แชร์

ตอนที่ 4 ผูกมิตร

ผู้เขียน: องค์หญิงโนเนม
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-14 12:57:30

ไป๋เหม่ยเหมยพาเจ้าลูกหมีกลับบ้าน นางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามตัวให้มัน เหล่าสาวใช้น้อยเมื่อได้เห็นเจ้าสุนัขตัวใหญ่สีดำก็หวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เจ้าลูกหมีน้อยกลับเชื่องเป็นอย่างมาก นอกจากมันจะไม่กัดคนแล้วยังชอบเล่นกับสาวใช้อีกด้วย

เมื่อไป๋หลงและไป๋หลางเห็นเช่นนั้นก็วางใจลงได้

ด้านแม่ทัพใหญ่ไป๋และฮูหยินใหญ่ก็ไม่ได้คัดค้านอันใด ขอเพียงบุตรสาวชอบก็พอแล้ว

เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว ไป๋เหม่ยเหมยก็นั่งยองๆลงพลางจ้องมองเจ้าลูกหมีน้อยของนาง ก่อนจะเอ่ย

"เจ้าลูกหมีน้อย เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า เจ้าเองก็กลับชาติมาเกิดใหม่เช่นเดียวกันกับข้าเลยเล่า"

เจ้าลูกหมีน้อยเป็นเพียงสุนัขมันขานตอบนางไม่ได้ แต่กลับยกขาหน้าขึ้นทั้งสองข้าง และเลียมือนาง ไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดให้มากความ ไป๋เหม่ยเหมยก็เข้าใจได้ในทันที น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก แม้แต่สุนัขก็ยังสามารถย้อนเวลากลับมาได้เช่นเดียวกัน

นางลูบศีรษะมัน พลางเอ่ย

"ไม่ต้องกังวล ชาตินี้ข้าจะไม่เดินทางผิดอีกแล้ว เจ้าลูกหมีน้อย ข้าจะปกป้องเจ้าเช่นกัน พวกเรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่กันเถอะนะ"

เจ้าลูกหมีน้อยหมอบลงตรงหน้านางอย่างออดอ้อน

เช้าวันต่อมาหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไป๋เหม่ยเหมยก็ออกไปเดินเล่นที่นอกจวน นางจูงเจ้าลูกหมีน้อยของนางไปด้วยกัน ผู้คนล้วนไม่กล้าเข้าใกล้นางเพราะกลัวจะถูกเจ้าสุนัขตัวสีดำนั่นกัดเข้า แต่เจ้าลูกหมีน้อยกลับไม่ทำเช่นนั้น ทั้งยังส่ายหางให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร

เดินเล่นอยู่นาน ก็แวะมาที่ร้านซาลาเปาไส้เนื้อริมทางร้าน นางสั่งซาลาเปามาสองลูก ลูกหนึ่งมอบให้เจ้าลูกหมีน้อย อีกลูกหนึ่งนางกินเอง

สายลมพัดมาเอื่อยเฉื่อย แว่วเสียงรถม้าดังมาแต่ไกล ผู้คนต่างแหวกทางออกเป็นสองทางไม่กล้าขวางทางรถม้าหลังนั้น

ไป๋เหม่ยเหมยหันไปมอง ก่อนจะพบว่ารถม้าหลังนั้นมีสัญลักษณ์ของจวนไคกั๋วกงปรากฏเด่นชัดอยู่ 

ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนผ่านนางไป ผ้าม่านรถม้าก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มผู้หนึ่งชะโงกหน้ามามองนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก สายตาของเขาคมกริบ อีกทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยความเย่อหยิ่งและสูงศักดิ์ ชั่วขณะนั้นไป๋เหม่ยเหมยพลันชะงักไปชั่วขณะ

เซวียหงเย่

เป็นเขาจริงๆ

เซวียหงเย่เป็นหลานชายของเซวียฮองเฮา ยามนี้เขาเพิ่งจะมีอายุเพียงยี่สิบปี และอีกห้าปีให้หลังเขาจะจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของจินฟาน

 ตระกูลเซวียเป็นตระกูลบัณฑิตชั้นสูง ท่านปู่ของเขาเคยเป็นราชครู บิดาของเขาที่ตายจากไปก็เป็นถึงไคกั๋วกงสหายสนิทของฝ่าบาท ตัวของเซวียหงเย่เองก็เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ อายุยังน้อยแต่กลับได้เข้าไปทำงานในสำนักองค์รักษ์เสื้อแพรแล้ว อีกทั้งฝ่าบาทยังทรงโปรดปราณเขาเป็นอย่างมาก มีสิ่งใดฝ่าบาทล้วนเรียกเขาไปปรึกษาหารือ อำนาจของเขาเรียกได้ว่าสูงส่งไม่น้อยเลย

บิดานางแม้ภายนอกจะไม่เข้าฝักใฝ่ฝ่ายใดและภักดีต่อฮ่องเต้ แต่แท้จริงแล้วลอบสนับสนุนองค์ชายใหญ่อย่างลับๆ และเป็นพันธมิตรกับตระกูลเซวีย ส่วนองค์ชายรองจินฟานที่มีมารดาเกิดในตระกูลรองแม่ทัพนั้นก็มีใจหวังในตำแหน่งองค์รัชทายาท จนถึงขั้นฆ่าล้างบางทุกคนอย่างอำมหิต ทุกอย่างล้วนมีนางคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง นางคอยบอกเล่าแผนการทุกอย่างของบิดาให้จินฟานฟัง สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จ

ความรู้สึกผิดบาปในใจนี้ช่างมากมายยิ่งนัก

เซวียหงเย่ปิดผ้าม่านลงและไม่มองนางอีก รถม้าของเขาเคลื่อนออกไปไกลมากแล้ว ไป๋เหม่ยเหมยถอนหายใจออกมา รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเลย การพบเจอกันของเขาและนางในชาติก่อนไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่พบเจอกันในค่ายทหารของบิดานาง เขาหลงรักนางตั้งแต่แรกเห็น จากนั้นก็ตามติดนางแจ แต่ชาตินี้เขาดูเหมือนว่าจะสุขุมมากกว่าแต่ก่อน

ในขณะที่ไป๋เหม่ยเหมยกำลังครุ่นคิดเรื่องของเซวียหงเย่ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นมาว่ามีคนตกน้ำ

ไป๋เหม่ยเหมยขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบจูงเจ้าลูกหมีน้อยไปดูยังที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงก็พบว่ามีสตรีน้อยนางหนึ่งกำลังจมน้ำ นางจำได้แม่นยำ นั่นคือจินหยวนเหนียง จวิ้นจู่น้อยแห่งจวนชินอ๋อง บิดานางเป็นถึงชินอ๋องเจ้าสำราญ นางเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเหล่าองค์ชาย ไป๋เหม่ยเหมยจำได้ว่าสุดท้ายแล้วจินหยวนเหนียงถูกแต่งออกไปแดนไกลและไม่ได้กลับมาเมืองหลวงอีก หลายปีต่อมามีข่าวว่านางถูกสามีทุบตีจนตาย ช่างน่าเวทนายิ่งนัก

        ชาติก่อนนางไม่ได้สนิทสนมกับจินหยวนเหนียงเลยแม้แต้น้อย อีกทั้งจินหยวนเหนียงยังตั้งตนเป็นปรปักษ์กับนาง เพราะจินหยวนเหนียงหลงรักเซวียหงเย่ แต่เซวียหงเย่กลับมาชอบนาง

แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลามาครุ่นคิดเรื่องเก่าก่อน นางต้องรีบช่วยคน

ผู้คนที่มามุงดูล้วนไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าช่วยจินหยวนเหนียงสักคน ส่วนคนที่คิดจะช่วยก็เป็นพวกเติ้งถูจื่อที่คิดจะลวนลามคน ไป๋เหม่ยเหมยที่เห็นเช่นนั้นก็โมโหนัก

นางบอกให้เจ้าลูกหมีน้อยรออยู่บนฝั่ง ก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงไปในแม่น้ำ ช่วยจินหยวนเหนียงขึ้นมาจากน้ำได้สำเร็จ

จินหยวนเหนียงสำลักน้ำออกมาอย่างรุนแรงพลางซบหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋เหม่ยเหมย เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็ชะงักไปคราหนึ่ง

ยามนี้ไป๋เหม่ยเหมยตัวเปียกชุ่ม ก่อนออกจากบ้านนางแต่งกายทะมัดทะแมง รวบผมขึ้นสูง ที่นางแต่งกายเช่นนี้ก็เพื่อความสะดวก เกิดเจ้าลูกหมีน้อยดื้อรั้นวิ่งหนีนางจะได้วิ่งตามได้ทัน ดีกว่าสวมชุดกระโปรงงดงามแต่จะย่างก้าวแต่ละคราล้วนลำบากยิ่ง

        เมื่อนางก้มลงไปสบตากับจินหยวนเหนียงก็พลันชะงักไปเช่นเดียวกัน

        เหตุใดจินหยวนเหนียงจึงมองนางราวกับกำลังมองบุรุษที่ตนหลงรักเล่า

        นี่มันเรื่องบัดซบใดกัน

สาวใช้จวนชินอ๋องที่ติดตามมาด้วยรีบนำผ้ามาคลุมให้จินหยวนเหนียง ไป๋เหม่ยเหมยประคองนางขึ้นมายังบนฝั่ง พลางบอกให้ทุกคนที่มามุงดูสลายตัวไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นนางจะให้สุนัขของนางกัดเสียให้ขาขาด คนที่ได้ยินก็รีบเผ่นจากไปทันที

"ท่านเป็นเช่นไรบ้าง"

"ข้าดีขึ้นแล้ว แค่กแค่ก"

จินหยวนเหนียงเอ่ยตอบ พลางซบใบหน้าลงไปในอ้อมกอดของไป๋เหม่ยเหมยไม่ยอมหยุด จนไป๋เหม่ยเหม่ยเริ่มวางหน้าไม่ถูก

“ท่านคือยอดบุรุษที่ยื่นมือเข้าช่วยหญิงงามโดยแท้ ข้าผู้เป็นจวิ้นจู่ไม่มีสิ่งใดตอบแทน หากท่านไม่รังเกียจข้าจะมอบร่างกาย...”

“ข้าเป็นสตรี ถึงท่านมอบร่างกายให้ข้า ข้าก็มอบความสุขให้ท่านไม่ได้หรอก”

จินหยวนเหนียงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันดีดกายลุกขึ้นมาจากอ้อมกอดของไป๋เหม่ยเหมยทันที พลางมองสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนที่สายตาของนางจะมาหยุดอยู่ที่ซาลาเปาน้อยของไป๋เหม่ยเหมยที่ยังไม่เติบโตดี พลางครุ่นคิด

สตรีหรือ!

ถึงว่าสิ ตอนซบอกนาง ข้าถึงรู้สึกว่า  บุรุษที่ใดกันมีซาลาเปาสองลูกด้วย?

        ไป๋เหม่ยเหมยรู้สึกว่าตนกำลังถูกจินหยวนเหนียงลวนลามทางสายตาจึงเริ่มประหม่า ให้ตายเถอะ เดิมทีคิดจะช่วยคน แต่จินหยวนเหนียงกลับมีใจชอบพอในตัวนาง เมื่อรู้ว่านางเป็นสตรีจะต้องโกธรแค้นนางมากเป็นแน่

        แต่ทว่าทุกอย่างกลับพลิกผันไม่เป็นอย่างที่นางหวาดหวั่น

        จินหยวนเหนียงยื่นมือของตนมาจับมือของนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างเหม่อลอย

        “ตายจริง รักแรกพบของข้าคือสตรีเช่นนั้นหรือ?”

        ไป๋เหม่ยเหมยถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางอยากจะวิ่งหนีจินหยวนเหนียงไปเสียเดี๋ยวนี้

        จินหยวนเหนียงกลับไม่ยอมหยุด นางรีบสั่งให้คนนำผ้ามาคลุมตัวของไป๋เหม่ยเหมยเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยอย่างเขินอาย

        “เจ้ารูปงามนัก เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าช่วยข้าไว้ ข้าจะไม่โกรธเจ้า แต่น่าเสียดายนักที่เจ้าไม่ใช่บุรุษ แต่ไม่เป็นอันใด ในเมื่อข้าตอบแทนเจ้าด้วยร่างกายไม่ได้เช่นนั้นก็จะมอบปิ่นทองนี้แทนคำขอบคุณ”

        ไป๋เหม่ยเหมยเมื่อได้ยินก็พลันโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

"ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าไม่หวังสิ่งตอบแทนเพียงอยากช่วยคนจากใจจริงก็เท่านั้น"

จินหยวนเหนียงยิ่งซาบซึ้งเข้าไปใหญ่ นางโผเข้ามากอดไป๋เหม่ยเหมยและซบใบหน้าเข้าไปที่หน้าอกนาง ก่อนจะเอ่ย

"เจ้าช่างนิสัยดีน่าคบหายิ่งนัก รักแรกพบของข้า"

ไป๋เหม่ยเหมยถึงกับยกมือขึ้นกุมหน้าผาก จินหยวนเหนียงถามไถ่ชื่อแซ่ของนางและสนทนาด้วยอีกครู่หนึ่งก็ขอตัวจากไป ก่อนจากยังบอกอีกว่าได้จดจำนางเอาไว้ขึ้นใจแล้ว ไป๋เหม่ยเหมยถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออกทำได้เพียงยิ้มแห้งเท่านั้น

เมื่อจินหยวนเหนียงจากไปแล้วไป๋เหม่ยเหม่ยก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ต่อ นางจูงเจ้าลูกหมีน้อยคิดจะพากลับจวน แต่กลับพบว่ามีใครบางคนกำลังเดินตรงเข้ามาหานาง

ชายหนุ่มผู้มาใหม่หน้าตาหล่อเหลาคมคาย เขาใช้ดวงตาคมมองนางสลับกับมองเจ้าลูกหมีน้อยของนางก่อนจะย่นหัวคิ้วเล็กน้อย แต่กลับไม่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขามองหน้านางอีกครา ก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาใกล้นาง ไป๋เหม่ยเหมยขยับถอยหลังหนี น่าแปลกที่เจ้าลูกหมีน้อยกลับไม่เห่าเขาและยังทำท่าทางเชื่อฟังอย่างน้อยนักจะพบเห็น

ไป๋เหม่ยเหมยเดินถอยร่นจนแผ่นหลังชนเข้ากับต้นไม้ นางเจ็บมาก หญิงสาวถลึงตาใส่ชายหนุ่มตรงหน้า แต่เขากลับส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยกับนาง

“คุณหนูไป๋ช่างเก่งกาจยิ่งนัก ทำให้จวิ้นจู่หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้นเชียว ความสามารถเป็นเลิศจริงๆ”

ไป๋เหม่ยเหมยเมื่อได้ยินก็ลอบบิดเบ้มุมปากตน เซวียหงเย่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าปากของท่านมันดูเราะรายกว่าชาติที่แล้วยิ่งนักเล่า

เมื่อเห็นว่าไป๋เหม่ยเหมยไม่ตอบ เซวียหงเย่ก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้นาง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

"คุณหนูไป๋งดงามชวนมองยิ่งนัก นี่สิ ภรรยาที่ข้าตามหา รอเจ้าเข้าพิธีปักปิ่นเรียบร้อยแล้ว ข้าจะมาสู่ขอเจ้า"

เอ่ยจบเขาก็หันหลังคิดจะเดินจากไป แต่ไป๋เหม่ยเหมยกลับเอ่ยรั้งเขาเอาไว้

"ช้าก่อน"

เซวียหงเย่หันกลับมามองนางและยิ้มมุมปาก

"มีอันใด หรืออยากจะแต่งตอนนี้เลย เจ้านี่รีบร้อนจริงนะ"

ไป๋เหม่ยเหมยยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว นิสัยป่าเถื่อนไม่เห็นกฎระเบียบใดอยู่ในสายตาของเซวียหงเย่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

"ผู้ใดบอกว่าข้าจะแต่งงานกับท่าน เหลวไหลสิ้นดี!"

เซวียหงเย่ยิ้มอ่อนโยน แต่ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา เขาเดินกลับมาหานางอีกคราพร้อมกับใช้นิ้วเรียวยาวของตนยื่นมาเชยปลายคางของนางให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา

"ข้าอยากแต่งกับเจ้าก็ต้องได้แต่ง ต่อให้จะต้องพบกับความฉิบหายอีกคราก็ช่างมัน แต่ข้าต้องได้ตัวเจ้ามาอยู่ข้างกายข้า ผู้ใดคิดจะแย่งเจ้าไป ข้าจะให้มันอยู่ไม่สู้ตาย!"

เอ่ยจบเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไปทันที ทิ้งให้ไป๋เหม่ยเหมยยืนอยู่กับเจ้าลูกหมีน้อยน้อยเพียงลำพัง นางมองตามแผ่นหลังของเขาไปด้วยแววตาที่วูบไหวคราหนึ่ง ในใจรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วาสนาดอกเหมยงาม   ตอนจบ

    เช้าวันต่อมาไป๋เหม่ยเหมยก็ให้คนส่งจดหมายไปที่จวนกั๋วกง บอกว่าต้องการนัดพบกับเซวียหงเย่ที่โรงน้ำชาหงลู่ แต่ทว่ากลับไม่มีจดหมายตอบกลับ อีกทั้งคนยังหายหน้าหายตาไม่ยอมมาพบนางอีกด้วยเมื่อเอ่ยถึงโรงน้ำชาหงลู่แล้วก็พบว่ายามนี้ตลาดมืดถูกทางการทลายไปแล้ว เพราะมีการนัดพบและขายสินค้าผิดกฎหมาย จินฮ่องเต้จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้น เจ้าของโรงน้ำชาคือขุนนางผู้หนึ่งที่เป็นสหายกับอดีตรองแม่ทัพจวง เขาถูกจับ กิจการโรงน้ำชาถูกขายทอดตลาดมีคหบดีผู้หนึ่งมาซื้อและเปิดกิจการอย่างถูกกฎหมายต่อไป๋เหม่ยเหมยร้อนใจยิ่งนัก นางนึกด่าทอตนเองในใจที่คืนนั้นไม่ตอบรับคำขอของเขาโดยเร็ว จะมัวคิดหาคำตอบใดให้มากความกันนะ!นางรู้ใจตนเองช้าไป กว่าจะรู้ว่านางหลงรักเขา ก็ทำให้คนโมโหหนีหายไปไม่มาพบหน้าเสียแล้วไป๋เหม่ยเหมยจูงเจ้าลูกหมีน้อยมาเดินเล่นในตลาดเพื่อแก้เบื่อ นางต้องการมาเดินเล่นเพื่อผ่อนหลาย จึงชวนจินหยวนเหนียงมาด้วย ส่วนหลินจื่อหยานั้นได้ยินว่าปวดหัวจึงไม่ได้มาเดินเล่นกับพวกนางนางนำเรื่องที่เกิดขึ้นเล่าให้จินหยวนเหนียงฟัง จินหยวนเหนียงฟังจบจึงเอ่ยกับนางทันที"ข้าควรสมหน้าเจ้าดีหรือไม่ คนเขาขอแต่งงานเจ้าก็ควรตอบรั

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 15 ปักปิ่น

    เรื่องราวเลวร้ายผ่านไปราวกับสายลมพัด ไม่นานทุกคนต่างลืมเรื่องเหล่านี้ไป ตั้งแต่เกิดเรื่องในครั้งนั้นสุขภาพของจินฮ่องเต้ก็ไม่ใคร่จะสู้ดีเท่าใดนัก เพราะเกรงว่าตนอาจจะจากไปก่อนจะได้ทำเรื่องสำคัญให้แล้วเสร็จ จึงทรงออกพระราชโองการแต่งตั้งจินเฉวียนขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ที่ผ่านมาจินเฉวียนก็ได้พิสูจน์แล้วว่าตนเองนั้นเหมาะสมคู่ควรกับตำแหน่งนี้วันที่ทำพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท เซวียหงเย่ก็มาร่วมงานด้วย เขามองญาติผู้น้้องตนคราหนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มเอ่อคลอ ตอนนี้ทุกคนในตระกูลเซวียยังอยู่ดีมีสุข ช่างนับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่ง"ญาติผู้พี่ ท่านดูสิ ข้าได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว เป็นเช่นไร ชุดที่ข้าสวมใส่หรูหราหรือไม่"จินเฉวียนยามนี้มีอายุเพียงสิบแปดปี ยังคงมีนิสัยของเด็กน้อยร่าเริงอยู่ เซวียหงเย่ยื่นมือไปจับไหล่น้องชายก่อนจะเอ่ย"เฉวียนเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าต้องปกครองไพร่ฟ้าให้อยู่ร่มเย็น อย่าโลภมาก อย่าให้อำนาจบังตาจนเดินไปสู่ทิศทางที่ไม่ดี และต้องดูแลเสด็จป้าให้ดี เลือกสตรีที่ดีมาเป็นคู่ชีวิต ส่วนข้าจะสนับสนุนเจ้าตลอดไป เจ้าต้องมีชีิวิตต่อไปให้ดีรู้หรือไม่"อยู่ๆจินเฉวียนก็ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา ทุกคำที่ญาติผู้พ

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 14 จินฟานเสียสติ

    ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้เหล่าขุนนางเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ตนจัดขึ้น จินฮ่องเต้ชมชอบความสำราญที่ผ่านมาจึงมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงอยู่หลายคราจวนตระกูลไป๋ก็มาร่วมงานเลี่ยงเช่นเดียวกัน เพราะเป็นงานที่เกี่ยวพันกับเชื้อพระวงศ์ ไป๋เหม่ยเหมยจึงต้องแต่งกายให้ประณีตเสียหน่อยสองวันก่อนจินหยวนเหนียงส่งจดหมายมาบอกนางว่า ได้สั่งให้นางกำนัลจัดที่นั่งให้พวกนางสามคนนั่งใกล้กันแล้ว ไป๋เหม่ยเหมยยิ้มออกมาคราหนึ่ง พลางถอนหายใจ ชาตินี้ศัตรูได้กลับกลายมาเป็นมิตร และศัตรูที่มีใจคิดชั่วก็เริ่มทะยอยตายจากไปทีละคนแล้วไม่นานก็มาถึงพระราชวังฤดูร้อน ไป๋เหม่ยเหมยเดินเข้าไปพร้อมครอบครัวของตน เมื่อเข้ามาถึงบิดาและพี่ชายก็แยกไปพบปะสหายของตน มารดานางก็ไปพบปะกับเหล่าฮูหยินจากจวนอื่นๆ ส่วนตัวนางนั้นถูกจินหยวนเหนียงและหลินจื่อหยาพาไปนั่งยังที่ๆถูกจัดเตรียมเอาไว้ เหล่าสตรีน้อยต่างมองไป๋เหม่ยเหมยด้วยแววตาริษยา แต่ไหนแต่ไรมีสตรีน้อยหลายคนที่อยากผูกมิตรกับจวิ้นจู่ แต่ทว่านางกลับหยิ่งยโสโอหังเพราะเห็นว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่คิดจะสนิทสนมกับใครง่ายๆ แต่ยามนี้กลับสนิทกับไป๋เหม่ยเหมยและหลินจื่อหยา ช่างน่าโ

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 13 หาทางเข้าใกล้

    เช้าวันต่อมาตระกูลเจินก็วุ่นวายไม่น้อยเลย เนื่องจากอยู่ๆเจินหลิงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มารดาของนางไปแจ้งทางการแต่กลับไม่พบตัวบุตรสาว ด้านจินฟานเองก็ทำราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้นชายหนุ่มนั่งจิบชาอยู่ในจวนองค์ชายรอง สภาพจิตใจช่วงนี้ค่อนข้างไม่สู้ดีเท่าใดนัก เขารู้สึกว่าหลายอย่างที่ตนต้องการจะทำคล้ายไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ราวกับว่ามีมือของใครบางคนยื่นเข้ามาคอยขัดขวางเขาอยู่ตลอดเวลาเขาและเจินหลิงเคยมีใจรักใคร่ต่อกันนั้นล้วนเป็นเรื่องจริง แต่การที่เขาเข้าหานางก็ล้วนมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง บิดาของนางมีอำนาจในราชสำนัก อีกทั้งยังรู้จักและสนิทสนมกับขุนนางฝ่ายบุ๋นมากหน้าหลายตา หากเขาแต่งกับนางแน่นอนว่าเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นย่อมสนับสนุนเขา แต่กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝัน บิดานางมาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เมื่อบิดาของนางมาตายจากไป เช่นนี้แล้วจวนตระกูลเจินย่อมล้มลง นางก็ไม่มีประโยชน์อันใดต่อเขาอีกเดิมทีเขาไม่คิดจะทอดทิ้งนางให้ลำบาก แต่ผู้ใดจะรู้ว่านางจะกล่าววาจาข่มขวัญเขา แต่เขาไม่กลัวแม้แต่น้อย นางก็เป็นเพียงสตรีบอบบางนางหนึ่ง แม้แต่แรงเชือดไก่ยังไม่มีแล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาต่อสู้กับเขาเพราะโทสะท

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 12 สังหารกันเอง

    เมื่อเสนาบดีเจินสิ้นชีพ คนตระกูลเจินก็เหมือนกับแพแตกไร้ซึ่งที่พึ่งพิง ผู้คนที่เคยเข้าหาเพื่อผลประโยชน์ล้วนมองสองแม่ลูกด้วยสายตาเวทนา แต่กลับไม่มีใครสักคนที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไป๋เหม่ยเหมยที่ได้ทราบเรื่องนี้กลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางคิดเพียงว่ามันคือเวรกรรมที่เจินหลิงและคนตระกูลเจินล้วนต้องพบเจอชาติก่อนตระกูลไป๋บ้านแตกสาแหรกขาด คนตระกูลเจินล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องเสนาบดีเจินภายนอกดูเหมือนจะเป็นขุนนางที่เที่ยงตรงไม่สนใจฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่ว่าแท้จริงแล้วกลับลอบสนับสนุนองค์ชายรองอย่างลับๆ เสนาบดีเจินนั้นเป็นสหายสนิทกับรองแม่ทัพจวง ชาติก่อนนั้นคนทั้งสองต่างได้ผลประโยชน์ร่วมกันเสพสุขด้วยกัน แต่ชาตินี้เสนาบดีเจินกลับตกตายไปเสียก่อน และอีกไม่นานจินฟานและคนตระกูลจวงก็จะเป็นรายต่อไป!อยู่ๆไป๋เหม่ยเหมยก็นึกถึงคำพูดของเซวียหงเย่ขึ้นมาได้ เขาบอกนางว่าอีกสามวันจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นกับตระกูลเจินแต่นี่ยังไม่ถึงสามวันเลยกลับพบว่าจวนตระกูลเจินเกิดเรื่องขึ้นเสียแล้วนับตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้นนางก็ไม่ได้พบกับเซวียหงเย่อีก มีเพียงองค์รักษ์ของเขาที่ลอบนำยามาให้นางกลางดึก บอกว่าเป็นยาทาที่ดียิ่ง ให้ทาบริเว

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 11 ไฟไหม้จวน

    ปริศนาที่เซวียหงเย่ทิ้งเอาไว้นั้นทำให้ไป๋เหม่ยเหมยเกิดความสงสัยจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ยามเช้าตอนตื่นนอนขึ้นมา ขอบตาของนางจึงคอนข้างดำคล้ำไม่น้อยเลย อาจูที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอาไข่ต้มมาให้เจ้านายอังใต้ขอบตา ไป๋เหม่ยเหมยลอบก่นด่าเซวียหงเย่ในใจ เพราะเขาแท้ๆ ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของนางกำเริบจนนอนไม่หลับหญิงสาวจัดการประทินโฉมให้หนาหน่อยเพื่อปกปิดรอยคล้ำใต้ดวงตา ก่อนจะเดินไปที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งเมื่อหลายวันก่อนนางหมักสุราเอาไว้หนึ่งไห มันเป็นสุราสูตรหนึ่งที่นางไปขอซื้อมาจากร้านสุรา นางต้องจ่ายเงินมหาศาลเพื่อขอซื้อสูตรจากเขา และบอกว่าอยากเอาไปหมักให้ท่านแม่ได้ลองดื่ม ไม่คิดจะเอาไปเปิดขายเพื่อแข่งกับเขา ท่านลุงเจ้าของร้านสุราจึงยอมขายให้นาง สุรานี้หมักเพียงเจ็ดวันก็สามารถดื่มได้แล้ว ไป๋เหม่ยเหมยให้อาจูขุดมันขึ้นมาก่อนจะที่นางจะนำสุราไหนั้นไปที่เรือนใหญ่ยามเช้าวันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าเพื่อร่วมกินมื้อเช้าด้วยกัน เมื่อเห็นว่าบุตรสาวอุ้มไหสุรามาด้วยฮูหยินใหญ่ก็อารมณ์ดียิ่ง นางกอดไหสุราเอาไว้แน่น บอกว่าจะเก็บไว้กินเอง แม้กระทั่งสามีก็ไม่คิดจะแบ่งแม่ทัพใหญ่ไป๋รักใคร่ภรรยายิ่ง เขาบอกนางว่า

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 10 กินปลาเยอะๆ

    เมื่อสถาณการณ์คลี่คลายแล้ว ไป๋เหม่ยเหมยและสหายของนางจึงแยกย้ายกันกลับจวนของตน เซวียหงเย่บอกว่ามีเรื่องอยากจะสนทนากับนางเสียหน่อย คืนนี้เขาอยากจะไปพบนางที่เรือนนอนของนาง ไม่รอให้หญิงสาวได้มีโอกาศปฏิเสธก็จากไปทันที ไป๋เหม่ยเหมยกระทืบเท้าเร่าๆ คนผู้นี้คิดจะปีนห้องนอนของนางอีกแล้ว!ยามดึกคืนนั้นเขาก็มาหานางจริงๆ อีกทั้งยังนำตะเกียบติดมือมาด้วย!ไป๋เหม่ยเหมยมองเซวียหงเย่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกทั้งยังถือตะเกียบเอาไว้ในมือ ก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก"คุณหนูไป๋ ข้าสู้อุตส่าห์นำตะเกียบคู่ใหม่มา เจ้ากลับไม่เตรียมอาหารเอาไว้ต้อนรับ ช่างไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย"ไป๋เหม่ยเหมยกลอกตาไปมา ก่อนจะเอ่ย"จวนท่านเป็นถึงจวนกั๋วกง คงไม่ขาดแคลนเรื่องอาหารการกินกระมัง""แต่กินกับเจ้า ย่อมอร่อยกว่า"ไป๋เหม่ยเหมยหมดวาจาจะเอ่ย นางอับจนหนทางจึงบอกให้อาจูไปทำอาหารมาสักสองสามอย่าง อาจูที่นำอาหารเข้ามาเมื่อเห็นว่าเซวียหงเย่อยู่ในห้องนอนของเจ้านายตนก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก ไป๋เหม่ยเหมยบอกว่าให้อาจูออกไปเฝ้าหน้าห้องและห้ามเข้ามา อาจูพยักหน้าและรีบออกไปทันทีเซวียหงเย่กินอาหารจนอิ่ม ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ไป๋เหม่ยเหมย"เรื่องที่เกิดขึ้นวัน

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 9 แผนเจ้าเล่ห์

    ปลายฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นบ้างเล็กน้อย ระยะนี้เหล่าชนชั้นสูงในเมืองหลวงที่ค่อนข้างมีฐานะล้วนซื้อน้ำแข็งกักตุนเอาไว้ เพราะเมื่อถึงช่วงกลางฤดูร้อนเมื่อใด ราคาน้ำแข็งจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว การซื้อมาเก็บเอาไว้ก่อนย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและไม่ต้องจ่ายเงินซื้อในราคาที่สูงเกินความจำเป็นไป๋เหม่ยเหมยอยู่แต่ในจวนรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก นางจึงเขียนจดหมายให้คนนำไปมอบให้หลินจื่อหยา บอกว่าให้นัดพบกันที่ภัตตาคารจินเซียนเพื่อไปชิมอาหารรสเลิศด้วยกัน หลินจื่อหยาเมื่อได้รับจดหมายแล้วจึงรีบเขียนตอบกลับ และนัดวันทันที ไป๋เหม่ยเหมยยิ้มตาหยี นางกับหลินจินหย่าไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นด้้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วเวลาล่วงผ่านไปจนถึงวันนัดหมาย ไป๋เหม่ยเหมยและหลินจื่อหยาก็ไปพบกันที่ภัตตาคารจินเซียนตามนัด เมื่อมาถึงผู้ใดจะคาดคิดว่าจะได้พบกับจินหยวนเหนียงเข้าตั้งแต่จินหยวนเหนียงสารภาพว่านางเป็นรักแรกในครานั้น ไป๋เหม่ยเหมยก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรดี เรื่องราวเปลี่ยนไปรวดเร็วจนคนตั้งรับไม่ทัน จากคนที่เคยเกลียดชังกันในชาติก่อน ทว่าชาตินี้กลับมีใจรักต่อกัน มันจะกระอักกระอ่วนเกินไปแล้ว

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 8 ร่วมโต๊ะ

    "ช่างเป็นตะเกียบที่ดียิ่ง"เซวียหงเย่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี พลางเดินมาทิ้งกายลงนั่งตรงข้ามไป๋เหม่ยเหมย โดยไม่สนใจสายตาที่จ้องจะทุบตีเขาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน"ดีมาก กินปลาเยอะๆ สมองที่ทึมทื่อของเจ้าจะได้ใช้งานได้ดี"ไป๋เหม่ยเหมยลอบกัดฟัน ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา เขาด่านางโง่ออกมาตรงๆยังไม่เจ็บถึงเพียงนี้เลย นางจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเอ่ยถาม"ไคกั๋วกง ท่านลอบเข้าห้องหญิงสาวยามวิกาลเช่นนี้ เสด็จป้าที่เป็นฮองเฮาของท่านรู้หรือไม่"นางเอ่ยถามคล้ายต้องการยั่วโทสะเขา แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่สะทกสะท้านอันใด"อาจจะรู้ หรือบางคราก็อาจจะไม่รู้ แล้วมันอย่างไรเล่า ตระกูลเซวียของข้ายิ่งใหญ่ออกปานนี้ ข้าปีนเข้าห้องใครแล้ว มันจะทำไมหรือ?""หน้าหนา!""เป็นคำชมที่ดี ข้าชอบมาก"ไป๋เหม่ยเหมยถึงกับหมดคำจะกล่าว นางไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาด่าเขาแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาจ้องมองอาหารบนโต๊ะของนางอย่างไม่ลดละ นางก็ยกยิ้มมุมปาก พลางทำท่าทีรู้สึกผิดเสียเต็มประดา"เห้อ ใจจริงข้าก็อยากจะชวนท่านกินข้าวด้วยกัน แต่จนใจที่มีตะเกียบเพียงคู่เดียว ท่านเองก็คงไม่คิดจะใช้มือหยิบ

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status