้อย และอาเจียนของเหลวสีดำออกมาเล็กน้อย
“เขาพ้นขีดอันตรายแล้วเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตาฉายแววแห่งความโล่งใจ
ชาวบ้านที่มุงดูต่างส่งเสียงฮือฮาด้วยความยินดี ความสงสัยและความหวาดระแวงที่มีต่อตู้เยี่ยนอวี่เลือนหายไปสิ้น มีเพียงความชื่นชมและศรัทธาที่เข้ามาแทนที่
ฮูหยินหลี่ผู้ซึ่งยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยใบหน้าซีดเผือด มิอาจกล่าวอันใดได้อีก นางทำได้เพียงถอยห่างออกมาอย่างเงียบ ๆ
ยามสิ้นปี รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเจ็ดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ในวัยสิบห้าปีบริบูรณ์ ได้ผ่านพ้นบททดสอบครั้งสำคัญ นางได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความจริงย่อมเป็นสิ่งไม่ตาย และคุณธรรมที่แท้จริงย่อมปราศจากข้อกังขา
เดือนอ้าย ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบแปดยามตรุษวสันต์เวียนมาบรรจบ อากาศยังคงเย็นยะเยือก เสียงประทัดดังกึกก้องแผ่วเบาจากหมู่บ้านใกล้เคียง ตู้เยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูแสงจันทร์ที่ทอแสงนวลผ่องลงมายังลานเรือนที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ดุจแพรไหมสีขาวที่คลี่คลุมผืนดิน เหตุการณ์เมื่อปลายปีที่แล้วยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความคิดของนางการที่นางสามารถรักษาชายผู้ที่ถูกวางยาพิษได้อย่างปาฏิหาริย์ มิเพียงแต่ทำให้ชื่อเสียงของนางโด่งดังยิ่งขึ้นเท่านั้น หากแต่ยังช่วยขจัดข่าวลือร้าย ๆ ที่ฮูหยินหลี่พยายามแพร่กระจาย ผู้คนในหมู่บ้านต่างมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความศรัทธาและความเคารพยำเกรง ดุจเทพธิดาที่จุติลงมาโปรดสัตว์“คุณหนูเจ้าคะ หิมะตกหนักเช่นนี้ มิหนาวหรือเจ้าคะ ?” เสียงของเสี่ยวจูดังขึ้นจากด้านหลัง นางนำเสื้อคลุมตัวหนามาสวมให้เยี่ยนอวี่อย่างแผ่วเบาตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มเล็กน้อย “มิต้องเป็นห่วงหรอกเสี่ยวจู กายของข้าแข็งแรงขึ้นมากแล้ว”“จริงเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “คุณหนูตั้งแต่ฝึกฝนวิชาแปลก ๆ นั่น ก็ดูแข็งแรงขึ้นมาก ผิวพรรณก็ผ่องใสนักเจ้าค่ะ”ตู้เยี่ยนอวี่รู้ดีว่าวิชาที่เสี
ยามลมหนาวเริ่มพัดหวน บรรยากาศของหมู่บ้านซีหลินเริ่มปกคลุมด้วยความเงียบสงบยามค่ำคืน ทว่าในใจของบางคนกลับมิได้สงบนิ่งเช่นเดียวกับสายลม ตู้เยี่ยนอวี่ยังคงดำเนินชีวิตเฉกเช่นปกติวิสัย นางใช้เวลาในยามเช้าตรู่ฝึกฝนกำลังภายใน ยามสายออกตรวจเยี่ยมชาวบ้านที่เจ็บป่วย และยามบ่ายศึกษาตำราโบราณ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเองอย่างมิมีวันหยุดหย่อนด้วยความสามารถที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน และจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ทำให้ชื่อเสียงของหมอเทวดาตู้แผ่ขยายออกไปไกลยิ่งกว่าเดิม ชาวบ้านจากหัวเมืองใกล้เคียงต่างหลั่งไหลมาขอความช่วยเหลือจากนางมิขาดสาย ผู้คนต่างชื่นชมในคุณธรรมและสติปัญญาของนางทว่ายามใดที่มีแสงสว่างเจิดจ้า ย่อมมีเงาอันมืดมิดติดตามความชื่นชมยกย่องที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้รับ มิได้เป็นที่ยินดีแก่ทุกผู้คนเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮูหยินหลี่ ภรรยาของเศรษฐีหลี่ ผู้มีฐานะร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน และเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนมายาวนาน นางเป็นสตรีผู้มีรูปโฉมงดงาม แต่ก็มักจะโอ้อวดในทรัพย์สมบัติและยศถาบรรดาศักดิ์ของตระกูลตนเสมอ ดุจนกยูงที่รำแพนอวดขนฮูหยินหลี่มองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาที่ไม่พอใจ ยามที่นางเห็นชาวบ้านต่
ยามฟ้าครามสดใส แสงตะวันสาดส่องลงมายังผืนดินร้อนระอุ แม้ไอแดดจะแผดจ้าเพียงใด แต่ก็มิอาจห้ามยั้งความตั้งใจของตู้เยี่ยนอวี่ได้เลยนางยังคงฝึกฝนวิชากำลังภายในอย่างมุ่งมั่น บริเวณลานหลังบ้านที่เงียบสงบ ต้นไผ่ที่ปลูกเรียงรายส่งเสียงเสียดสีกันตามแรงลม ดุจเสียงกระซิบจากธรรมชาติที่ช่วยให้นางเข้าถึงสมาธิได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนางเคลื่อนไหวช้า ๆ แต่แฝงด้วยความแข็งแกร่งและคล่องแคล่ว ดุจกระเรียนที่กำลังร่ายรำเพลงยุทธ์ ท่วงท่าแต่ละท่วงท่าล้วนเชื่อมโยงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ลมปราณในกายไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอ ดุจสายน้ำที่ไหลรินในลำธารที่แห้งแล้งบัดนี้นางสามารถควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น“ลมหายใจต้องเป็นหนึ่งเดียวกับลมปราณ” เสียงคำสอนในตำราดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของนาง “เมื่อจิตมั่นคง ลมปราณย่อมบริสุทธิ์และไหลเวียนได้อย่างไร้ขีดจำกัด”ในทุก ๆ วันนางจะใช้เวลาในยามเช้าตรู่และยามค่ำคืนในการฝึกฝนวิชากำลังภายใน บางครั้งก็ฝึกซ้อมท่ารำมวยจีนโบราณ บางครั้งก็นั่งสมาธิเพื่อปรับลมปราณให้สมดุล แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่นางก็มิเคยท้อถอย เพราะรู้ดีว่าการฝึกฝนเหล่านี้จะช่วยให้ร
เดือนสี่ ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเจ็ดยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังหมู่บ้านซีหลิน ดุจแพรไหมสีทองที่คลี่คลุมผืนปฐพี เสียงระฆังจากวัดท้ายหมู่บ้านดังกังวานแผ่วเบา ดุจเสียงเรียกจากสรวงสวรรค์ตู้เยี่ยนอวี่ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราด้วยจิตใจที่สงบและปลอดโปร่ง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางมิเพียงแค่ร่ำเรียนวิชาการแพทย์และกำลังภายในเท่านั้น หากแต่ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับผู้คนในหมู่บ้านวันนี้นางมีนัดกับท่านผู้เฒ่าหลี่ หมอประจำหมู่บ้านที่เคยประจักษ์ในฝีมือของนางเมื่อคราวก่อน แม้จะเป็นผู้เฒ่า แต่ท่านผู้เฒ่าหลี่ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจเปิดกว้าง ยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมิได้ยึดติดกับความรู้เก่า ๆ เลย“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ มาแต่เช้าเลยนะ” ท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ยามเห็นเยี่ยนอวี่ก้าวเข้ามาในเรือนยาของเขา“คารวะท่านผู้เฒ่าหลี่เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ข้าเพียงอยากมาขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”“เชิญนั่งก่อนเถิด” ท่านผู้เฒ่าหลี่ผายมือเชิญไปยังที่นั่งว่าง “มิรู้ว่าวันนี้แม่นางมีข้อสงสัยอันใดหรือ ?”ตู้เยี่ยนอวี่นั่งลงอย่างเรียบร้อย“ข้ากำลังศึกษาต
ยามตรุษวสันต์¹เวียนมาบรรจบ อากาศยังคงเย็นยะเยือกทว่าภายในเรือนเล็กของสกุลตู้กลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและบรรยากาศอันผ่อนคลาย ตู้เยี่ยนอวี่ในวัยสิบห้าปีบริบูรณ์ นั่งอยู่บนเสื่อฟางผืนบางภายในห้องของตนเอง ดวงตาหลับพริ้ม ใบหน้าสงบนิ่ง ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เป็นจังหวะที่มิเร่งร้อน มิช้าเกินไปนี่มิใช่การพักผ่อนธรรมดา หากแต่เป็นการฝึกฝนวิชากำลังภายในจากม้วนคัมภีร์เก่าแก่ที่นางค้นพบโดยบังเอิญเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ตำราจะเขียนด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจในตอนแรก แต่ด้วยความเพียรพยายามและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ตู้เยี่ยนอวี่ก็ค่อย ๆ ตีความและทำความเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้ทีละน้อย‘ลมปราณคือรากฐานแห่งชีวิต พลังงานหมุนเวียนในกายเปรียบดุจแม่น้ำที่ไหลหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง’ เสียงท่องจำในตำราดังขึ้นในห้วงความคิดของนาง ‘หากแม่น้ำบริสุทธิ์และไหลเวียนสะดวก ร่างกายย่อมแข็งแรงและอายุยืนยาว’นางจินตนาการถึงเส้นลมปราณในร่างกายของตนเอง แต่สัมผัสได้ถึงกระแสพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ทุกครั้งที่ลมปราณไหลเวียนผ่านจุดชีพจรสำคัญ ความรู้สึกร้อนวูบวาบก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างแรกเริ่ม การฝึกฝนเป็นไปด้วยความยากลำบาก นางมิอาจคว
ยามลมหนาวเริ่มพัดโชยมา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลัดใบ ทิ้งความเขียวชอุ่มของฤดูร้อนไว้เบื้องหลัง ทว่าในใจของตู้เยี่ยนอวี่กลับมิได้มีแม้แต่ความเหี่ยวเฉา ดุจบุปผาที่ไม่เคยโรยรา ชื่อเสียงของหมอเทวดาตูได้แผ่ขยายออกไปไกลกว่าที่นางคาดคิด ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเริ่มเดินทางมาขอความช่วยเหลือมิขาดสาย ตั้งแต่ยามอรุณรุ่งจนกระทั่งยามสนธยา“คุณหนูเจ้าคะ มีชาวบ้านจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาขอพบเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูรายงานด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตากลับเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวนายหญิงของตนตู้เยี่ยนอวี่ที่กำลังจัดเรียงสมุนไพรในห้องปรุงยา หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน“เชิญเขาเข้ามาเถิดเสี่ยวจู”ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ใบหน้าฉายแววความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาววัยราวสิบขวบปีที่กำลังไอโขลก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด นางป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไอจนตัวโยน แทบจะขาดใจแล้วขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยนอวี่ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงชายผู้นั้นขึ้น“ท่านลุงมิต้องทำเช่นนั้นเจ้