ยามลมหนาวเริ่มพัดหวน บรรยากาศของหมู่บ้านซีหลินเริ่มปกคลุมด้วยความเงียบสงบยามค่ำคืน ทว่าในใจของบางคนกลับมิได้สงบนิ่งเช่นเดียวกับสายลม ตู้เยี่ยนอวี่ยังคงดำเนินชีวิตเฉกเช่นปกติวิสัย นางใช้เวลาในยามเช้าตรู่ฝึกฝนกำลังภายใน ยามสายออกตรวจเยี่ยมชาวบ้านที่เจ็บป่วย และยามบ่ายศึกษาตำราโบราณ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเองอย่างมิมีวันหยุดหย่อน
ด้วยความสามารถที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน และจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ทำให้ชื่อเสียงของหมอเทวดาตู้แผ่ขยายออกไปไกลยิ่งกว่าเดิม ชาวบ้านจากหัวเมืองใกล้เคียงต่างหลั่งไหลมาขอความช่วยเหลือจากนางมิขาดสาย ผู้คนต่างชื่นชมในคุณธรรมและสติปัญญาของนาง
ทว่ายามใดที่มีแสงสว่างเจิดจ้า ย่อมมีเงาอันมืดมิดติดตาม
ความชื่นชมยกย่องที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้รับ มิได้เป็นที่ยินดีแก่ทุกผู้คนเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮูหยินหลี่ ภรรยาของเศรษฐีหลี่ ผู้มีฐานะร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน และเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนมายาวนาน นางเป็นสตรีผู้มีรูปโฉมงดงาม แต่ก็มักจะโอ้อวดในทรัพย์สมบัติและยศถาบรรดาศักดิ์ของตระกูลตนเสมอ ดุจนกยูงที่รำแพนอวดขน
ฮูหยินหลี่มองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาที่ไม่พอใจ ยามที่นางเห็นชาวบ้านต่างพากันไปพึ่งพาตู้เยี่ยนอวี่ มิใช่หมอประจำหมู่บ้านอย่างท่านผู้เฒ่าหลี่ หรือแม้แต่มิได้มาขอความช่วยเหลือจากตนผู้เป็นภรรยาของเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ฮูหยินหลี่รู้สึกว่าชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่กำลังบดบังรัศมีของตนเอง ดุจเงาที่บดบังแสงจันทร์
“นางเด็กบ้านนอกนั่น มีดีอันใดกันนักหนา” ฮูหยินหลี่บ่นพึมพำกับ อาซิ่น บ่าวรับใช้คนสนิทของนาง ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความริษยา “เป็นแค่เด็กสาววัยกระเตาะ มาจากตระกูลสามัญชน เหตุใดจึงเป็นที่สรรเสริญเยินยอถึงเพียงนี้”
อาซิ่นผู้จงรักภักดี ตอบด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ “ฮูหยินอย่าได้ทรงกังวลเลยเจ้าค่ะ นางเด็กนั่นมิอาจเทียบรัศมีของฮูหยินได้หรอกเจ้าค่ะ”
แต่คำพูดของอาซิ่นมิอาจทำให้ฮูหยินหลี่คลายความริษยาลงได้เลย ยิ่งวันคืนผ่านไปยิ่งเห็นผู้คนหลั่งไหลไปหาตู้เยี่ยนอวี่มากขึ้นเท่าใด ความไม่พอใจในใจของนางก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น ฮูหยินหลี่เริ่มวางแผนการร้ายในใจ เพื่อทำลายชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่
–
ยามหิมะโปรยปรายลงมา อากาศหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ ตู้เยี่ยนอวี่และชาวบ้านต่างช่วยกันเตรียมรับมือกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง นางแนะนำให้ชาวบ้านเก็บฟืนให้เพียงพอ และเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวที่หนาแน่น เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง ข่าวลืออันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน มีคนร่ำลือว่าตู้เยี่ยนอวี่ใช้มนต์ดำในการรักษาโรค หรือใช้สมุนไพรแปลกปลอมที่มิอาจทราบที่มาในการปรุงยา คำครหาเหล่านี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว และทำให้ผู้คนเริ่มตั้งข้อสงสัยในตัวนาง
“หมอเทวดาตู้นางใช้มนต์ดำจริงหรือ ?” ชาวบ้านบางคนเริ่มพูดคุยกันด้วยความหวาดระแวง
“ข้าว่าคงเป็นเรื่องจริง นางเด็กนั่นมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำไมถึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้” อีกคนสมทบ
เสียงซุบซิบนินทาเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนที่ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากตู้เยี่ยนอวี่ หรือผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากคำพูดของฮูหยินหลี่
ตู้เยี่ยนอวี่ที่พอจะได้ยินข่าวลือเหล่านี้มาบ้างก็มิได้สนใจมากนัก นางยังคงมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เพราะนางก็เชื่อว่าความจริงจะเปิดเผยในไม่ช้า
ทว่าคำครหาเหล่านี้กลับเริ่มส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนในครอบครัวตู้ ท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยินตู้เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
“อวี่เอ๋อร์ เจ้าได้ยินข่าวลือที่ชาวบ้านพูดถึงหรือไม่ลูก ?” ฮูหยินตู้ถามบุตรสาวด้วยความกังวลใจ ใบหน้าของนางฉายแววความทุกข์ระทม
ตู้เยี่ยนอวี่วางตำราลงช้า ๆ “ข้าได้ยินมาบ้างแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
“พวกเขาพูดว่าเจ้าใช้มนต์ดำในการรักษาโรค” ฮูหยินตู้กล่าวเสียงสั่น “แม่มิอยากให้เจ้าต้องแปดเปื้อนกับเรื่องร้าย ๆ เช่นนี้เลย”
ท่านผู้เฒ่าตู้ที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ข่าวลือเหล่านี้ช่างร้ายกาจนัก มันทำลายชื่อเสียงของคนเราได้โดยง่าย”
ตู้เยี่ยนอวี่มองบิดามารดาของร่างนี้ด้วยความสงสาร นางรู้ดีว่าพวกเขาห่วงใยนางมากเพียงใด นางกุมมือของฮูหยินตู้ไว้แน่น
“ท่านแม่ ท่านพ่อ มิต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด และข้าก็เชื่อว่าความจริงย่อมเป็นสิ่งไม่ตาย”
“แต่หากข่าวลือเหล่านี้แพร่กระจายไปมากกว่านี้ อาจจะทำให้เราเดือดร้อนได้นะลูก” ท่านผู้เฒ่าตู้กล่าวด้วยความเป็นห่วง
“ข้าจะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าความจริงเป็นเช่นไรเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาของนางฉายแววแน่วแน่ ดุจหินผาที่ไม่หวั่นไหวต่อกระแสลม
ยามสิ้นปีใกล้เข้ามา อากาศยิ่งหนาวเย็นยะเยือก
มีชาวบ้านคนหนึ่งล้มป่วยหนักด้วยอาการแปลกประหลาดที่มิเคยพบเห็นมาก่อน อาการของเขาหนักมากจนแพทย์คนใดในหมู่บ้านก็มิอาจรักษาได้
“หมอหลี่ ! ท่านช่วยบุตรชายของข้าด้วยเถิดขอรับ” มารดาของชายผู้นั้นร้องขอความช่วยเหลือจากท่านผู้เฒ่าหลี่ด้วยความสิ้นหวัง
ท่านผู้เฒ่าหลี่ตรวจดูอาการของชายผู้นั้นด้วยความกังวล “อาการของเขาน่าเป็นห่วงยิ่งนัก ลมปราณติดขัดรุนแรงจนแทบจะมิมีเรี่ยวแรง ข้ามิเคยพบเห็นอาการเช่นนี้มาก่อนเลย”
ในยามที่ทุกคนกำลังสิ้นหวัง ฮูหยินหลี่ก็ปรากฏกายขึ้น
“ข้าว่าพวกท่านควรจะไปขอความช่วยเหลือจากหมอเทวดาตู้ของพวกท่านนะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “เห็นว่านางเก่งกาจนัก มิรู้ว่านางจะช่วยผู้ป่วยผู้นี้ได้หรือไม่”
คำพูดของฮูหยินหลี่ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหันมามองหน้ากันด้วยความลังเล หลายคนยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในข่าวลือที่แพร่สะพัด
“แต่...แต่ว่าข่าวลือที่ว่านางใช้มนต์ดำ...” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างลังเล
ท่านผู้เฒ่าตู้ที่บังเอิญผ่านมาได้ยินบทสนทนานั้นพอดี ก็ก้าวเข้ามาทันที
“ข่าวลือเหล่านั้นมิเป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย ! อวี่เอ๋อร์ของข้าเป็นเด็กดี มีคุณธรรม และมีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง”
ท่ามกลางความสับสนของชาวบ้าน ตู้เยี่ยนอวี่ก็เดินเข้ามาในที่เกิดเหตุ ดวงตาของนางสงบนิ่งและมั่นคง
“ข้าขออนุญาตตรวจดูอาการของผู้ป่วยเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
เมื่อตรวจดูอาการของชายผู้นั้น ตู้เยี่ยนอวี่ก็พบว่าอาการของเขาหนักกว่าที่คิดไว้มาก ลมปราณในกายถูกปิดกั้นอย่างรุนแรง และมีพิษแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย นางนึกย้อนถึงตำราแพทย์โบราณที่กล่าวถึงอาการที่เกิดจากการถูกวางยาพิษบางชนิด
“เขาถูกพิษ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่น้ำเสียงนั้นกลับดังก้องไปทั่วบริเวณ
คำกล่าวของตู้เยี่ยนอวี่ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง ฮูหยินหลี่ถึงกับหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
“ข้าจะพยายามรักษาเขาให้หายเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “แต่จะต้องใช้เวลาและต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกท่าน”
นางสั่งให้เสี่ยวจูเตรียมสมุนไพรบางชนิด และนำเข็มเงินออกมาอย่างรวดเร็ว นางเริ่มทำการฝังเข็มที่จุดลมปราณสำคัญบนร่างกายของชายผู้นั้นอย่างแม่นยำและรวดเร็ว พลางส่งพลังปราณภายในของตนเองเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนของลมปราณที่ติดขัด
ผ่านไปนานนับชั่วยาม เหงื่อกาฬไหลหยดจากใบหน้าของตู้เยี่ยนอวี่ แต่สายตาของนางยังคงแน่วแน่ มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือชีวิตตรงหน้า
ในที่สุดชายผู้นั้นก็เริ่มกระสับกระส่ายเล็กน้อย และอาเจียนของเหลวสีดำออกมาเล็กน้อย
“เขาพ้นขีดอันตรายแล้วเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตาฉายแววแห่งความโล่งใจ
ชาวบ้านที่มุงดูต่างส่งเสียงฮือฮาด้วยความยินดี ความสงสัยและความหวาดระแวงที่มีต่อตู้เยี่ยนอวี่เลือนหายไปสิ้น มีเพียงความชื่นชมและศรัทธาที่เข้ามาแทนที่
ฮูหยินหลี่ผู้ซึ่งยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยใบหน้าซีดเผือด มิอาจกล่าวอันใดได้อีก นางทำได้เพียงถอยห่างออกมาอย่างเงียบ ๆ
ยามสิ้นปี รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเจ็ดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ในวัยสิบห้าปีบริบูรณ์ ได้ผ่านพ้นบททดสอบครั้งสำคัญ นางได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความจริงย่อมเป็นสิ่งไม่ตาย และคุณธรรมที่แท้จริงย่อมปราศจากข้อกังขา
เวลาประหนึ่งหยุดนิ่ง...ทุกสรรพสิ่งในศาลากลางน้ำล้วนตกอยู่ในพันธนาการแห่งคมดาบเพียงเล่มเดียว สายลมที่เคยพัดเอื่อยหยุดกรรโชก ใบบัวที่เคยไหวระริกพลันสงบนิ่ง แม้แต่เสียงหายใจของทุกคนก็ดูจะแผ่วเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนความเงียบอันเปราะบางนี้ให้แหลกสลายกู้เหยียนหลงยืนนิ่งราวกับรูปสลัก กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายของเขาตึงเครียดและพร้อมที่จะทะยานออกไปในชั่วพริบตา แต่เขามิอาจทำได้ เพราะชีวิตขององค์ฮ่องเต้แขวนอยู่บนเส้นดวงแห่งความอดทนของเขา“ส่งตราหยกพระราชลัญจกรมาให้ข้า!” หลิวเจิ้งกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเขาแหบพร่าแต่เต็มไปด้วยอำนาจเด็ดขาด “แล้วข้าจะรับรองความปลอดภัยของฝ่าบาท!”นี่มิใช่แค่การหลบหนี แต่คือการชิงอำนาจทั้งแผ่นดิน หากตราหยกอันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดตกไปอยู่ในมือของกบฏ เขาย่อมสามารถออกราชโองการปลอม สั่งการกองทัพ และควบคุมทุกสิ่งได้ตามใจปรารถนา“ท่านเสนาบดี” พระพันปีหลวงตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมด้วยพระบารมีอย่างน่าประหลาด “เจ้ายึดมั่นในคติมิเป็นหยกทั้งแท่ง
เสมือนสายพิณที่ขาดสะบั้นลงกลางบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสิ้นเสียงรายงานการเคลื่อนทัพของรองแม่ทัพจ้าวคุน บรรยากาศอันงดงามในศาลากลางน้ำพลันแหลกสลายลงในพริบตา ไอสังหารที่เคยแฝงเร้น บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนขึ้นอย่างชัดเจนใบหน้าของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางผู้ภักดีซีดเผือดราวกับกระดาษ การเคลื่อนทัพโดยพลการในยามนี้ มีความหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการก่อกบฏ!หน้ากากขุนนางผู้ภักดีที่เสนาบดีหลิวเจิ้งสวมใส่มานานหลายสิบปี บัดนี้ได้ถูกกระชากออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอสรพิษเฒ่าผู้กระหายในราชบัลลังก์“หลิวเจิ้ง! เจ้า... เจ้าบังอาจ!” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทาด้วยโทสะทว่าพยัคฆ์เฒ่าที่จนตรอก ย่อมเป็นพยัคฆ์ที่อันตรายที่สุดหลิวเจิ้งมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งและน่าขนพองสยองเกล้า“ฮ่า ๆๆๆ! ในเมื่อพวกเจ้าฉีกหน้ากากของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป!” เขากล่าวพลางปรายตามองทุกคนด้วยแววตาที่อำมหิต “เดิมทีข้าคิดจะค่อย ๆ กลืนกินแผ่นด
ในชั่ววินาทีที่พระพันปีหลวงตรัสถึงคดีของตระกูลมู่หรง อากาศทั่วทั้งศาลากลางน้ำพลันเยียบเย็นลงราวกับย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในบัดดล รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเจิ้งมิได้จางหาย แต่กลับแข็งค้างดุจหน้ากากน้ำแข็งที่กำลังปริร้าว เผยให้เห็นรอยแยกของความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ภายในทว่าอสรพิษเฒ่าที่ขดตัวอยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปี ย่อมมิใช่ผู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์โดยง่าย“ฮ่า ๆๆ”เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบงัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดจากการถูกหยามเกียรติ“พระพันปีหลวงทรงมีพระเมตตา ยังทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของขุนนางเก่าแก่อย่างกระหม่อมได้” เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น “น่าเสียดาย... ที่วัยชราได้พรากความทรงจำอันเฉียบคมของกระหม่อมไปเสียมากแล้ว คดีเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นช่างเลือนรางนัก แต่กระหม่อมจำได้เพียงว่า ทุกการตัดสินโทษในชีวิตราชการของกระหม่อม ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินและเพื่อสนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทเสมอมา”เขาเปลี่ยนจากการเป็นจำเลยมาเป็นผู้ถูกกระทำไ
ศาลากลางสระบัวในวันนี้งดงามและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ประหนึ่งเกาะหยกที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลมรกตที่เต็มไปด้วยใบบัว สายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ นำพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเกสรบัวหลวงมาด้วย ทว่าภายใต้ความงามอันสงบสุขนั้น กลับมิอาจพัดพาไอสังหารที่แฝงเร้นอยู่ในอากาศให้จางหายไปได้ขบวนเสลี่ยงของเสนาบดีหลิวเจิ้งมาถึงเป็นคนแรก เขาก้าวลงจากเสลี่ยงด้วยท่วงท่าที่สุขุมและสง่างามสมตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ในส่วนลึกของดวงตาที่ผ่านโลกมาจนโชกโชนนั้นกลับเยียบเย็นตามมาด้วยขบวนขององค์ชายจ้าวเฟิง เขามาในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายพยัคฆ์ซ่อนกายในพงไพร ดูองอาจและเปี่ยมด้วยบารมี รอยยิ้มของเขายังคงเป็นมิตรและน่าคบหา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า มันเป็นรอยยิ้มของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มิใช่รอยยิ้มของสหายผู้มาเยือนเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ณ ศาลากลางน้ำพระพันปีหลวงในฐานะประธานของงานเลี้ยง ก็ได้มีรับสั่งให้เริ่มพิธีชงชาชั้นสูง นางกำนัลคนสนิทค่อย ๆ บรรจงรินน้ำร้อนลงบนใบชาต้าหงเผาอันล้ำค่า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่วศาลา
ในตำหนักหมื่นวสันต์ที่เงียบสงบ บัญชีมรณะเล่มนั้นได้กลายเป็นเถ้าธุลีในกระถางทองเหลืองไปแล้ว แต่ทุกตัวอักษรที่เคยจารึกไว้ ได้ประทับลงในพระทัยของอย่างมิอาจลบเลือน พระพันปีหลวงผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวและคลื่นลมในราชสำนักมาค่อนชีวิต บัดนี้แววพระเนตรของพระนางนิ่งสงบและเยียบเย็นดุจผืนน้ำใต้ธารน้ำแข็ง“ในเมื่อรากแก้วของต้นไม้พิษมันฝังลึกถึงเพียงนี้ การถอนรากถอนโคนในคราวเดียว ย่อมทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน” พระนางตรัสกับองค์หญิงลี่หัวและพระสนมหลี่ที่อยู่เบื้องหน้า “เราจะมิโค่นต้นไม้ แต่เราจะลิดกิ่งก้านของมันทีละกิ่ง ล่ออสรพิษให้ออกมาจากโพรงด้วยตัวเอง”พระนางมิได้มีราชโองการให้จับกุมผู้ใดในทันที แต่กลับมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงน้ำชาชมราชสาส์นขึ้นเป็นการส่วนพระองค์ในอีกสามวันข้างหน้า ณ ศาลากลางสระบัว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหารือเป็นการภายในถึงข้อเสนออภิเษกสมรสขององค์ชายจ้าวเฟิง และเพื่อพิจารณาราชสาส์นจากแคว้นอื่นที่ส่งมาถวายพระพรในวาระที่ฝ่าบาททรงหายจากพระอาการประชวรเป็นการเดินหมากที่แยบยลและเลือดเย็นที่สุด ผู้ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้มีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นหัวใจของขั้วอำนาจทั้งหมด ฝ่า
แสงจันทร์มิอาจสาดส่องถึงห้องลับใต้ดินของสำนักพันเงา ที่ซึ่งบรรยากาศหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่ารัตติกาลในฤดูเหมันต์ บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ใจกลางห้อง บัญชีมรณะเล่มนั้นวางแผ่หลาอยู่ แต่ทุกตัวอักษรที่จารึกไว้ด้วยพู่กันกลับหนักอึ้งดุจชะตากรรมของแผ่นดิน รอยแผลของนายหญิงแห่งเงาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดจากตู้เยี่ยนอวี่ แม้ร่างกายจะเจ็บปวด แต่ในแววตาของนางกลับลุกโชนไปด้วยไฟแค้นที่รอวันสะสาง“หลิวเจิ้งคือรากแก้วของต้นไม้พิษต้นนี้” กู้เหยียนหลงกล่าวทำลายความเงียบ นัยน์ตาคมกริบของเขาทอประกายกร้าว “การโค่นล้มเขาในยามนี้ที่มันยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในราชสำนัก ไม่ต่างอะไรกับการเอากายเข้าปะทะคมดาบ”“ท่านแม่ทัพกล่าวถูกแล้ว” จางอู๋จีเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สายข่าวของข้ารายงานว่า บัดนี้จวนเสนาบดีและการป้องกันวังหลวงถูกยกระดับขึ้นสูงสุด ประหนึ่งค่ายทหารที่พร้อมรับศึก เรามิอาจใช้กำลังบุกเข้าไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง”ท่ามกลางความตึงเครียดนั้น มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่ที่ยังคงสงบนิ่ง นางวางสมุนไพรในมือลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยปัญญาอันล้ำลึก“ในเมื่อประตูหน้าเต็มไปด้วยกองทัพหมาป