ยามอู่ ณ ท้องพระโรงหลวง
เสียงบานประตูทองเหลืองที่เปิดออกอีกครั้งนั้น หนักหน่วงและเชื่องช้ายิ่งกว่าครั้งก่อน ราวกับกำลังเปิดทางให้แก่ชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกสายตาในท้องพระโรงจับจ้องไปยังทางเข้าด้วยลมหายใจที่กลั้นไว้ พวกเขาคาดหวังจะได้เห็นขุนนางผู้มีหลักฐาน หรือยอดฝีมือผู้กุมความลับ
ทว่า ร่างที่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามากลับเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง...
นางอยู่ในอาภรณ์ไว้ทุกข์สีขาวบริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งลวดลายใด ๆ ชายกระโปรงยาวลากพื้นเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาราวกับหมอกยามเช้า ใบหน้าของนางถูกบดบังไว้ด้วยผ้าคลุมหน้าสีขาวผืนบาง ทำให้มองเห็นเพียงเค้าโครงที่งดงามแต่เลือนราง ท่วงท่าการเดินของนางสงบนิ่งและมั่นคง ทุกย่างก้าวแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวที่มองไม่เห็น แต่กลับสัมผัสได้ถึงจิตใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า
นางเดินมาหยุดอยู่ใจกลางท้องพระโรง แต่มิได้คุกเข่าลงถวายบังคมในทันที นางเพียงแค่ยืนนิ่ง และหันไปเผชิญหน้ากับหลิวเจิ้งโดยตรง
ไอสังหารอันเยียบเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของนางนั้น บริสุทธิ์และรุนแรงยิ่งกว่านักฆ่าคนใดที่หลิวเจิ้งเคยพบพาน
“หลิวเจิ้ง...&rdquo
ยามเว่ยล่วงแล้ว ภายในท้องพระโรงหลวงราชโองการพิพากษาอันอำมหิตของฝ่าบาท ดังก้องกังวานไปทั่วทุกอณูของท้องพระโรง มันคือเสียงแห่งการสิ้นสุด คือค้อนสวรรค์ที่ทุบทำลายเส้นทางของอสรพิษเฒ่าจนแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี เหล่าขุนนางต่างก้มหน้านิ่งด้วยความยำเกรงและสาสมใจ บรรยากาศอบอวลไปด้วยไอแห่งความยุติธรรมที่เพิ่งจะได้รับการชำระองครักษ์หลวงสองนายก้าวเข้าไปเพื่อจะควบคุมตัวหลิวเจิ้งที่ทรุดกายอยู่บนพื้นออกไปทว่า...“ฮ่า... ฮ่า ๆๆ ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ!”เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งพลันระเบิดออกมาจากร่างที่เคยสิ้นหวังนั้น หลิวเจิ้งเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เคยซีดเผือดบัดนี้กลับบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับโลหิต ผมเผ้าที่เคยถูกปล่อยสยายบัดนี้ยิ่งดูกระเซอะกระเซิงราวกับปีศาจร้ายที่หลุดออกมาจากขุมนรก“ประหารเก้าชั่วโคตร! เฉือนพันครั้ง!” เขาหัวเราะทั้งน้ำตา “ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! นี่คือรางวัลที่ราชวงศ์จ้าวผู้โฉดเขลามอบให้แก่ขุนนางผู้ภักดีที่สุดอย่างข้าอย่างนั้นรึ!”“บังอาจ!” องครักษ์ตวาดลั่น
ยามเว่ย ณ ท้องพระโรงหลวงเสียงร้องขอให้ประหารหลิวเจิ้งยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ในโถงพิพากษา คำให้การของมู่หรงเยี่ยนและเยว่ฉานได้ทลายกำแพงแห่งความเชื่อมั่นที่หลิวเจิ้งสั่งสมมาตลอดชีวิตจนพังพินาศไปแล้ว บัดนี้เขาเปรียบดั่งรูปสลักดินเหนียวที่ถูกฝนห่าใหญ่ชะล้างจนเหลือเพียงโครงร่างที่น่าสมเพชทว่า อสรพิษเฒ่าที่บาดเจ็บสาหัส ก็ยังคงมีลมหายใจเฮือกสุดท้าย“พยานหรือ?” หลิวเจิ้งเค้นเสียงหัวเราะออกมาอย่างยากลำบาก เขาพยุงกายลุกขึ้นคุกเข่าอีกครั้ง “หนึ่งคือนักฆ่าผู้ชั่วช้าที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิต! อีกหนึ่งคือสตรีที่เปี่ยมด้วยความแค้นส่วนตัวจนหน้ามืดตามัว! คำให้การของคนเหล่านี้จะเชื่อถือได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ! ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ปรุงแต่งขึ้น!”เขาพยายามดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย พยายามที่จะสาดโคลนใส่ความน่าเชื่อถือของพยานแต่พระพันปีหลวงกลับมิได้มีท่าทีหวั่นไหวแม้แต่น้อย พระนางเพียงแค่ทอดพระเนตรไปยังตู้เยี่ยนอวี่อย่างมีความหมายตู้เยี่ยนอวี่เข้าใจในทันที นางก้าวออกมาเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่ง ในมือของนางถือสมุดบัญชีปกหนังสีดำเล่มห
ยามอู่ล่วงเลยไปแล้ว...พระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่เหนือท้องพระโรงหลวง แต่บรรยากาศกลับเยียบเย็นยิ่งกว่าคืนเหมันต์คำให้การของมู่หรงเยี่ยนเปรียบดังสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของทุกคนในที่นั้น มันได้ปลุกวิญญาณแห่งความภักดีที่ถูกทรยศให้ตื่นขึ้น และฉีกกระชากหน้ากากสุดท้ายของหลิวเจิ้งจนแหลกสลาย อสรพิษเฒ่าที่เคยองอาจ บัดนี้ได้สิ้นฤทธิ์ลงแล้วอย่างแท้จริง เขาทรุดกายนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่แม้แต่จะคิดต่อสู้ทางวาจาอีกต่อไปทว่าพระพันปีหลวงยังคงมิได้มีรับสั่งตัดสินโทษในทันที“ในเมื่อเราได้ฟังเรื่องราวจากผู้ที่ถูกกระทำแล้ว” พระนางตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เยียบเย็น “ก็ถึงเวลาฟังความจริงจากปากของเครื่องมือที่ผู้กระทำเคยใช้ เบิกตัวพยานปากต่อไป!”ประตูทองเหลืองบานใหญ่เปิดออกอีกครั้ง...ครั้งนี้ ร่างที่ก้าวเข้ามาคือสตรีในชุดนักโทษสีเทาซีดเซียว นางคือเยว่ฉาน อดีตนักดนตรีขลุ่ยมายาแห่งพรรคเมฆาโลหิตการปรากฏตัวของนางสร้างความฮือฮาไปทั่วท้องพระโรงยิ่งกว่าครั้งของมู่หรงเยี่ยนเสียอีก นางคือนักโทษอุกฉกรรจ์ คือปีศาจร้ายในคราบสตรีงามที่เก
ยามอู่ ณ ท้องพระโรงหลวงเสียงบานประตูทองเหลืองที่เปิดออกอีกครั้งนั้น หนักหน่วงและเชื่องช้ายิ่งกว่าครั้งก่อน ราวกับกำลังเปิดทางให้แก่ชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกสายตาในท้องพระโรงจับจ้องไปยังทางเข้าด้วยลมหายใจที่กลั้นไว้ พวกเขาคาดหวังจะได้เห็นขุนนางผู้มีหลักฐาน หรือยอดฝีมือผู้กุมความลับทว่า ร่างที่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามากลับเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง...นางอยู่ในอาภรณ์ไว้ทุกข์สีขาวบริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งลวดลายใด ๆ ชายกระโปรงยาวลากพื้นเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาราวกับหมอกยามเช้า ใบหน้าของนางถูกบดบังไว้ด้วยผ้าคลุมหน้าสีขาวผืนบาง ทำให้มองเห็นเพียงเค้าโครงที่งดงามแต่เลือนราง ท่วงท่าการเดินของนางสงบนิ่งและมั่นคง ทุกย่างก้าวแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวที่มองไม่เห็น แต่กลับสัมผัสได้ถึงจิตใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้านางเดินมาหยุดอยู่ใจกลางท้องพระโรง แต่มิได้คุกเข่าลงถวายบังคมในทันที นางเพียงแค่ยืนนิ่ง และหันไปเผชิญหน้ากับหลิวเจิ้งโดยตรงไอสังหารอันเยียบเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของนางนั้น บริสุทธิ์และรุนแรงยิ่งกว่านักฆ่าคนใดที่หลิวเจิ้งเคยพบพาน“หลิวเจิ้ง...&rdquo
ยามซื่อล่วงแล้ว ภายในท้องพระโรงหลวง ทุกสายตาจับจ้องไปยังประตูใหญ่ที่เปิดอ้า...ทว่า เงาร่างที่ก้าวเข้ามามิใช่พยานบุคคลใด ๆ แต่กลับเป็นกองกำลังองครักษ์ในพระองค์ของพระพันปีหลวงแปดนาย พวกเขาแต่งกายในชุดเกราะสีเงินลายหงส์เต็มยศ ทุกย่างก้าวหนักแน่นและพร้อมเพรียงกัน พวกเขาแบกหีบไม้จันทน์สีแดงเลือดนกขนาดใหญ่ใบหนึ่งเข้ามาอย่างระมัดระวัง มันคือหีบใบเดียวกับที่ตู้เยี่ยนอวี่เคยใช้ลักลอบนำบัญชีมรณะเข้าวังบรรยากาศในท้องพระโรงพลันตึงเครียดขึ้นอีกหลายส่วน“พยานที่ดีที่สุด คือสิ่งที่จำเลยมิอาจโต้แย้งได้” พระพันปีหลวงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เยียบเย็น “และหลักฐานที่หนักแน่นที่สุด คือสิ่งที่มาจากน้ำมือของจำเลยเอง”องครักษ์วางหีบใบนั้นลงใจกลางท้องพระโรง ก่อนจะเปิดมันออกช้า ๆสิ่งที่อยู่ภายในมิใช่ทองคำหรืออัญมณี แต่เป็นม้วนหนังแพะเก่าแก่สีเหลืองซีดม้วนหนึ่งที่ถูกมัดไว้ด้วยเชือกหนังสีดำ จางอู๋จีก้าวออกมาข้างหน้า เขาก้มลงหยิบม้วนหนังแพ้นั้นขึ้นมาอย่างนอบน้อม ก่อนจะคลี่มันออกต่อหน้าขุนนางนับร้อยทันทีที่ม้วนหนังแพะถูกคลี่ออกจนสุด...
ยามซื่อ ณ ท้องพระโรงหลวงวาจาของหลิวเจิ้งที่ท้าทายองค์ฮ่องเต้โดยตรงนั้น เปรียบดั่งก้อนหินที่ตกลงไปในบึงน้ำนิ่ง ก่อให้เกิดระลอกคลื่นแห่งความตื่นตระหนกและความสับสนแผ่ขยายไปทั่วทั้งท้องพระโรง พระพักตร์ของฝ่าบาทพลันเผือดสีลงเล็กน้อย พระองค์ทรงตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างอำนาจแห่งราชันย์และความรู้สึกผูกพันกับขุนนางเก่าแก่ที่เคยอุ้มชูพระองค์มาในจังหวะที่ความเงียบงันอันน่าอึดอัดเข้าครอบงำนั้นเอง พระสุรเสียงอันเยียบเย็นของพระพันปีหลวงก็ได้ดังขึ้นทำลายทุกสิ่ง“วาจาของเจ้าช่างน่าประทับใจยิ่งนักหลิวเจิ้ง” พระนางตรัสเรียบ ๆ “แต่ในศาลพิพากษาแห่งนี้ เรามิได้ใช้บุญคุณหรือวาทศิลป์มาเป็นเครื่องตัดสิน แต่เราใช้หลักฐาน”พระนางทรงให้สัญญาณด้วยปลายพระเนตรจางอู๋จีผู้ซึ่งรอคอยจังหวะนี้อยู่แล้ว ก้าวออกมาเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่ง ในมือของเขาคือหีบไม้สีดำขลับใบหนึ่ง หีบใบเดียวกับที่ถูกนำออกมาจากสุสานใต้ดินของโรงรับจำนำว่านเป่าถัง“ทูลฝ่าบาท พระพันปีหลวง” เขากล่าวเสียงดังฟังชัด “ระหว่างการสืบสวนแหล่งซ่องสุมของกบฏ หน่วยข่าวกรองลับได้ค้นพบห้องลับของอด