หน้าหลัก / รักโบราณ / วาสนาดอกเหมยงาม / บทที่ 3 สหายเก่าที่รู้ใจ

แชร์

บทที่ 3 สหายเก่าที่รู้ใจ

ผู้เขียน: องค์หญิงโนเนม
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-14 12:57:08

เรื่องราวก็ผ่านไปเช่นนี้ ท่านหมอรักษาไป๋หลางแต่กลับไม่หาย ไป๋เหม่ยเหมยจึงยกมือตบหน้าพี่ชายทั้งซ้ายและขวา สุดท้ายดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ไป๋หลางแม้จะเจ็บแต่กลับดีใจที่ตาดำของตนไม่เขแล้ว

เขาเองก็ดื่มสุรา แต่สิ่งที่ท่านแม่เรอออกมามันทำให้เขาทนไม่ไหวจริงๆ

ยามค่ำคืนในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้น อากาศค่อนข้างเย็นเล็กน้อย สายลมพัดมาผะแผ่ว ให้ความรู้สึกเย็นสบายไม่น้อยเลย ยามนี้ไป๋เหม่ยเหมยกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พลางทอดสายตามองดูพระจันทร์เบื้องหน้าที่ส่องแสงสว่าง ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีดำคล้ายกับถูกน้ำหมึกอาบย้อมเอาไว้ ดูงดงามและลึกลับน่าค้นหาในคราเดียวกัน

นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มพลางครุ่นคิดถึงใครบางคนในชาติก่อน

เซวียหงเย่

เซวียหงเย่เป็นบุตรชายตระกูลเซวีย ตอนนั้นอายุยี่สิบห้าปี ท่านป้าของเขาเป็นถึงฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ในวังหลวง ตอนเขาอายุสิบห้าปีบิดาพลันมาล้มป่วยตายจากไป เขาจึงสืบทอดตำแหน่งไคกั๋วกงแทนบิดาตน และยังเป็นถึงหัวหน้าสำนักองค์รักษ์เสื้อแพรทำงานใกล้ชิดฮ่องเต้ แต่สุดท้ายเมื่อจินฟานได้อำนาจทหารในมือทั้งหมดไปครอง ก็ลงมือสังหารบิดาตน พี่น้องและคนสนิทของบิดาจนตายหมด เดิมทีตำแหน่งฮ่องเต้ควรเป็นของจินเฉวียนองค์ชายใหญ่ แต่จินฟานฉลาดมากแผนการ เขาแกล้งทำดี แสร้งวางท่าเป็นคนอ่อนโยนเพื่อตบตาผู้คน ใช้วิธีสกปรกโสมมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปราถนา สุดท้ายแล้วจึงเป็นฝ่ายกำชัยชนะ

เซวียหงเย่ปักใจรักในตัวนาง เขาถึงกับวิ่งตามนางมาที่จวนเพื่อสารภาพรักกับนาง แต่ว่านางกลับปฏิเสธเขาไปอย่างไม่ไยดี ตอนที่เกิดสงครามฆ่าล้างเมือง เขาและบิดานางถือดาบหันหลังชนกัน ต่อสู้เคียงข้างกัน สุดท้ายก็ตกตายตามกันไปทั้งคู่

เซวียหงเย่เป็นบุรุษที่ดี แต่ออกจะนิสัยป่าเถื่อนไม่สนโลกไปเสียหน่อย นางในยามนั้นมองบุรุษนิสัยเช่นนี้ว่าไม่น่าคบหา สู้จินฟานที่นิสัยอ่อนโยนไม่ได้ 

แต่แล้วเป็นเช่นไรเล่า ดั่งคำที่มีคนเคยว่าไว้ เราจะมองคนเพียงภายนอกที่เขาแสดงออกไม่ได้

คนที่ภายนอกดูเหมือนจะดุร้ายเนื้อแท้อาจจะเป็นเทพเซียน แต่คนที่ภายนอกอ่อนโยนจิตใจดีเนื้อแท้อาจจะโหดร้ายยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก

ไป๋เหม่ยเหมยถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ยามนี้นางได้ย้อนเวลากลับมาแล้ว สิ่งที่นางจะทำก็คือไม่เดินเข้าสู่กองไฟ หาทางช่วยบิดามารดาของนางและพี่ชาย ช่วยคนในตระกูล และนางจะหาทางขัดขวางไม่ให้จินฟานได้สมหวังดั่งใจตนปราถนา

ยามนี้ดึกมากแล้ว นางเองก็รู้สึกง่วงงุนยิ่งนัก จึงผล็อยหลับไป

ยามเช้าของวันต่อมาอากาศดียิ่งนัก หลังจากกินอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว นางก็ไปคารวะบิดามารดาตน แม่ทัพใหญ่ไป๋นั้นก่อนจะไปค่ายทหารยังมอบตั๋วเงินให้บุตรสาวสาวหลายใบบอกว่าอยากเอาไปซื้อสิ่งก็ได้ แต่กลับให้บุตรชายเพียงคนละสามสิบตำลึง ไป๋หลงและไป๋หลางกลับไม่รู้สึกโกธรน้องสาวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีความคิดว่าวันนี้ต้องเกาะติดน้องเล็กเอาไว้จะได้มีเงินซื้อของ

ไป๋เหม่ยเหมยรู้สึกเอ็นดูพี่ชายทั้งสองไม่น้อยเลย 

เมื่อบิดาออกจากจวนไปแล้ว นางจึงชวนพี่ชายทั้งสองไปเดินเล่นที่ตลาดด้วยกัน เพราะยามนี้ยังไม่ถึงช่วงเปิดเรียนของสำนักศึกษา เหล่าคุณชายและคุณหนูต่างยังคงเที่ยวเล่นได้ตามใจชอบ

ไป๋หลงและไป๋หลางเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับด้วยความดีใจ พวกเขาชมชอบความสำราญอยู่แล้วจึงรับปากน้องสาวตนทันที

ไป๋เหม่ยเหมยมองพี่ชายทั้งสองของตนด้วยแววตาที่อบอุ่น ในชาติก่อนนั้นพี่ชายของนางได้เป็นขุนนางทั้งสองคน ไป๋หลงพี่ชายคนโตได้เป็นถึงหัวหน้าสำนักฮั่นหลิน ส่วนไป๋หลางพี่ชายคนรองรั้งตำแหน่งรองแม่ทัพผู้มากความสามารถ อนาคตไกล แม้จะดูเหมือนไม่สนใจสิ่งใด แต่ยามที่ตั้งใจพี่ชายของนางทั้งสองคนกลับทำได้ดียิ่ง

ชาตินี้พวกเขาทุกคนจะต้องมีชีวิตอยู่ไปจนแก่เฒ่า

สามพี่น้องนั่งรถม้าออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังตลาด อยู่ๆไป๋เหม่ยเหมยก็บอกให้คนขับรถม้าเปลี่ยนเส้นทางไปยังที่หนึ่ง ไป๋หลงและไปหลางหันมามองหน้ากัน เป็นไป๋หลงที่เอ่ยถามน้องสาวด้วยความสงสัย

"น้องเล็ก ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาด เหตุใดจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่โรงน้ำชาหงลู่แทนเล่า"

ไป๋เหม่ยเหมยเพียงยิ้มเล็กน้อยไม่ได้เอ่ยตอบอันใด

เพราะเหตุใดนางจึงไปที่โรงน้ำชาหงลู่น่ะหรือ เพราะที่นั่นมีตลาดมืดอย่างไรเล่า  ชาติก่อนนางตามจินฟานไปที่นั่น และยังรู้ว่าเขาและคนตระกูลจวงลอบติดต่อกับคนของตนอย่างลับๆผ่านตลาดมืดแห่งนั้น โรงน้ำชาหงลู่นั้นภายนอกดูคล้ายร้านน้ำชาทั่วไป แต่กลับมีห้องลับใต้ดิน ขอเพียงมีเงินมากพอก็สามารถเข้าไปได้ ผู้คนที่เข้าไปล้วนไปเพื่อซื้อของหายากและของผิดกฎหมายที่ทางการสั่งห้าม นางไม่รู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงของโรงน้ำชาหงลู่คือผู้ใด คาดว่าคงจะเป็นคนที่มีอำนาจไม่น้อยเลย

และที่สำคัญ นางมาตามหาสหายรู้ใจของนางในชาติก่อน สหายที่เคยปกป้องนางด้วยชีวิต

ไม่นานนักคนทั้งหมดก็มาถึงโรงน้ำชาหงลู่ ไป๋เหม่ยเหมยใช้ผ้าปิดบังใบหน้าตน และยังบอกให้พี่ชายอีกสองคนทำตามนาง ไป๋หลงและไป๋หลางเพียงพยักหน้ารับคำทั้งที่ในใจสงสัยเป็นอย่างมาก

ไป๋เหม่ยเหมยจ่ายเงินให้คนเฝ้าประตู ก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมพี่ชายทั้งสองคน เมื่อเดินลงมาชั้นล่างก็พบว่ามันอับชื้นไม่น้อยเลย ไป๋หลงและไป๋หลางเดินขนาบข้างน้องสาวเพื่อคอยระวังภัย แต่ไป๋เหม่ยเหมยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอันใด ที่นี่เพียงขายสินค้าที่ทางการไม่ได้อนุญาต และเป็นที่นัดพบของขุนนางอย่างลับๆ นอกนั้นก็ไม่ได้มีอันตรายใด เพียงแค่ระวังตัวให้มาก อย่าให้ใครเห็นใบหน้าตนก็พอ

ไป๋เหม่ยเหมยก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนมาหยุดอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง

ไป๋หลงและไป๋หลางไม่คิดเลยว่า น้องสาวจะพาตนมาที่ลานแข่งสุนัข

พวกเขาเคยได้ยินว่าในตลาดมืดมีการแข่งสุนัขอยู่ พวกเขาจะเอาสุนัขมาต่อสู้กัน ตัวไหนแพ้ก็ตาย ตัวไหนชนะแข็งแกร่งก็มักจะสุขสบาย แต่จะสุขสบายจริงหรือไม่นั้นพวกเขาไม่ทราบ เพราะการแข่งขันสุนัขสู้กันไม่เคยให้สุนัขที่ชนะได้พักเลยสักครา ชีวิตของสัตว์เหล่าช่างนี้น่าสงสารเป็นอย่างมาก

เสียงผู้คนโห่ร้องดังลั่น บางคนถึงกับวางเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อเดิมพัน

ไป๋เหม่ยเหมยค่อยๆเดินเข้าไป ก่อนจะมองไปโดยรอบและพบกับสุนัขสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่กำลังนอนอยู่ในกรง ดวงตาของมันเหม่อลอยพลางมองไปโดยรอบคล้ายกับกำลังรอคอยการมาของใครบางคน

อยู่ๆมันก็หันมองมายังทิศทางที่ไป๋เหม่ยเหมยยืนอยู่ ดวงตาของมันพลันเปล่งประกายพลางส่ายหางไปมา ท่าทางของมันดูลุกลี้ลุกลนเป็นอย่างมาก

ชั่วขณะนั้นดวงตาของไป๋เหม่ยเหมยพลันแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่อาจอดกลั้น

มันคือเจ้าลูกหมีน้อยของนาง นางซื้อมันมาจากตลาดมืดแห่งนี้เพราะชอบขนของมัน ชาติก่อนเพราะปกป้องนาง มันจึงถูกจินฟานแทงกลางลำตัวจนตาย

ตอนที่พบกันในชาติก่อนมันดื้อนัก นางต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะปราบพยศมันลงได้

แต่ยามนี้มันกลับมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย ราวกับกำลังรอคอยเจ้าของ

ไป๋เหม่ยเหมยเดินตรงไปหาคนขายสุนัขทันที

"ข้าต้องการซื้อสุนัขสีดำตัวนั้น ให้ราคาหนึ่งร้อยตำลึง"

คนขายสุนัขถึงกับดวงตาลุกวาว เดิมทีเจ้าสุนัขสีดำตัวนั้นเป็นเพียงสุนัขจรจัดตัวหนึ่งเท่านั้น เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนโง่มาซื้อมันไปในราคาสูงถึงเพียงนี้

เมื่อเงินถึงย่อมได้ของ เถ้าแก่รีบนำสุนัขตัวนั้นมามอบให้ไป๋เหม่ยเหมย ไป๋หลงและไป๋หลางเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ไป๋หลงรีบเอ่ยปรามน้องสาวทันที

“น้องเล็ก มันตัวโตถึงเพียงนี้ จะเลี้ยงให้เชีื่องไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าคิดดีแล้วหรือ"

ไป๋หลางเองก็เห็นด้วย แต่ไป๋เหม่ยเหมยกลับยิ้มตาหยี

"พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านไม่ต้องกังวล มันไม่ทำร้ายคน"

เอ่ยจบนางก็เดินเข้าไปหาเจ้าลูกหมีน้อยของนาง เจ้าลูกหมีน้อยเมื่อเห็นนางก็หมอบลงแทบเท้าพลางครางหงิงๆ ไป๋เหม่ยเหมยยื่นมือไปลูบหัวมัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

"ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าเจ้าลูกหมีน้อย เจ้าลูกหมีน้อย พวกเรากลับบ้านกันเถอะนะ"

คล้ายว่ามันจะรับรู้ในสิ่งที่นางเอ่ย จึงเดินตามนางกลับไปอย่างว่าง่าย

หนึ่งสตรีน้อยกับหนึ่งสุนัขตัวใหญ่มหึมาที่เดินเคียงข้างกัน กลับดูเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด ราวกับผูกพันกันมานานแสนนาน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วาสนาดอกเหมยงาม   ตอนจบ

    เช้าวันต่อมาไป๋เหม่ยเหมยก็ให้คนส่งจดหมายไปที่จวนกั๋วกง บอกว่าต้องการนัดพบกับเซวียหงเย่ที่โรงน้ำชาหงลู่ แต่ทว่ากลับไม่มีจดหมายตอบกลับ อีกทั้งคนยังหายหน้าหายตาไม่ยอมมาพบนางอีกด้วยเมื่อเอ่ยถึงโรงน้ำชาหงลู่แล้วก็พบว่ายามนี้ตลาดมืดถูกทางการทลายไปแล้ว เพราะมีการนัดพบและขายสินค้าผิดกฎหมาย จินฮ่องเต้จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้น เจ้าของโรงน้ำชาคือขุนนางผู้หนึ่งที่เป็นสหายกับอดีตรองแม่ทัพจวง เขาถูกจับ กิจการโรงน้ำชาถูกขายทอดตลาดมีคหบดีผู้หนึ่งมาซื้อและเปิดกิจการอย่างถูกกฎหมายต่อไป๋เหม่ยเหมยร้อนใจยิ่งนัก นางนึกด่าทอตนเองในใจที่คืนนั้นไม่ตอบรับคำขอของเขาโดยเร็ว จะมัวคิดหาคำตอบใดให้มากความกันนะ!นางรู้ใจตนเองช้าไป กว่าจะรู้ว่านางหลงรักเขา ก็ทำให้คนโมโหหนีหายไปไม่มาพบหน้าเสียแล้วไป๋เหม่ยเหมยจูงเจ้าลูกหมีน้อยมาเดินเล่นในตลาดเพื่อแก้เบื่อ นางต้องการมาเดินเล่นเพื่อผ่อนหลาย จึงชวนจินหยวนเหนียงมาด้วย ส่วนหลินจื่อหยานั้นได้ยินว่าปวดหัวจึงไม่ได้มาเดินเล่นกับพวกนางนางนำเรื่องที่เกิดขึ้นเล่าให้จินหยวนเหนียงฟัง จินหยวนเหนียงฟังจบจึงเอ่ยกับนางทันที"ข้าควรสมหน้าเจ้าดีหรือไม่ คนเขาขอแต่งงานเจ้าก็ควรตอบรั

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 15 ปักปิ่น

    เรื่องราวเลวร้ายผ่านไปราวกับสายลมพัด ไม่นานทุกคนต่างลืมเรื่องเหล่านี้ไป ตั้งแต่เกิดเรื่องในครั้งนั้นสุขภาพของจินฮ่องเต้ก็ไม่ใคร่จะสู้ดีเท่าใดนัก เพราะเกรงว่าตนอาจจะจากไปก่อนจะได้ทำเรื่องสำคัญให้แล้วเสร็จ จึงทรงออกพระราชโองการแต่งตั้งจินเฉวียนขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ที่ผ่านมาจินเฉวียนก็ได้พิสูจน์แล้วว่าตนเองนั้นเหมาะสมคู่ควรกับตำแหน่งนี้วันที่ทำพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท เซวียหงเย่ก็มาร่วมงานด้วย เขามองญาติผู้น้้องตนคราหนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มเอ่อคลอ ตอนนี้ทุกคนในตระกูลเซวียยังอยู่ดีมีสุข ช่างนับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่ง"ญาติผู้พี่ ท่านดูสิ ข้าได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว เป็นเช่นไร ชุดที่ข้าสวมใส่หรูหราหรือไม่"จินเฉวียนยามนี้มีอายุเพียงสิบแปดปี ยังคงมีนิสัยของเด็กน้อยร่าเริงอยู่ เซวียหงเย่ยื่นมือไปจับไหล่น้องชายก่อนจะเอ่ย"เฉวียนเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าต้องปกครองไพร่ฟ้าให้อยู่ร่มเย็น อย่าโลภมาก อย่าให้อำนาจบังตาจนเดินไปสู่ทิศทางที่ไม่ดี และต้องดูแลเสด็จป้าให้ดี เลือกสตรีที่ดีมาเป็นคู่ชีวิต ส่วนข้าจะสนับสนุนเจ้าตลอดไป เจ้าต้องมีชีิวิตต่อไปให้ดีรู้หรือไม่"อยู่ๆจินเฉวียนก็ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา ทุกคำที่ญาติผู้พ

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 14 จินฟานเสียสติ

    ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้เหล่าขุนนางเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ตนจัดขึ้น จินฮ่องเต้ชมชอบความสำราญที่ผ่านมาจึงมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงอยู่หลายคราจวนตระกูลไป๋ก็มาร่วมงานเลี่ยงเช่นเดียวกัน เพราะเป็นงานที่เกี่ยวพันกับเชื้อพระวงศ์ ไป๋เหม่ยเหมยจึงต้องแต่งกายให้ประณีตเสียหน่อยสองวันก่อนจินหยวนเหนียงส่งจดหมายมาบอกนางว่า ได้สั่งให้นางกำนัลจัดที่นั่งให้พวกนางสามคนนั่งใกล้กันแล้ว ไป๋เหม่ยเหมยยิ้มออกมาคราหนึ่ง พลางถอนหายใจ ชาตินี้ศัตรูได้กลับกลายมาเป็นมิตร และศัตรูที่มีใจคิดชั่วก็เริ่มทะยอยตายจากไปทีละคนแล้วไม่นานก็มาถึงพระราชวังฤดูร้อน ไป๋เหม่ยเหมยเดินเข้าไปพร้อมครอบครัวของตน เมื่อเข้ามาถึงบิดาและพี่ชายก็แยกไปพบปะสหายของตน มารดานางก็ไปพบปะกับเหล่าฮูหยินจากจวนอื่นๆ ส่วนตัวนางนั้นถูกจินหยวนเหนียงและหลินจื่อหยาพาไปนั่งยังที่ๆถูกจัดเตรียมเอาไว้ เหล่าสตรีน้อยต่างมองไป๋เหม่ยเหมยด้วยแววตาริษยา แต่ไหนแต่ไรมีสตรีน้อยหลายคนที่อยากผูกมิตรกับจวิ้นจู่ แต่ทว่านางกลับหยิ่งยโสโอหังเพราะเห็นว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่คิดจะสนิทสนมกับใครง่ายๆ แต่ยามนี้กลับสนิทกับไป๋เหม่ยเหมยและหลินจื่อหยา ช่างน่าโ

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 13 หาทางเข้าใกล้

    เช้าวันต่อมาตระกูลเจินก็วุ่นวายไม่น้อยเลย เนื่องจากอยู่ๆเจินหลิงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มารดาของนางไปแจ้งทางการแต่กลับไม่พบตัวบุตรสาว ด้านจินฟานเองก็ทำราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้นชายหนุ่มนั่งจิบชาอยู่ในจวนองค์ชายรอง สภาพจิตใจช่วงนี้ค่อนข้างไม่สู้ดีเท่าใดนัก เขารู้สึกว่าหลายอย่างที่ตนต้องการจะทำคล้ายไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ราวกับว่ามีมือของใครบางคนยื่นเข้ามาคอยขัดขวางเขาอยู่ตลอดเวลาเขาและเจินหลิงเคยมีใจรักใคร่ต่อกันนั้นล้วนเป็นเรื่องจริง แต่การที่เขาเข้าหานางก็ล้วนมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง บิดาของนางมีอำนาจในราชสำนัก อีกทั้งยังรู้จักและสนิทสนมกับขุนนางฝ่ายบุ๋นมากหน้าหลายตา หากเขาแต่งกับนางแน่นอนว่าเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นย่อมสนับสนุนเขา แต่กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝัน บิดานางมาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เมื่อบิดาของนางมาตายจากไป เช่นนี้แล้วจวนตระกูลเจินย่อมล้มลง นางก็ไม่มีประโยชน์อันใดต่อเขาอีกเดิมทีเขาไม่คิดจะทอดทิ้งนางให้ลำบาก แต่ผู้ใดจะรู้ว่านางจะกล่าววาจาข่มขวัญเขา แต่เขาไม่กลัวแม้แต่น้อย นางก็เป็นเพียงสตรีบอบบางนางหนึ่ง แม้แต่แรงเชือดไก่ยังไม่มีแล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาต่อสู้กับเขาเพราะโทสะท

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 12 สังหารกันเอง

    เมื่อเสนาบดีเจินสิ้นชีพ คนตระกูลเจินก็เหมือนกับแพแตกไร้ซึ่งที่พึ่งพิง ผู้คนที่เคยเข้าหาเพื่อผลประโยชน์ล้วนมองสองแม่ลูกด้วยสายตาเวทนา แต่กลับไม่มีใครสักคนที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไป๋เหม่ยเหมยที่ได้ทราบเรื่องนี้กลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางคิดเพียงว่ามันคือเวรกรรมที่เจินหลิงและคนตระกูลเจินล้วนต้องพบเจอชาติก่อนตระกูลไป๋บ้านแตกสาแหรกขาด คนตระกูลเจินล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องเสนาบดีเจินภายนอกดูเหมือนจะเป็นขุนนางที่เที่ยงตรงไม่สนใจฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่ว่าแท้จริงแล้วกลับลอบสนับสนุนองค์ชายรองอย่างลับๆ เสนาบดีเจินนั้นเป็นสหายสนิทกับรองแม่ทัพจวง ชาติก่อนนั้นคนทั้งสองต่างได้ผลประโยชน์ร่วมกันเสพสุขด้วยกัน แต่ชาตินี้เสนาบดีเจินกลับตกตายไปเสียก่อน และอีกไม่นานจินฟานและคนตระกูลจวงก็จะเป็นรายต่อไป!อยู่ๆไป๋เหม่ยเหมยก็นึกถึงคำพูดของเซวียหงเย่ขึ้นมาได้ เขาบอกนางว่าอีกสามวันจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นกับตระกูลเจินแต่นี่ยังไม่ถึงสามวันเลยกลับพบว่าจวนตระกูลเจินเกิดเรื่องขึ้นเสียแล้วนับตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้นนางก็ไม่ได้พบกับเซวียหงเย่อีก มีเพียงองค์รักษ์ของเขาที่ลอบนำยามาให้นางกลางดึก บอกว่าเป็นยาทาที่ดียิ่ง ให้ทาบริเว

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 11 ไฟไหม้จวน

    ปริศนาที่เซวียหงเย่ทิ้งเอาไว้นั้นทำให้ไป๋เหม่ยเหมยเกิดความสงสัยจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ยามเช้าตอนตื่นนอนขึ้นมา ขอบตาของนางจึงคอนข้างดำคล้ำไม่น้อยเลย อาจูที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอาไข่ต้มมาให้เจ้านายอังใต้ขอบตา ไป๋เหม่ยเหมยลอบก่นด่าเซวียหงเย่ในใจ เพราะเขาแท้ๆ ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของนางกำเริบจนนอนไม่หลับหญิงสาวจัดการประทินโฉมให้หนาหน่อยเพื่อปกปิดรอยคล้ำใต้ดวงตา ก่อนจะเดินไปที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งเมื่อหลายวันก่อนนางหมักสุราเอาไว้หนึ่งไห มันเป็นสุราสูตรหนึ่งที่นางไปขอซื้อมาจากร้านสุรา นางต้องจ่ายเงินมหาศาลเพื่อขอซื้อสูตรจากเขา และบอกว่าอยากเอาไปหมักให้ท่านแม่ได้ลองดื่ม ไม่คิดจะเอาไปเปิดขายเพื่อแข่งกับเขา ท่านลุงเจ้าของร้านสุราจึงยอมขายให้นาง สุรานี้หมักเพียงเจ็ดวันก็สามารถดื่มได้แล้ว ไป๋เหม่ยเหมยให้อาจูขุดมันขึ้นมาก่อนจะที่นางจะนำสุราไหนั้นไปที่เรือนใหญ่ยามเช้าวันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าเพื่อร่วมกินมื้อเช้าด้วยกัน เมื่อเห็นว่าบุตรสาวอุ้มไหสุรามาด้วยฮูหยินใหญ่ก็อารมณ์ดียิ่ง นางกอดไหสุราเอาไว้แน่น บอกว่าจะเก็บไว้กินเอง แม้กระทั่งสามีก็ไม่คิดจะแบ่งแม่ทัพใหญ่ไป๋รักใคร่ภรรยายิ่ง เขาบอกนางว่า

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 10 กินปลาเยอะๆ

    เมื่อสถาณการณ์คลี่คลายแล้ว ไป๋เหม่ยเหมยและสหายของนางจึงแยกย้ายกันกลับจวนของตน เซวียหงเย่บอกว่ามีเรื่องอยากจะสนทนากับนางเสียหน่อย คืนนี้เขาอยากจะไปพบนางที่เรือนนอนของนาง ไม่รอให้หญิงสาวได้มีโอกาศปฏิเสธก็จากไปทันที ไป๋เหม่ยเหมยกระทืบเท้าเร่าๆ คนผู้นี้คิดจะปีนห้องนอนของนางอีกแล้ว!ยามดึกคืนนั้นเขาก็มาหานางจริงๆ อีกทั้งยังนำตะเกียบติดมือมาด้วย!ไป๋เหม่ยเหมยมองเซวียหงเย่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกทั้งยังถือตะเกียบเอาไว้ในมือ ก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก"คุณหนูไป๋ ข้าสู้อุตส่าห์นำตะเกียบคู่ใหม่มา เจ้ากลับไม่เตรียมอาหารเอาไว้ต้อนรับ ช่างไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย"ไป๋เหม่ยเหมยกลอกตาไปมา ก่อนจะเอ่ย"จวนท่านเป็นถึงจวนกั๋วกง คงไม่ขาดแคลนเรื่องอาหารการกินกระมัง""แต่กินกับเจ้า ย่อมอร่อยกว่า"ไป๋เหม่ยเหมยหมดวาจาจะเอ่ย นางอับจนหนทางจึงบอกให้อาจูไปทำอาหารมาสักสองสามอย่าง อาจูที่นำอาหารเข้ามาเมื่อเห็นว่าเซวียหงเย่อยู่ในห้องนอนของเจ้านายตนก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก ไป๋เหม่ยเหมยบอกว่าให้อาจูออกไปเฝ้าหน้าห้องและห้ามเข้ามา อาจูพยักหน้าและรีบออกไปทันทีเซวียหงเย่กินอาหารจนอิ่ม ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ไป๋เหม่ยเหมย"เรื่องที่เกิดขึ้นวัน

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 9 แผนเจ้าเล่ห์

    ปลายฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นบ้างเล็กน้อย ระยะนี้เหล่าชนชั้นสูงในเมืองหลวงที่ค่อนข้างมีฐานะล้วนซื้อน้ำแข็งกักตุนเอาไว้ เพราะเมื่อถึงช่วงกลางฤดูร้อนเมื่อใด ราคาน้ำแข็งจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว การซื้อมาเก็บเอาไว้ก่อนย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและไม่ต้องจ่ายเงินซื้อในราคาที่สูงเกินความจำเป็นไป๋เหม่ยเหมยอยู่แต่ในจวนรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก นางจึงเขียนจดหมายให้คนนำไปมอบให้หลินจื่อหยา บอกว่าให้นัดพบกันที่ภัตตาคารจินเซียนเพื่อไปชิมอาหารรสเลิศด้วยกัน หลินจื่อหยาเมื่อได้รับจดหมายแล้วจึงรีบเขียนตอบกลับ และนัดวันทันที ไป๋เหม่ยเหมยยิ้มตาหยี นางกับหลินจินหย่าไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นด้้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วเวลาล่วงผ่านไปจนถึงวันนัดหมาย ไป๋เหม่ยเหมยและหลินจื่อหยาก็ไปพบกันที่ภัตตาคารจินเซียนตามนัด เมื่อมาถึงผู้ใดจะคาดคิดว่าจะได้พบกับจินหยวนเหนียงเข้าตั้งแต่จินหยวนเหนียงสารภาพว่านางเป็นรักแรกในครานั้น ไป๋เหม่ยเหมยก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรดี เรื่องราวเปลี่ยนไปรวดเร็วจนคนตั้งรับไม่ทัน จากคนที่เคยเกลียดชังกันในชาติก่อน ทว่าชาตินี้กลับมีใจรักต่อกัน มันจะกระอักกระอ่วนเกินไปแล้ว

  • วาสนาดอกเหมยงาม   บทที่ 8 ร่วมโต๊ะ

    "ช่างเป็นตะเกียบที่ดียิ่ง"เซวียหงเย่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี พลางเดินมาทิ้งกายลงนั่งตรงข้ามไป๋เหม่ยเหมย โดยไม่สนใจสายตาที่จ้องจะทุบตีเขาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน"ดีมาก กินปลาเยอะๆ สมองที่ทึมทื่อของเจ้าจะได้ใช้งานได้ดี"ไป๋เหม่ยเหมยลอบกัดฟัน ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา เขาด่านางโง่ออกมาตรงๆยังไม่เจ็บถึงเพียงนี้เลย นางจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเอ่ยถาม"ไคกั๋วกง ท่านลอบเข้าห้องหญิงสาวยามวิกาลเช่นนี้ เสด็จป้าที่เป็นฮองเฮาของท่านรู้หรือไม่"นางเอ่ยถามคล้ายต้องการยั่วโทสะเขา แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่สะทกสะท้านอันใด"อาจจะรู้ หรือบางคราก็อาจจะไม่รู้ แล้วมันอย่างไรเล่า ตระกูลเซวียของข้ายิ่งใหญ่ออกปานนี้ ข้าปีนเข้าห้องใครแล้ว มันจะทำไมหรือ?""หน้าหนา!""เป็นคำชมที่ดี ข้าชอบมาก"ไป๋เหม่ยเหมยถึงกับหมดคำจะกล่าว นางไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาด่าเขาแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาจ้องมองอาหารบนโต๊ะของนางอย่างไม่ลดละ นางก็ยกยิ้มมุมปาก พลางทำท่าทีรู้สึกผิดเสียเต็มประดา"เห้อ ใจจริงข้าก็อยากจะชวนท่านกินข้าวด้วยกัน แต่จนใจที่มีตะเกียบเพียงคู่เดียว ท่านเองก็คงไม่คิดจะใช้มือหยิบ

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status