เซียนหยางยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
สตรีผู้นี้ยามนอนหลับช่างไม่ต่างจากเด็กน้อยผู้หนึ่งต่างกันลิบลับกับตอนตื่นขึ้นช่างเป็นสตรีที่ไม่ควรจะเข้าใกล้จริง ๆ “ตายแล้วหรือ!” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างแข็งกร้าว เขาพลางเดินไปตรงหน้าหยุดลงอยู่ข้าง ๆ เตียงจากนั้นจึงโน้มใบหน้าก้มมองใกล้ จู่ ๆ ภายในใจของเซียนหยางชินอ๋องก็รู้สึกพึงพอใจอยู่มาก ริมฝีปากอวบอิ่ม จมูกรั้นจิ้มลิ้ม หรือแพขนตางอนยาว นางเป็นตุ๊กตาผ้างั้นหรือ? ฮั่วซูเม่ยหลับสนิท แม้จะมีเสียงรบกวนทว่านางยังคงไม่ตื่นขึ้นมาดูเพียงส่งเสียงสะลึมสะลือราวกับละเมอเท่านั้น “อือ…” “…..” เซียนหยางเบิกตากว้างตัวแข็งทื่อ ก่อนจะฉุดคิดไว้ตอนนี้ตนกำลังทำอันใดอยู่จึงดีดตัวยืนเหยียดหลังตรงพลางกระแอมไอเล็กน้อย “เจ้าไม่คิดจะตื่นจริง ๆ หรือ!” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยดังจากคราวก่อนทว่าไม่ถึงกลับดังเกินไปที่จะปลุกคนทั้งจวนตื่นขึ้นมาได้ นางยังคงนอนหลับอย่างสบายใจ เรื่องเกิดเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วอายุครรภ์ของนางในตอนนี้อยู่ราว ๆ สักสี่เดือนเศษได้ แต่ทุกวันนี้ฮั่วซูเม่ยกลับมีนิสัยเกียจคร้านยิ่งนั้นเหมือนสตรีที่ใกล้คลอดแล้ว ยามกินก็กินจนหนังท้องตรึงพอยามหลับก็หลับลึกเสมือนว่าตายไปแล้ว “เหอะ! ฮั่วซูเม่ย!” ความอดทนของเซียนหยางขาดลงในที่สุด เขาพลางเขย่าตัวสตรีผู้นั้นอย่างรุนแรงตั้งใจปลุกให้ตื่น “อื้มม…” ฮั่วซูเม่ยถูกปลุกให้ตื่นจากห้วงฝัน ใบหน้าของนางในตอนนี้ง่ววงุนไม่สบอารมณ์นัก “มารดามันเถอะ!” น้ำเสียงหวานสบถคำหยาบคายออกมาอย่างหงุดหงิด “ไม่เห็นหรือว่าข้านอนอยู่!” เกรงว่าคงเป็นน้องสาวต่างมารดาของนางแน่ที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ ฮั่วซูเม่ยลืมตาตื่นขึ้นก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่ง “…..!!!” มุมปากของเซียนหยางยักยิ้มมุมปาก พลางยกมือกอด “ข้านึกว่าเจ้าตายไปอย่างสงบแล้ว” ฮั่วซูเม่ยไม่รู้จะตกใจอันใดก่อนระหว่างถ้อยคำหยาบคายเสมือนเลี้ยงสุนัขไว้ในปากหรือการปรากฏตัวของบุรุษผู้นี้ในเรือนนอนของนาง จากที่กำลังง่วงงุนอยู่กลายเป็นตื่นเต็มตาทันที “เจ้าต่ำทราม!” “โจรชั่วช้า!” “ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่!” พอตั้งสติได้ฮั่วซูเม่ยก็พ่นคำด่าหยาบคายออกมามากมายโดยไม่สนใจว่าจะมีผู้ใดตื่นขึ้นมาดูหรือไม่ ภายในใจของนางในตอนนี้เดือดดาลขั้นสุด เซียนหยางชินอ๋องยังคงยืนมองนางเงียบ ๆ ทว่าสายตาของเขากับกำลังจดจ้องหน้าท้องของนางที่นูนออกมา ยามปกติแล้วเขาเห็นตอนที่สวมใส่อาภรณ์หนาหลายชิ้นเท่านั้นจึงมองไม่ค่อยออกว่านางคือสตรีตั้งครรภ์ ทว่าตอนนี้สตรีตรงหน้ากับสวมใส่ชุดนอนผืนบางที่มองเห็นหมดทุกส่วน “…..” “เจ้าได้ตายจริง ๆ แน่!” ในขณะที่ฮั่วซูเม่ยโมโหจนอยากหยิบดาบขึ้นมาแทงบุรุษตรงหน้าให้ตายสิ้นลมหายใจไปซะ “อายุครรภ์ของเจ้านานเพียงใดแล้ว” ราวกับประโยคด่าทอก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้าโสตประสาทเซียนหยางเลยแม้แต่น้อย เขากลับเอ่ยคำถามในสิ่งที่ค้างคาใจออกไปแทน ฮั่วซูเม่ยได้ยินแล้วจึงชะงักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองนั้นอยู่สภาพที่ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่านั้น “เจ้าคิดจะข่มเหงข้าอีกหรือไร!” “เหอะ! สภาพของเจ้าสมควรทำให้ข้าลุ่มหลงงั้นหรือ” “นี่! แล้วมันผู้ใดกันที่ไม่รู้จักอิ่มจักพอรังแกข้าทั้งคืน” นางเองก็ไม่ยอมรับเช่นกัน ความผิดในวันนั้นตกเป็นของเซียนหยางทั้งสิ้น สายตาคมกริบจ้องสตรีตรงหน้าไม่ว่างตา “ข้าเห็นเจ้าอยู่หอคณิกาคงคิดว่าเป็นท่านป้าร้านน้ำเต้าหู้กระมัง” เซียนหยางยอมรับว่าในวันนั้นแม้เขาจะเมามายแต่ความงามของนางกลับสะดุดตาจนมิอาจหักห้ามจิตใจได้ บุรุษหนุ่มวัยฉกรรณ์เห็นสาวงามหากอดทนได้ย่อมไม่ใช่บุรุษแล้ว “นี่เจ้า!” ฮั่วซูเม่ยยกมือขึ้นชี้หน้า บุรุษผู้นี้ไม่ว่าจะตอนเมามายหรือมีสติดีก็จัดได้ว่าเป็นคนหื่นกระหายหยาบคายจริง ๆ เซียนหยางถอนหายใจพลางมองไปทางอื่น หากเอาแต่ต่อปากต่อคำกับสตรีผู้นี้อีกเกรงว่าวันนี้คงไร้ประโยชน์อีก “ไม่ได้ยินที่ข้าถามหรือไรกัน…ท้องของเจ้ามีก้อนเลือดอาศัยอยู่นานเพียงใดแล้ว” “เหอะ!” ฮั่วซูเม่ยแสยะยิ้ม “สนใจแล้วหรือเพคะว่าบุตรในครรภ์ของข้าหรือทายาทของชินอ๋องจริง ๆ” “ข้าตอบไฉนไม่ตอบ” ความอดทนของเขาก็มีไม่มากนัก “สี่เดือนเศษแล้ว” นางเอ่ยขึ้นพลางหลุมตาต่ำก้มมองหน้าท้องที่ขยายใหญ่ขึ้น เซียนหยางชินอ๋องเอ่ย “ข้ามีสัมพันธ์กับเจ้าเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” ใช่! ฮั่วซูเม่ยนางเป็นถึงนายหญิงของหอคณิกาจะพลาดพลั้งลืมกินน้ำแกงห้ามครรภ์ได้อย่างไรกัน แต่เจ้าเด็กนี่ต่างหากที่อยากดื้อรั้นมาเกิดในท้องของนาง น้ำเสียงหวานเต็มไปด้วยความหยอกล้อ “เกรงว่าชินอ๋องคงแข็งไม่น้อยเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถมอบบุตรให้ข้าแล้ว” เซียนหยางชินอ๋องพอยิ่งได้ฟังแล้วยิ่งปวดหัวตุบ ๆ แทบจะเป็นลมล้มพับไป “เจ้าจะทำเช่นไรต่อไป” นางเองก็ไม่ได้อยากเลี้ยงร้องอันใด เพียงแค่รายรับของโรงเตี๊ยมไป๋ชานก็ทำเงินให้นางได้มากโขลงแล้ว ทว่าบุรุษผู้นี้ดันเกี่ยวกับกับจวนสกุลฮั่ว เช่นนั้นนางขอเล่นสนุกหน่อยเถอะ “จะไม่รับผิดชอบหม่อมฉันหรือเพคะ” สีหน้าของนางเหม่อมองลงอย่างเสแสร้ง ฮั่วซูเม่ยลุกขึ้นจากเตียงก็จะค่อย ๆ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบุรุษผู้นี้พลางยกมือหนาขึ้นแนบแก้มตนเอง สายตาที่ทอดมองนั้นราวกับกำลังออดอ้อน หัวคิ้วของเขาพลันขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นการกระทำของนาง สตรีผู้นี้อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายยิ่งนัก! เซียวหยางสะบัดมือออกก่อนจะก้าวเท้าถอยหลังออกห่างสามก้าว “บังอาจ!” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความไม่พอใจ กลับกันแล้วฮั่วซูเม่ยกับหัวเราะคิกคักชอบใจ “เขินอายอันใดกันเพคะชินอ๋องเพียงแค่จับมือถือแค่เท่านั้น…แม้แต่แนบกายใกล้ชิดยังทำมาแล้ว” ฮั่วซูเม่ยพร่ำพูดพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้าไปจ้องมองในดวงตาคมกริบคู่นั้น เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของบุรุษผู้นี้เกรี้ยวกราดไม่น้อย ในชั่วจังหวะเดียวกันนั้น จมูกของเขาก็พลันสูดกลิ่นหอมคุ้นเคยจากตัวนานอยู่นานสองนาน ก่อนที่เซียนหยางจะจับไหล่อีกฝ่ายไว้พลางถอยหลังก้าวกลับเตียงดังเดิม “เจ้าคิดจะทำอันใด” นางร้องด้วยความต้อง มุมปากหนายกยิ้มร้าย “พิสูจน์ความจริง” ฮั่วซูเม่ยไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร เซียนหยางไม่ได้ออกแรงบังคับนางมานักเกรงว่าอาจจะผิดพลาดอันตรายถึงบุตรในครรภ์ได้ สีหน้าและท่าทางงุนงงของสตรีเบื้องหน้าทำให้เขาหลุดขำออกมากลั้นเอาไว้ไม่อยู่ “เหอะ! เจ้าบอกว่าบุตรในครรภ์เจ้าคือทายาทชินอ๋องมิใช่หรอกหรือ” กึก! ฮั่วซูเม่ยพยักหน้าหงึก ๆ จากนั่งจึงค่อย ๆ ย่นก้นนั่งลงบนเตียงเกรงว่านางจะล้มเอาได้ สองมือพลางประคองท้องไว้ ในตอนนี้นางเข้าใจแล้ว “โง่งมนัก! ไม่ว่าเจ้าจะพิสูจน์อย่างไรเด็กในครรภ์ข้าก็คือลูกของเจ้าแน่!” ดวงตาคมกริบเพ่งมองเรือนร่างของนางด้วยความเจ้าเล่ห์ เซียหยางชินอ๋องเปล่งเสียงหัวเราะเยือกเย็น “เช่นนั้นข้าต้องได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง” “ได้!”ผู้ใดกันเอ่ยปากจะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีไม่ตามใจนางจนเสียคนเกรงว่าคงเป็นฮั่วซูเม่ยกระมังที่หูฝาดได้ยินผิดไปเอง หากเอ่ยถึงเซียนหยางคนผู้นั้นน่ะหรือ…นางไม่เคยเห็นเขาปฏิเสธอาหนี่ว์เลยแม้แต่สักครึ่งคำด้วยซ้ำ“ท่านพ่อ!”น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยขึ้นเสียงดังพลางกระโดดวิ่งเต้นตามหาผู้เป็นบิดาของตน“ท่านพ่ออยู่ที่ใดเพคะ!”“ท่านพ่อเจ้าค่ะ!”ฮั่วซูเม่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอนางได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้พลันรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “อาหนี่ว์! เสียงเจ้าดังจนทำเขาตกใจตื่นแล้ว”“เอะ! แอ้ๆๆ แอ้!” เสียงของเด็กทารกในห่อผ้าสะดุ้งพลันหวีดร้องไห้จ้าด้วยความตกใจเมื่อถูกรบกวน“น้องข้าตื่นแล้วหรือ” ซูหนี่ว์หยุดชะงักก่อนตะโกนถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ก็ใช่น่ะซิ!” ฮั่วซูเม่ยตะโกนตอบ“ชู่ว์~~ เข้าใจนางหน่อยอาหยวน พี่สาวของเจ้าก็เป็นคนเสียงดังเช่นนี้” ฮั่วซูเม่ยพลางอุ้มเด็กน้อยในห่อผ้าขึ้นแนบอก เกลี้ยกล่อมให้หยุดร้องไห้“ท่านแม่!”ซูหนี่ว์ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ตรงหน้ามารดา สายตาของนางมองเลยสอดส่องเข้าไปในห่อผ้าอย่างไม่วางตา “ส่งมาให้ข้าเถอะ”“…..”“แอ้! แอ้ๆๆๆ” ทารกยังคงตะเบ่งเสียงร้องไม่
‘หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน’‘สอง…คำนับบิดามารดา’‘สาม…คำนับกันและกัน’‘ส่งตัวเข้าหอ’เสียงของแม่สื่อร้องตะโกนดังก้องประกาศขั้นตอนพิธีการสำคัญต่าง ๆ ตามหน้าที่ขนบธรรมเนียมผ่านมาเกือบปีแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาเหมาะสมสำหรับ งานมงคลสมรสอย่างเป็นทางการเสียทีระหว่างเซียนหยางชินอ๋องและฮั่วซูเม่ยโดยมีฟ่านฮองเฮาจื่อฮ่องเต้เป็นผู้จัดการให้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะสามหนังสือหรือหกพิธีการจัดแจงตามให้เหมาะสมในเมื่อฮั่วซูเม่ยตัดขาดไม่เกี่ยวข้องออกจากจวนสกุลฮั่วมานานแล้ว ดังนั้นฟ่านฮองเฮาจึงเป็นแม่งานฝ่ายเจ้าสาวให้ส่วนเซียนหยางชินอ๋องนั้นแม้ตอนแรกเขาเอ่ยปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองทว่ากับถูกจื่อฮ่องเต้ข่มขู่หากไม่ได้ทำให้น้องชายร่วมอุทรผู้เดียวเกรงว่าตอนตายลงโลงไปคงไม่หลับตาแน่เป็นเช่นนี้แล้วคนทั้งคู่จึงไม่สามารถเอ่ยขัดได้เลยแม้แต่สักครึ่งคำจื่อฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสวมใส่อาภรณ์สีทองแล้วยังปักด้วยดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรน่าเกรงขามอีกหน เคียงข้างด้วยฟ่านฮองเฮาสวมใส่อาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตในชุดสีทองประดับลวดลายสวยงามเช่นกันเหล่าขุนนางสูงต่ำทั้งหลายและแขกมากมายต่างรายล้อมอยู่รอชื่นชมความงดงามของคู่บ่า
ต้นฤดูไม้ใบผลิอากาศหนาวเริ่มคลายลงบ้างแล้ว ในขณะที่ช่วงยามนี้จวนชินอ๋องกำลังวุ่นวายบ่าวรับใช้และหมอหญิงหลาย สิบคนต่างกำลังเดินเข้าออกจากเรือนหลักหนึ่งทำหน้าที่ของตนเองเพียงเพราะฮั่วซูเม่ยสตรีของเซียนหยางชินอ๋องเจ็บท้องใกล้จะ คลอดแล้ว“อดทนอีกนิดเพคะ” ชิงอันพลางเอ่ยบอกอาการเป็นระยะฮั่วซูเม่ยนอนอยู่บนเตียง สภาพใบหน้าหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด “มารดาจะตายแล้ว!”นางรู้สึกหน่วงที่ท้องและเจ็บจริง ๆ“ใจเย็นเถอะ ๆ อีกไม่นาน” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นปลอบใจเซียนหยางยืนอยู่ข้างๆ เตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลกระวนกระวายและไม่สามารถทำอะไรได้มากนอกจากจับมือนาง ไว้แน่นราวกับหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดนั้นได้เซียนหยางเห็นสภาพของนางเช่นนี้มาสองชั่วยามได้แล้ว หากเขาเจ็บแทนได้คงดีไม่น้อย“เมื่อไหร่นางจะคลอด”“…..”หมอหญิงสามสี่คนที่ตรวจดูอาการพอได้ยินน้ำเสียงทุ้มของชินอ๋องเอ่ยขึ้นนิ่ง ๆ จึงสะดุ้งตาม ๆ กัน “อีกไม่นานเจ้าค่ะ"อีกไม่นาน?“ข้าถามว่าเมื่อไหร่” สายตาคมกริบพลันปรายไปมอง ฉายความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“เกรงว่าทารกน้อยผู้นี้คงจะตัวใหญ่ไม่น้อยถึงขั้นไม่ยอมออกเลยทำให้หวางเฟยเจ็บปวดไม่น้อย”
พอได้ยินประโยคนี้แล้วฮั่วซูเม่ยตกใจเล็กน้อยก็จะปรายสายตาเหลียวไปมองเซียนหยางอยู่ข้าง ๆ ที่เอ่ยแทรกขึ้น“เกรงว่าคงทำให้พี่สะใภ้ผิดหวังแล้ว” เซียนหยางไม่มีทางยอมแน่ บุตรของเขาที่กำลังเกิดจากฮั่วซูเม่ยสมควรเรียกเขาว่าบิดาแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้นสีหน้าของฟ่านฮองเฮาผิดหวังเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือ” นางมีความรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยผู้นี้ตั้งแต่ในครรภ์จริง ๆ ดูท่าแล้วออกมาคงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มไม่น้อย“คงไม่เป็นอันใดกระมัง” นางหันไปพูดกับเซียนหยางก่อนจะปรายสายมากลับมามองสตรีตรงหน้าฮั่วซูเม่ยถือวิสาสะจับมือของฟ่านฮองเฮาไว้ก่อนจะวางลงบนท้องของตนเอง “ไฉนเจ้าเด็กนี้เขาจะไม่ดีใจกันมีท่านป้าเป็นถึงฮองเฮางดงามเพียงนี้” นางไม่ได้คิดมากอันใดอยู่แล้ว เพียงแค่มีคนเอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้ตั้งแต่ในครรภ์ก็นับว่าเกินไปสักหน่อยแล้วจื่อฮ่องเต้พลางเดินเข้ามาโอบไหล่ภรรยาไว้ “หากเจ้าอยากมีนักเช่นนั้นให้ข้าลงมือได้เลยหรือไม่”ไฉนนางจะไม่อยากมีกัน…ว่ากันตามตรงแล้วเขาและนางก็ตบแต่งกันมาหลายปีแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววเลยว่าผู้เป็นภรรยาจะตั้งครรภ์เสียทีด้วยสุขภาพของนางที่เป็นอยู่ตอนนี้ฟ่านฮองเฮาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “สุขภาพข
“กลับมาแล้วหรือ”ฮั่วซูเม่ยรออยู่ในเรือนไม่ยอมนอนอยู่นานสองนานพอเห็นประตูถูกผลักเข้ามาปรากฏเรือนร่างกำยำคุ้นเคย นางจึงปากถามพลางลุกเดินเข้าไปหาเซียนหยางพลันถอยหลังหนี“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่ต้องรอ ไฉนยังไม่นอนอีก” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง สายตาคมกริบไล่สำรวจนางตั้งแต่บนลงร่างจงใจยั่วยวนเขาหรอกหรือ?อาภรณ์ชุดนอนผืนบางแนบสนิทไปกับเรือนร่างจนมองเห็นส่วนโค้งเว้าทุกส่วน เรือนผมดำปล่อยสยายยาวอยู่หลัง“บอกแล้วอย่างไรว่าจะรอ” ใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้าง นางมองเข้าไปในนัยน์ตาคมกริบคู่นั้นจึงเห็นความรู้สึกผิดที่ถูกกลบเกลื่อนเอาไว้เล็กน้อย“……” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮั่วซูเม่ยเดินไปอีกครั้งแต่เซียนหยางก็พลันถอยห่างอีก นางจึงขมวดคิ้วมุ่นทันทีคราแรกที่บุรุษผู้นี้ทำเช่นนี้นางจึงคิดเสียว่าเขาอาจจะตกใจก็ได้ ทว่าพอเป็นเช่นนี่ฮั่วซูเม่ยรู้ว่าเริ่มไม่ปกติแล้ว“เนื้อตัวข้าสกปรกยังไม่ทันได้อาบน้ำ” เซียนหยางเอ่ยอย่างเร่งรีบเกรงว่านางจะเข้าใจผิดเอาได้หาว่าเขารังเกียจฮั่วซูเม่ยไล่สายตาสำรวจสังเกตจึงพบว่าฝ่ามือของบุรุษผู้นี้นั้นมีคราบสีแดงคลายเลือดแห้งติดอยู่ ดวงตาเมล็ดซิ่งค่อย ๆ เงยขึ้นส
การแต่งงานของฮั่วซูเม่ยและเซียนหยางถูกจื่อฮ่องเต้กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างไรเซียนหยางก็เป็นน้องชายร่วมอุทรผู้เดียวของจื่ออ๋องเต้ย่อมต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าผู้ใดแน่จื่ออ๋องเต้นั่งพูดคุยอยู่จวนชินอ๋องต่อราวหนึ่งก้านธูปเห็นว่าคงรบกวนเวลาพักผ่อนของน้องสะใภ้มากเกินไปจึงไม่รั้งอยู่ต่อ “วันหน้าเจ้าก็พานางเข้าวังไปพบพี่สะใภ้เสีย”ฮั่วซูเม่ยระบายยิ้มจาง ๆ “เกรงว่าคงจะรบกวนฝ่าบาทเกินไปแล้วเพคะ”“เหอะ! รบกวนอันใดกันนับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”ในความคิดของนางจื่อฮ่องเต้ผู้นี้เป็นถึงผู้ปกครองแคว้นเหนือกว่าผู้คนหลายพันหลายหมื่นชีวิตแต่กลับไม่หยิ่งทะนงถือตัวเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกประหม่าในคราแรกจึงคลายลงไปหมดสิ้นเซียนหยางกำลังจะอ้าปากปฏิเสธแล้วแต่พอเหลียวเห็นรอยยิ้มของสตรีข้างกายเป็นอันต้องกลืนคำพูดนั้นลงท้องไป เกรงว่าหากนางอยู่แต่จวนคงเบื่อหน่ายไม่น้อยได้พูดคุยกับผู้อื่นคงดี“เจ้าอยากไปหรือไม่”ฮั่วซูเม่ยพลางทำท่าครุ่นคิดสักเล็กน้อย “หากเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วเช่นนั้นข้าสมควรต้องคารวะพี่สะใภ้เสียหน่อยแล้ว”“ดี!” จื่อฮ่องเต้ตอบรับหัวเราะเบา ๆ “นางต้องเอ็นดูเจ้าเหม