ฮั่วซูเม่ยกะพริบตามองบุรุษตรงหน้าปริบ ๆ โดยไร้ความเกรงกลัว
ในขณะที่โทสะของเซียนหยางชินอ๋องนั้นเพิ่มขึ้นจนคับอก สายตาคมกริบเพ่งมองสตรีเบื้องหน้าอย่างแข็งกร้าว มุมปากหนาพลันหยักยกขึ้นจากนั้นจึงยกมือขึ้นบีบลำคอนางทันที อึก! “คิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าหรือ” นัยน์ของเซียนหยางในยามนี้มิต่างจากสัตว์ป่าดุร้ายตนหนึ่ง คนที่อวดดีเช่นนี้สมควรถูกสั่งสอน ดวงตาจองนางเบิกโพลงกว้างด้วยความตกใจจนสีหน้าซีดเผือดลงทันที และด้วยสัญชาตญาณนางยกมือโอบกอดหน้าท้องของตนเองไว้ทว่ากับมิได้ขัดขืน “……” ฝ่ามือหนายิ่งออกแรงกดบีบมากเรื่อย ๆ เมื่อสตรีผู้นี้ยังเอาแต่จ้องเขม็งไม่ปริปากส่งเสียงวิงวอน เซียนหยางชินอ๋องเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่านางจะอดทนไปได้ถึงเมื่อไหร่ “หึ! ใจกล้าอวดดีไม่น้อย” “เซียนหยางชินอ๋องเพคะ!” “……” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เหลียวหลังมาตามเสียงจากนั้นจึงผ่อนแรงลงปล่อยมือออกจากลำคอของนาง “แค่ก ๆ แค่ก!” ทันทีที่เป็นอิสระฮั่วซูเม่ยสำลักน้ำลายสูดอากาศหายใจจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด ทว่าสายตาของยังคงจดจ้องบุรุษตรงหน้าไม่วางตา “เกรงว่าสวรรค์คงยังไม่รับคนบาปเช่นเจ้า” มุมปากของนางยกยิ้มเยาะ “บาปหรือ?...แล้วผู้ที่คิดสังหารข้าสังหารบุตรตนเองเช่นนั้นคงต้องไปปรโลกใช่หรือไม่” “เจ้า!!” สตรีผู้นี้ช่างต่อล้อต่อเถียงยั่วยุโทสะได้ดีนัก คาดว่าผู้ใดได้ไปเป็นภรรยาก็เสมือนประสบเจอเคราะห์กรรมใหญ่ ภาพของฮั่วซูเม่ยที่ปรากฏอยู่ต่อหน้านางส่วนข้าง ๆ กายมีเซียนหยางชินอ๋องอยู่ทำให้ฮั่วหลิงเฟยโมโหเดือดดาลใจรีบเร่งฝีเท้าเดินไปประข้างทันที “หลิงเออร์คารวะเพคะ!” ฮั่วหลิงเฟยแทรกกลางเข้ามาในวงสนทนา ทำตัวเด่นทันที คราแรกตอนที่ได้ยินสาวใช้เอ่ยรายงานว่าเซียนหยางชินอ๋องมาจวนสกุลฮั่ว นางหลงดีใจว่าต้องมาหานางเอ่ยถามเรื่องงานหมั้นหมายแน่ทว่าพอได้ยินประโยคหลังว่ามาขอพบคุณหนูใหญ่จึงทำให้นางโมโหไม่น้อยจึงต้องรีบมาจัดการ เซียนหยางหันไปมอง “คุณหนูฮั่วอย่าได้มากพิธีเพราะถึงอย่างไรแล้วอีกไม่ช้าก็เร็วนักคงได้กลายเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว” ดูเหมือนว่าประโยคเรียบง่ายเช่นนี้คงจะทำให้อารมณ์ของฮั่วหลิงเฟยพลุ่งพล่านไปไกล นางยืนบิดตัวด้วยความเคอะเขิน “เข้าใจแล้วเพคะชินอ๋อง” เกรงว่าหนทางที่นางจะได้เป็นหวางเฟยยังสว่างไสวอยู่ “ย่อมต้องเป็นเช่นนี้น” ฮั่วซูเม่ยหลงลืมความโกรธแค้นเมื่อครู่ไปชั่วขณะ นางพลางเดินเข้าไปกอดเกี่ยวแขนของบุรุษต่ำทรามผู้นี้ไว้ ใบหน้าฉีกยิ้มกว้างฝืน ๆ ใบหน้าของเซียหยางขมวดคิ้วมุ่น “บังอาจ!” นางปรายสายตามองเพียงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “อีกไม่นานข้าคงย้ายเข้าไปอยู่จวนชินอ๋องแล้วส่วนน้องหญิงนั้นคงมีต้องเรียกเซียนหยางชินอ๋องว่าพี่เขยใช่หรือไม่” นี่ไม่ใช่แบบที่นางคิดไว้ ฮั่วหลิงเฟยไม่ยอม “พี่หญิงตลกเกินไปแล้ว จะเรียกว่าพี่เขยได้อย่างไรกันเมื่อวานนี้ชินอ๋องได้พามาสื่อมาทาบทามสู่ขอข้าไว้แล้ว” นางหรือจะยอมลงให้ง่าย ๆ ไม่ว่าอย่างฮั่วซูเม่ยต้องอยู่ใต้แทบเท้านางตลอดไป! รึอาจเกินก่อนแล้วยังคิดกล้าจะใฝ่สูงกว่านางอีกหรือ? ฮั่วซูเม่ยหัวเราะเสียงดังจนน้ำตาเล็ด ครู่ต่อมาจึงเงียบลง “มิใช่ว่างานสำคัญเมื่อวันก่อนล่มก่อนที่จะหมั้นหมายมิใช่หรือ” น้ำเสียงของนางเอ่ยถามออกไปอย่างเรียบเฉย “ฮั่วซูเม่ย!” ฮั่วหลิงเฟยกระแทกเสียง ไม่อาจความคุมโทสะไว้ได้อีกแล้ว มือทั้งสองข้างกำแน่น เซียนหยางรังเกียจและเบื่อหน่ายสตรี สายตาของเขากลอกตามองบนซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรำคาญอยากจะปรี่ตัวหลีกหนีออกจากตรงนี้ “เจ้านับว่าเป็นสตรีหน้าด้านจริง ๆ ฮั่วซูเม่ย!” ฮั่วซูเม่ยส่ายหน้าอย่างไม่ใจ “เอาเถอะ ๆ เกรงว่าพวกเจ้าคงมีความหลังที่คงต้องร่ำลากันเช่นนั้นข้าจะไม่รบกวน” ตราบใดที่นางไม่ยอมรับหรือปล่อยมือจากบุรุษหน้านี้ไม่ว่าสตรีหน้าไหนหรือคุณหนูตระกูลใหญ่โตเพียงใดก็ไม่อาจตบแต่งเป็นหวางเฟยได้หากคนผู้นั้นไม่ใช่นาง ฮั่วหลิงเฟยมองตาแผ่นหลังพี่สาวต่างมารดาที่เดินไปลิ่ว ๆ ด้วยความโกรธเคือง หากมีโอกาสเมื่อไหร่นางไม่เอาไว้แน่! “คุณหนูฮั่ว!” เซียนหยางเอ่ยขึ้น “ทักทายนายท่านฮั่วและฮั่วฮูหยินแทนข้าด้วยได้หรือไม่” “ย่อมได้เพคะแต่ไฉนชินอ๋องไม่ไปพบเองเล่า มารดาและบิดาของหม่อมฉันยามนี่อยู่ที่จวน” “เอาไว้วันอื่นเถิด” “ชินอ๋อง…” สายตาของนางทอดมองบุรุษตรงหน้าด้วยความผิดหวังอย่างปิดไม่มิด “ชินอ๋องทรงมีใจให้พี่สาวของหม่อมฉันหรือเพคะ” ฮั่วหลิงเฟยไม่อาจปล่อยให้คำถามนี้ทิ่มแทงจิตใจได้ นางจึงเอ่ยถามออกไปตรง ๆ มุมปากหนักหยักยิ้มขึ้น นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเยือกทันที “สตรีเฉกเช่นพี่สาวคุณหนูหรือ…เกรงว่าผู้ใดได้ไปเป็นภรรยาคงดวงซวยไม่น้อย” พอได้ยินถ้อยคำนี้ความในใจของนางจึงคลายกังวลลง “แล้วเรื่องงานหมั้นหมาย…” “วางใจเถอะคุณหนูฮั่ว..เรื่องนี้ข้าย่อมจัดการให้เสร็จสิ้น ทว่าข่าวลือในยามนี้เกรงว่าจะทำให้คุณหนูเสื่อมเสียเอาได้” ว่ากันตามตรงแล้วผลประโยชน์นี้เซียนหยางไม่ต้องการแล้วหากได้เกี่ยวพันกับสตรีผู้นั้นและตอนนี้เขาต้องเร่งหาวีธีถอนตัวออกมาให้โดยด่วน เขาเองก็เริ่มเบื่อหน่ายแล้ว สตรีตรงหน้าในตอนนี้ก็เช่นกัน ฮั่วหลิงเฟยพยักหน้าหงึก ๆ อย่างว่าง่าย ช่วงยามจื่อ (23:00 – 01:00 น.) ความแค้นยังคงค้างคาอยู่ในใจ เขาจะทำใจสงบได้อย่างไร เขามีความคิดว่าเขาต้องเร่งกำจัดสตรีผู้นี้ให้ออกไปจากชีวิตก่อนที่เรื่องในวันข้างหน้าจะยุ่งวุ่นวายไปมากกว่านี้ ตุบ! คือนี้เซียนหยางกลับเข้ามายังจวนสกุลฮั่วอีกครั้ง บุรุษหนุ่มสวมใส่อาภรณ์สีดำอำพรางตัวปกปิดทุกส่วนในร่างกายแม้กระทั่งใบหน้าเหลือเพียงดวงตาที่มองเห็นเท่านั้น การกระทำของเซียนหยางชินอ๋องในยามนี้ไม่ต่างจากโจรผู้หนึ่งนัก ในยามที่พระจันทร์ตั้งเด่นตระหง่ากลางท้องฟ้าเข่นนี้เป็นที่เหมาะสมที่สุด เซียนหยางมีฐานะเป็นถึงชินอ๋องย่อมได้รับการฝึกฝนวรยุทธ์มาเป็นอย่างดี ซ้ำเมื่อหลายปีก่อนยังได้จับดาบออกร่วมรบกับกองทัพอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเรื่องเช่นนี้จึงไม่ยากเกินความสามารถ ถึงแม้ภายในจวนยามนี้จะดับตะเกียงหมดแล้ว มืดสนิทแทบมองไม่เห็นอันใดแต่การเคลื่อนไหวในความมืดของเซียนหยางนั้นมิต่างจากการปลอกกล้วยเข้าปาก สกุลฮั่วนับว่าเก่าแก่และใหญ่โต ภายในจวนจึงเต็มไปด้วยเรือนหลังย่อย ๆ มากมายจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร เซียนหยางเดินตามทางอยู่ในความมืด สายตาคมกริบกวาดมองทั่วบริเวณสังเกตในสิ่งที่พอจะคาดเดาและเป็นไปได้ นางเอ่ยปากว่าตนเองตั้งครรภ์อยู่ เช่นนั้นยามหลับนอนเพื่อความปลอดภัยตอนตื่นคงจะไม่ดับตะเกียงแน่! เรือนของฮั่วซูเม่ยไม่ได้มีขนาดใหญ่นักค่อนข้างเล็กไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับคุณหนูใหญ่ตระกูลอื่น ทว่านางกลับไม่ปริปากเรียกร้องอันใดเพราะตั้งอยู่หลังจวนห่างจากผู้คน ฮั่วซูเม่ยยังคงนอนหลับพริ้มบนเตียงอย่างสบายใจ ในขณะที่อันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาไกลเรื่อย ๆ ความพยายามของเขาย่อมสำเร็จ เซียนหยางชินอ๋องมองเห็นเป้าหมายแล้วจึงทำการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าทว่ากับรวดเร็ว จนกระทั่งในตอนนี้เขาปืนเข้ามาในห้องนางได้แล้ว “หลับลึกเพียงนี้เกรงว่าหากมีผู้มาสังหารคงไม่รู้ตัว”เซียนหยางยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์สตรีผู้นี้ยามนอนหลับช่างไม่ต่างจากเด็กน้อยผู้หนึ่งต่างกันลิบลับกับตอนตื่นขึ้นช่างเป็นสตรีที่ไม่ควรจะเข้าใกล้จริง ๆ“ตายแล้วหรือ!” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างแข็งกร้าวเขาพลางเดินไปตรงหน้าหยุดลงอยู่ข้าง ๆ เตียงจากนั้นจึงโน้มใบหน้าก้มมองใกล้ จู่ ๆ ภายในใจของเซียนหยางชินอ๋องก็รู้สึกพึงพอใจอยู่มากริมฝีปากอวบอิ่มจมูกรั้นจิ้มลิ้มหรือแพขนตางอนยาวนางเป็นตุ๊กตาผ้างั้นหรือ?ฮั่วซูเม่ยหลับสนิท แม้จะมีเสียงรบกวนทว่านางยังคงไม่ตื่นขึ้นมาดูเพียงส่งเสียงสะลึมสะลือราวกับละเมอเท่านั้น “อือ…”“…..”เซียนหยางเบิกตากว้างตัวแข็งทื่อ ก่อนจะฉุดคิดไว้ตอนนี้ตนกำลังทำอันใดอยู่จึงดีดตัวยืนเหยียดหลังตรงพลางกระแอมไอเล็กน้อย “เจ้าไม่คิดจะตื่นจริง ๆ หรือ!”น้ำเสียงทุ้มเอ่ยดังจากคราวก่อนทว่าไม่ถึงกลับดังเกินไปที่จะปลุกคนทั้งจวนตื่นขึ้นมาได้นางยังคงนอนหลับอย่างสบายใจเรื่องเกิดเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วอายุครรภ์ของนางในตอนนี้อยู่ราว ๆ สักสี่เดือนเศษได้ แต่ทุกวันนี้ฮั่วซูเม่ยกลับมีนิสัยเกียจคร้านยิ่งนั้นเหมือนสตรีที่ใกล้คลอดแล้วยามกินก็กินจนหนังท้องตรึงพอยามหลับก็หลับลึกเสมือนว่าตา
ไม่จู่ ๆ เพราะเหตุใดในยามนี้เขามองนางอยู่ถึงมีภาพเหตุการณ์จากค่ำคืนนั้นทับซ้อนขึ้นมากัน เซียนหยางชินอ๋องไม่พร่ำพูดให้เสียเวลา เขาพลันถอนอาภรณ์กระตุกผ้าคาดเอวออกทันที “ข้ามีเวลาไม่มากนักถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกซะ” !!!! สีหน้าของนางย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด ฮั่วซูเม่ยตกใจไม่คิดว่าวิธีพิสูจน์ของบุรุษผู้หรือจะหมายความว่าเช่นนี้ “ข้าท้องอยู่ตาบอดหรือไรกัน!” น้ำเสียงหวานตะโกนตอบ หัวใจดวงน้อยพลันเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ ทว่าฮั่วซูเม่ยกับนั่งแน่นิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับหรือลุกหนีจากไป สายตาของนางยังคงจับจ้องการกระทำของบุรุษตรงหน้าไม่วางตา เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นเซียนหยางพลันเปลือยเปล่าต่อหน้าสตรีผู้นี้โดนไร้ความเขินอาย “นี่อย่างไรข้ากำลังพิสูจน์” ตุบ!! “เจ้าคนลามก!” สุดท้ายแล้วความอดทนของนางก็ขาดผึงลง ฮั่วซูเม่ยคว้าหมอนโยนกระแทกใส่เซียนหยางด้วยความโมโห “ใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้!” มุมปากหนาหยักยกขึ้นเล็กน้อย ยิ่งเห็นนางเดือดดาลโมโหแทบกระอักเลือดเช่นนี้เซียนหยางยิ่งนึกสนุก “ไฉนคุณหนูฮั่วยังไม่คุ้นชินอีก” เขาพลางก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง “ค่ำคืนนั้นทั้งข้าและคุณหนูต่างเปลือยเปล่าทั้งคู่มิใช่
“กรี๊ดดดด….!!!”ฮั่วซูเม่ยหวีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดเมื่อจู่ ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้ามาในกายนางด้วยความคับแน่น“อ๊าาา….” น้ำเสียงทุ้มครางแหบพร่าเซียนหยางชินอ๋องกัดฟันกรอดด้วยความปวดหนึบแก่นกาย ไฉนเลยจะคิดว่านางถึงยังคับแน่นเพียงนี้คำตอบภายในใจของเขากระจ่างแจ้งแล้วน้ำเสียงหวานสั่นเครือ “หยุ…หยุดก่อน”สองมือของนางออกแรงดันสะโพกของบุรุษผู้นี้เอาไว้ไม่ให้ขยับ ฮั่วซูเม่ยหอบหายใจเฮือกอีกใจหนึ่งก็นึกหวาดกลัวว่าบุตรในครรภ์จะปลอดภัยหรือเซียนหยางเข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไรจึงยังคงแน่นิ่ง“เจ้ารัดข้าแทบหายใจไม่ออก”ภายในโพลงสวาทอุ่นร้อนบีบรัดแก่นกายของเขาแน่นจนแทบตบะแตก เซียนหยางกัดฟันครั้งแล้วครั้งเล่าอดทนรอคอยให้สตรีใต้ร่างปรับตัวได้อีกสักนิดเขาเองก็เกรงว่าหากรุนแรงไปคงกระทบต่อเด็กในครรภ์ใบหน้าคนงามบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวดจนน้ำตาเล็ด ตั้งแต่วันนั้นนางก็ไม่ได้ร่วมรักกับผู้ใดอีกเลยฮั่วซูเม่ยนึกแล้วก็โมโหบุรุษผู้นี้คอยดูเถอะหากโอกาสมาถึงเมื่อไหร่นางเอาคืนแน่!“ข้าจะทำเบา ๆ” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบกระซาบข้างใบหูขาวเนียนหลังจากนั้นจึงขบกัดเล็กน้อยฮั่วซูเม่ยผ
ฮั่วซูเม่ยเดินมาถึงเรือนส่วนหน้าแล้ว สายตาของนางทอดมองเข้าไปข้างในด้วยความแข็งกร้าว มุมปากหยักยิ้มเยาะเล็กน้อย “หากข้าไม่ได้ยินเสียงของพวกบ่าวรับใช้ซุบซิบนินทาเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดปริปากบอกข้ากระมังว่ามีบุรุษมาสู่ขอน้องรองแล้วเสียงหัวเราะที่สะท้อนออกมาอย่างสนุกสนานนั้น ทำให้นางทำใจปล่อยผ่านไปไม่ได้จริง ๆ“พี่ใหญ่!”“ซูเออร์!”การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฮั่วซูเม่ยทำให้ผู้คนทั่วทั้งเรือนต่างยกมือทาบอกร้องออกมาด้วยความตกใจไม่น้อย เกรงว่านางคงไม่ได้มาที่นี้เพื่ออาละวาดใช่หรือไม่ใบหน้าของฮั่วซูเม่ยระบายยิ้มกว้าง “ไฉนถึงใจราวกับเห็นผีกันเล่า”“เอ่อ…” ภายในใจของฮั่วหลิงเฟยร้อนรนเกรงว่าสตรีตรงหน้านี้กำลังจะอาละวาดก่อเรื่องแน่ “หลิงเออร์คิดว่าพี่ใหญ่คงกำลังพักผ่อนจึงไม่อยากรบกวน”“รบกวนหรือ” ฮั่วซูเม่ยเลิกคิ้วถามกลับดวงตาเมล็ดซิ่งหลุมตาต่ำก้มมองหน้าท้องของต้นเอง “เรื่องยินดีปรีดาเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นการรบกวน”นางหาได้ตาบอดหรือโง่งม…เพียงแค่ปรายตามองแวบหนึ่งก็รู้ว่าคนพวกนี้ต้องการจะกีดกันนางให้ออกห่างจากฮั่วหลิงเฟยจวนสกุลฮั่วนับได้ว่าเป็นจวนสกุลขุนนางสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น จนกระทั่งภายหลังที่
“ถอยออกไปให้ห่างก่อนที่ข้าจะโมโห”เซียนหยางชินอ๋องเพ่งมองสตรีใต้ร่าง ดวงตาสีดำคมกริบในยามนี้ดูลุ่มลึกยากจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ฤทธิ์ของสุราแรงที่ดื่มเข้านั้นยิ่งทำให้เขาขาดสติ แล้วยิ่งมีสตรีงามอยู่ตรงหน้าอีกเขาเองก็หาใช่ก้อนหินแข็งทื่อ“ดอกไม้งามอยู่ในมือแล้วไฉนถึงต้องปล่อยไปโดยไม่ทันได้สูดดมเล่า” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยกระซิบข้างใบหูของนาง พร้อมกันโน้มใบหน้าสูดดมความหอมจากซอกคอพอได้ยินประโยคนี้พร้อมกับการกระทำที่ล่วงเกิน ฮั่วซูเม่ยไม่อาจสามารถอดทนใจเย็นได้อีกเลย“เจ้าคนมักมาก!”ตุบ!! ตุบ!นางเองก็พอมีแรงอยู่บ้างจึงทำการทุบตีบุรุษร่างโตตรงหน้าที่คร่อมทาบทับไว้ก่อนที่จะอาศัยจังหวะที่บุรุษผู้นั้นงุนงงลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว“ข้าน่าจะปล่อยให้เจ้าตายอยู่ในนี้ผู้เดียว”สถานที่แห่งนี้แม้ภายนอกบรรยากาศจะหนาวเหน็บเย็นสะท้านเข้ากระดูกแล้วอย่างไร ทว่าภายในกลับร้อนระอุราวกับกำลังถูกแผดเผาให้มอดไหม้นั่นคือโรงเตี๊ยมไป๋ชานและนางคือนายหญิงของที่นี่ทุกอย่างไม่ว่าเรื่องใดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของนางฮั่วซูเม่ยปรายตามองบุรุษผู้นั้นความเกรี้ยวกราด แม้ภายในห้องจะมืดสนิททว่ายังคงมีแสงจั
เช้าวันรุ่งขึ้นฮั่วซูเม่ยตื่นขึ้นมาด้วยความเกียจคร้านปนเหนื่อยล้าไปทั่วทั้งร่าง นางสวมใส่อาภรณ์สีฉูดฉาดปักลวดลายเล็กน้อยประดับอย่างประณีตอีกทั้งยังรวบเกล้าผมขึ้นเป็นมวยสูงเฉกเช่นกับสตรีออกเรือนแล้วฮั่วซูเม่ยปล่อยให้พวกสาวใช้จัดการได้อย่างตามใจ เพียงแต่การแต่งแต้มใบหน้านั้นนางเป็นคนลงมือจัดการเองอารมณ์วันนี้ของนางเบิกบานอย่างเห็นได้ชัดพวกสาวใช้ที่อยู่บริเวณในห้องนั้นเห็นท่าทางของคุณใหญ่แล้วก็ต่างพากันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความเกรงกลัว ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นคุณหนูใหญ่อารมณ์ดีเช่นนี้“มีเรื่องยินดีอันใดหรือเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้หญิงใจกล้าเปิดปากถามออกไปฮั่วซูเม่นเหลียวมอง “ข้ายิ้มไม่ได้หรือ” นางเอียงคอเลิกคิ้วถามก่อนจะยกมือลูบท้องของตนเอง “หากมารดาอารมณ์ดีบุตรในท้องก็อารมณ์ดีด้วยมิใช่หรือ”“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ผู้นั้นพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย ถึงแม้ภายในใจจะรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอันใดก็ตาม นางพอปะติดปะต่อได้ว่าคงเป็นเหตุการณ์ที่คุณใหญ่ยกเลิกงานหมั้นหมายจองคุณหนูรองเป็นแน่แม้ทั้งคู่จะเป็นพี่น้องร่วมบิดากันแล้วอย่างไรคุณหนูใหญ่ดันเกิดก่อนคุณหนูรองที่มีมารดาเป็นฮูหยินเอกมีผู้ใดบ้างจะพึงพอใจยอมรั
“ใจเย็น ๆ ก่อนเถอะหลิงเออร์”“จะให้ลูกใจเย็นอย่างไรกันท่านแม่!” ฮั่วหลิงเฟยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ใบหน้าคนงามบิดเบี้ยวไม่สู้ดีเหอฮูหยินเห็นสภาพของบุตรสาวโศกเศร้าเสียใจเช่นนี้แล้ว คนเป็นมารดาเช่นนางปวดใจยิ่งนัก “ถึงอย่างไรเรื่องนี้ย่อมต้องมีทางแก้ไขแน่”“แก้ไขหรือ…” ฮั่วหลิงเฟยหันมามองมารดาผ่านม่านน้ำตา “เรื่องนี้จะแก้ไขได้อย่างไรกัน”เห็นได้ชัดว่าฮั่วซูเม่ยจงใจแย่งชิงวาสนาของนาง!ตั้งแต่เกิดมาฮั่วหลิงเฟยถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามอกตามใจ ขอเพียงเอ่ยปากชี้นิ้วอยากได้อะไรย่อมได้ ภายในใจของนางในตอนนี้ย่อมเต็มไปด้วยความโกรธแค้นทั้งสิ้น“ขอแม่คิดก่อนหลิงเออร์” ฮั่วฮูหยินพลางโอบไหล่บุตรสาวไว้หลวม ๆ ท่าทางของนางราวกับคิดไม่ตกหากเป็นบุตรชายสักตระกูลไม่ว่านางเอ่ยปากญาติฝั่งใดย่อมมีผู้ช่วยเหลือได้แน่ทว่าคนผู้นี้กับมีฐานะเป็นถึงชินอ๋อง นางมองไม่เห็นหนทางเลยฮั่วหลิงเฟยมองมารดานิ่ง ๆ ด้วยความคาดหวังตอนนี้ภายในใจของนางร้อนรุ่มราวกับถูกไฟสุมอยู่ในอก เกรงว่าวาสนาที่นางกำลังตั้งตาเฝ้ารอคอยมาตลอดหลายปีจะถูกช่วงชิงไปในชั่วพริบตาแก้ไขไม่ทันนางโมโหมากจริง ๆแล้วยิ่งแม่สื่อมากมายผู้นั้นเล่นป่าวประกาศไปทั่ว
“กรี๊ดดดด….!!!”ฮั่วซูเม่ยหวีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดเมื่อจู่ ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้ามาในกายนางด้วยความคับแน่น“อ๊าาา….” น้ำเสียงทุ้มครางแหบพร่าเซียนหยางชินอ๋องกัดฟันกรอดด้วยความปวดหนึบแก่นกาย ไฉนเลยจะคิดว่านางถึงยังคับแน่นเพียงนี้คำตอบภายในใจของเขากระจ่างแจ้งแล้วน้ำเสียงหวานสั่นเครือ “หยุ…หยุดก่อน”สองมือของนางออกแรงดันสะโพกของบุรุษผู้นี้เอาไว้ไม่ให้ขยับ ฮั่วซูเม่ยหอบหายใจเฮือกอีกใจหนึ่งก็นึกหวาดกลัวว่าบุตรในครรภ์จะปลอดภัยหรือเซียนหยางเข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไรจึงยังคงแน่นิ่ง“เจ้ารัดข้าแทบหายใจไม่ออก”ภายในโพลงสวาทอุ่นร้อนบีบรัดแก่นกายของเขาแน่นจนแทบตบะแตก เซียนหยางกัดฟันครั้งแล้วครั้งเล่าอดทนรอคอยให้สตรีใต้ร่างปรับตัวได้อีกสักนิดเขาเองก็เกรงว่าหากรุนแรงไปคงกระทบต่อเด็กในครรภ์ใบหน้าคนงามบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวดจนน้ำตาเล็ด ตั้งแต่วันนั้นนางก็ไม่ได้ร่วมรักกับผู้ใดอีกเลยฮั่วซูเม่ยนึกแล้วก็โมโหบุรุษผู้นี้คอยดูเถอะหากโอกาสมาถึงเมื่อไหร่นางเอาคืนแน่!“ข้าจะทำเบา ๆ” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบกระซาบข้างใบหูขาวเนียนหลังจากนั้นจึงขบกัดเล็กน้อยฮั่วซูเม่ยผ
ไม่จู่ ๆ เพราะเหตุใดในยามนี้เขามองนางอยู่ถึงมีภาพเหตุการณ์จากค่ำคืนนั้นทับซ้อนขึ้นมากัน เซียนหยางชินอ๋องไม่พร่ำพูดให้เสียเวลา เขาพลันถอนอาภรณ์กระตุกผ้าคาดเอวออกทันที “ข้ามีเวลาไม่มากนักถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกซะ” !!!! สีหน้าของนางย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด ฮั่วซูเม่ยตกใจไม่คิดว่าวิธีพิสูจน์ของบุรุษผู้หรือจะหมายความว่าเช่นนี้ “ข้าท้องอยู่ตาบอดหรือไรกัน!” น้ำเสียงหวานตะโกนตอบ หัวใจดวงน้อยพลันเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ ทว่าฮั่วซูเม่ยกับนั่งแน่นิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับหรือลุกหนีจากไป สายตาของนางยังคงจับจ้องการกระทำของบุรุษตรงหน้าไม่วางตา เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นเซียนหยางพลันเปลือยเปล่าต่อหน้าสตรีผู้นี้โดนไร้ความเขินอาย “นี่อย่างไรข้ากำลังพิสูจน์” ตุบ!! “เจ้าคนลามก!” สุดท้ายแล้วความอดทนของนางก็ขาดผึงลง ฮั่วซูเม่ยคว้าหมอนโยนกระแทกใส่เซียนหยางด้วยความโมโห “ใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้!” มุมปากหนาหยักยกขึ้นเล็กน้อย ยิ่งเห็นนางเดือดดาลโมโหแทบกระอักเลือดเช่นนี้เซียนหยางยิ่งนึกสนุก “ไฉนคุณหนูฮั่วยังไม่คุ้นชินอีก” เขาพลางก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง “ค่ำคืนนั้นทั้งข้าและคุณหนูต่างเปลือยเปล่าทั้งคู่มิใช่
เซียนหยางยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์สตรีผู้นี้ยามนอนหลับช่างไม่ต่างจากเด็กน้อยผู้หนึ่งต่างกันลิบลับกับตอนตื่นขึ้นช่างเป็นสตรีที่ไม่ควรจะเข้าใกล้จริง ๆ“ตายแล้วหรือ!” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างแข็งกร้าวเขาพลางเดินไปตรงหน้าหยุดลงอยู่ข้าง ๆ เตียงจากนั้นจึงโน้มใบหน้าก้มมองใกล้ จู่ ๆ ภายในใจของเซียนหยางชินอ๋องก็รู้สึกพึงพอใจอยู่มากริมฝีปากอวบอิ่มจมูกรั้นจิ้มลิ้มหรือแพขนตางอนยาวนางเป็นตุ๊กตาผ้างั้นหรือ?ฮั่วซูเม่ยหลับสนิท แม้จะมีเสียงรบกวนทว่านางยังคงไม่ตื่นขึ้นมาดูเพียงส่งเสียงสะลึมสะลือราวกับละเมอเท่านั้น “อือ…”“…..”เซียนหยางเบิกตากว้างตัวแข็งทื่อ ก่อนจะฉุดคิดไว้ตอนนี้ตนกำลังทำอันใดอยู่จึงดีดตัวยืนเหยียดหลังตรงพลางกระแอมไอเล็กน้อย “เจ้าไม่คิดจะตื่นจริง ๆ หรือ!”น้ำเสียงทุ้มเอ่ยดังจากคราวก่อนทว่าไม่ถึงกลับดังเกินไปที่จะปลุกคนทั้งจวนตื่นขึ้นมาได้นางยังคงนอนหลับอย่างสบายใจเรื่องเกิดเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วอายุครรภ์ของนางในตอนนี้อยู่ราว ๆ สักสี่เดือนเศษได้ แต่ทุกวันนี้ฮั่วซูเม่ยกลับมีนิสัยเกียจคร้านยิ่งนั้นเหมือนสตรีที่ใกล้คลอดแล้วยามกินก็กินจนหนังท้องตรึงพอยามหลับก็หลับลึกเสมือนว่าตา
ฮั่วซูเม่ยกะพริบตามองบุรุษตรงหน้าปริบ ๆ โดยไร้ความเกรงกลัวในขณะที่โทสะของเซียนหยางชินอ๋องนั้นเพิ่มขึ้นจนคับอก สายตาคมกริบเพ่งมองสตรีเบื้องหน้าอย่างแข็งกร้าว มุมปากหนาพลันหยักยกขึ้นจากนั้นจึงยกมือขึ้นบีบลำคอนางทันทีอึก!“คิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าหรือ” นัยน์ของเซียนหยางในยามนี้มิต่างจากสัตว์ป่าดุร้ายตนหนึ่งคนที่อวดดีเช่นนี้สมควรถูกสั่งสอนดวงตาจองนางเบิกโพลงกว้างด้วยความตกใจจนสีหน้าซีดเผือดลงทันที และด้วยสัญชาตญาณนางยกมือโอบกอดหน้าท้องของตนเองไว้ทว่ากับมิได้ขัดขืน“……”ฝ่ามือหนายิ่งออกแรงกดบีบมากเรื่อย ๆ เมื่อสตรีผู้นี้ยังเอาแต่จ้องเขม็งไม่ปริปากส่งเสียงวิงวอนเซียนหยางชินอ๋องเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่านางจะอดทนไปได้ถึงเมื่อไหร่ “หึ! ใจกล้าอวดดีไม่น้อย”“เซียนหยางชินอ๋องเพคะ!”“……”เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เหลียวหลังมาตามเสียงจากนั้นจึงผ่อนแรงลงปล่อยมือออกจากลำคอของนาง“แค่ก ๆ แค่ก!” ทันทีที่เป็นอิสระฮั่วซูเม่ยสำลักน้ำลายสูดอากาศหายใจจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด ทว่าสายตาของยังคงจดจ้องบุรุษตรงหน้าไม่วางตา“เกรงว่าสวรรค์คงยังไม่รับคนบาปเช่นเจ้า”มุมปากของนางยกยิ้มเยาะ “บาปหรือ?...แล้วผู้ที่คิดสังหาร
“ใจเย็น ๆ ก่อนเถอะหลิงเออร์”“จะให้ลูกใจเย็นอย่างไรกันท่านแม่!” ฮั่วหลิงเฟยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ใบหน้าคนงามบิดเบี้ยวไม่สู้ดีเหอฮูหยินเห็นสภาพของบุตรสาวโศกเศร้าเสียใจเช่นนี้แล้ว คนเป็นมารดาเช่นนางปวดใจยิ่งนัก “ถึงอย่างไรเรื่องนี้ย่อมต้องมีทางแก้ไขแน่”“แก้ไขหรือ…” ฮั่วหลิงเฟยหันมามองมารดาผ่านม่านน้ำตา “เรื่องนี้จะแก้ไขได้อย่างไรกัน”เห็นได้ชัดว่าฮั่วซูเม่ยจงใจแย่งชิงวาสนาของนาง!ตั้งแต่เกิดมาฮั่วหลิงเฟยถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามอกตามใจ ขอเพียงเอ่ยปากชี้นิ้วอยากได้อะไรย่อมได้ ภายในใจของนางในตอนนี้ย่อมเต็มไปด้วยความโกรธแค้นทั้งสิ้น“ขอแม่คิดก่อนหลิงเออร์” ฮั่วฮูหยินพลางโอบไหล่บุตรสาวไว้หลวม ๆ ท่าทางของนางราวกับคิดไม่ตกหากเป็นบุตรชายสักตระกูลไม่ว่านางเอ่ยปากญาติฝั่งใดย่อมมีผู้ช่วยเหลือได้แน่ทว่าคนผู้นี้กับมีฐานะเป็นถึงชินอ๋อง นางมองไม่เห็นหนทางเลยฮั่วหลิงเฟยมองมารดานิ่ง ๆ ด้วยความคาดหวังตอนนี้ภายในใจของนางร้อนรุ่มราวกับถูกไฟสุมอยู่ในอก เกรงว่าวาสนาที่นางกำลังตั้งตาเฝ้ารอคอยมาตลอดหลายปีจะถูกช่วงชิงไปในชั่วพริบตาแก้ไขไม่ทันนางโมโหมากจริง ๆแล้วยิ่งแม่สื่อมากมายผู้นั้นเล่นป่าวประกาศไปทั่ว
เช้าวันรุ่งขึ้นฮั่วซูเม่ยตื่นขึ้นมาด้วยความเกียจคร้านปนเหนื่อยล้าไปทั่วทั้งร่าง นางสวมใส่อาภรณ์สีฉูดฉาดปักลวดลายเล็กน้อยประดับอย่างประณีตอีกทั้งยังรวบเกล้าผมขึ้นเป็นมวยสูงเฉกเช่นกับสตรีออกเรือนแล้วฮั่วซูเม่ยปล่อยให้พวกสาวใช้จัดการได้อย่างตามใจ เพียงแต่การแต่งแต้มใบหน้านั้นนางเป็นคนลงมือจัดการเองอารมณ์วันนี้ของนางเบิกบานอย่างเห็นได้ชัดพวกสาวใช้ที่อยู่บริเวณในห้องนั้นเห็นท่าทางของคุณใหญ่แล้วก็ต่างพากันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความเกรงกลัว ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นคุณหนูใหญ่อารมณ์ดีเช่นนี้“มีเรื่องยินดีอันใดหรือเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้หญิงใจกล้าเปิดปากถามออกไปฮั่วซูเม่นเหลียวมอง “ข้ายิ้มไม่ได้หรือ” นางเอียงคอเลิกคิ้วถามก่อนจะยกมือลูบท้องของตนเอง “หากมารดาอารมณ์ดีบุตรในท้องก็อารมณ์ดีด้วยมิใช่หรือ”“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ผู้นั้นพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย ถึงแม้ภายในใจจะรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอันใดก็ตาม นางพอปะติดปะต่อได้ว่าคงเป็นเหตุการณ์ที่คุณใหญ่ยกเลิกงานหมั้นหมายจองคุณหนูรองเป็นแน่แม้ทั้งคู่จะเป็นพี่น้องร่วมบิดากันแล้วอย่างไรคุณหนูใหญ่ดันเกิดก่อนคุณหนูรองที่มีมารดาเป็นฮูหยินเอกมีผู้ใดบ้างจะพึงพอใจยอมรั
“ถอยออกไปให้ห่างก่อนที่ข้าจะโมโห”เซียนหยางชินอ๋องเพ่งมองสตรีใต้ร่าง ดวงตาสีดำคมกริบในยามนี้ดูลุ่มลึกยากจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ฤทธิ์ของสุราแรงที่ดื่มเข้านั้นยิ่งทำให้เขาขาดสติ แล้วยิ่งมีสตรีงามอยู่ตรงหน้าอีกเขาเองก็หาใช่ก้อนหินแข็งทื่อ“ดอกไม้งามอยู่ในมือแล้วไฉนถึงต้องปล่อยไปโดยไม่ทันได้สูดดมเล่า” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยกระซิบข้างใบหูของนาง พร้อมกันโน้มใบหน้าสูดดมความหอมจากซอกคอพอได้ยินประโยคนี้พร้อมกับการกระทำที่ล่วงเกิน ฮั่วซูเม่ยไม่อาจสามารถอดทนใจเย็นได้อีกเลย“เจ้าคนมักมาก!”ตุบ!! ตุบ!นางเองก็พอมีแรงอยู่บ้างจึงทำการทุบตีบุรุษร่างโตตรงหน้าที่คร่อมทาบทับไว้ก่อนที่จะอาศัยจังหวะที่บุรุษผู้นั้นงุนงงลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว“ข้าน่าจะปล่อยให้เจ้าตายอยู่ในนี้ผู้เดียว”สถานที่แห่งนี้แม้ภายนอกบรรยากาศจะหนาวเหน็บเย็นสะท้านเข้ากระดูกแล้วอย่างไร ทว่าภายในกลับร้อนระอุราวกับกำลังถูกแผดเผาให้มอดไหม้นั่นคือโรงเตี๊ยมไป๋ชานและนางคือนายหญิงของที่นี่ทุกอย่างไม่ว่าเรื่องใดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของนางฮั่วซูเม่ยปรายตามองบุรุษผู้นั้นความเกรี้ยวกราด แม้ภายในห้องจะมืดสนิททว่ายังคงมีแสงจั
ฮั่วซูเม่ยเดินมาถึงเรือนส่วนหน้าแล้ว สายตาของนางทอดมองเข้าไปข้างในด้วยความแข็งกร้าว มุมปากหยักยิ้มเยาะเล็กน้อย “หากข้าไม่ได้ยินเสียงของพวกบ่าวรับใช้ซุบซิบนินทาเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดปริปากบอกข้ากระมังว่ามีบุรุษมาสู่ขอน้องรองแล้วเสียงหัวเราะที่สะท้อนออกมาอย่างสนุกสนานนั้น ทำให้นางทำใจปล่อยผ่านไปไม่ได้จริง ๆ“พี่ใหญ่!”“ซูเออร์!”การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฮั่วซูเม่ยทำให้ผู้คนทั่วทั้งเรือนต่างยกมือทาบอกร้องออกมาด้วยความตกใจไม่น้อย เกรงว่านางคงไม่ได้มาที่นี้เพื่ออาละวาดใช่หรือไม่ใบหน้าของฮั่วซูเม่ยระบายยิ้มกว้าง “ไฉนถึงใจราวกับเห็นผีกันเล่า”“เอ่อ…” ภายในใจของฮั่วหลิงเฟยร้อนรนเกรงว่าสตรีตรงหน้านี้กำลังจะอาละวาดก่อเรื่องแน่ “หลิงเออร์คิดว่าพี่ใหญ่คงกำลังพักผ่อนจึงไม่อยากรบกวน”“รบกวนหรือ” ฮั่วซูเม่ยเลิกคิ้วถามกลับดวงตาเมล็ดซิ่งหลุมตาต่ำก้มมองหน้าท้องของต้นเอง “เรื่องยินดีปรีดาเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นการรบกวน”นางหาได้ตาบอดหรือโง่งม…เพียงแค่ปรายตามองแวบหนึ่งก็รู้ว่าคนพวกนี้ต้องการจะกีดกันนางให้ออกห่างจากฮั่วหลิงเฟยจวนสกุลฮั่วนับได้ว่าเป็นจวนสกุลขุนนางสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น จนกระทั่งภายหลังที่