“ใจเย็น ๆ ก่อนเถอะหลิงเออร์”
“จะให้ลูกใจเย็นอย่างไรกันท่านแม่!” ฮั่วหลิงเฟยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ใบหน้าคนงามบิดเบี้ยวไม่สู้ดี เหอฮูหยินเห็นสภาพของบุตรสาวโศกเศร้าเสียใจเช่นนี้แล้ว คนเป็นมารดาเช่นนางปวดใจยิ่งนัก “ถึงอย่างไรเรื่องนี้ย่อมต้องมีทางแก้ไขแน่” “แก้ไขหรือ…” ฮั่วหลิงเฟยหันมามองมารดาผ่านม่านน้ำตา “เรื่องนี้จะแก้ไขได้อย่างไรกัน” เห็นได้ชัดว่าฮั่วซูเม่ยจงใจแย่งชิงวาสนาของนาง! ตั้งแต่เกิดมาฮั่วหลิงเฟยถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามอกตามใจ ขอเพียงเอ่ยปากชี้นิ้วอยากได้อะไรย่อมได้ ภายในใจของนางในตอนนี้ย่อมเต็มไปด้วยความโกรธแค้นทั้งสิ้น “ขอแม่คิดก่อนหลิงเออร์” ฮั่วฮูหยินพลางโอบไหล่บุตรสาวไว้หลวม ๆ ท่าทางของนางราวกับคิดไม่ตก หากเป็นบุตรชายสักตระกูลไม่ว่านางเอ่ยปากญาติฝั่งใดย่อมมีผู้ช่วยเหลือได้แน่ทว่าคนผู้นี้กับมีฐานะเป็นถึงชินอ๋อง นางมองไม่เห็นหนทางเลย ฮั่วหลิงเฟยมองมารดานิ่ง ๆ ด้วยความคาดหวัง ตอนนี้ภายในใจของนางร้อนรุ่มราวกับถูกไฟสุมอยู่ในอก เกรงว่าวาสนาที่นางกำลังตั้งตาเฝ้ารอคอยมาตลอดหลายปีจะถูกช่วงชิงไปในชั่วพริบตาแก้ไขไม่ทัน นางโมโหมากจริง ๆ แล้วยิ่งแม่สื่อมากมายผู้นั้นเล่นป่าวประกาศไปทั่ว ไม่ว่านางจะย่างกรายไปที่ใดย่อมได้ยินผู้คนนินทาว่าเซียนหยางชินอ๋องทำคุณหนูจวนสกูลฮั่วตั้งครรภ์แล้วไม่รับผิดชอบ! ฮั่วฮูหยินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หากบุตรในครรภ์ฮั่วซูเม่ยเป็นบุตรของชินอ๋องจริง ๆ ละก็…” “เหอะ!” ฮั่วหลิงเฟยแค่นเสียง “หากนางท้องได้เช่นนั้นข้าก็ทำแท้งได้เช่นกัน” !!!! พอฮั่วฮูหยินได้ยินแล้วชะงักตัวแข็งทื่อพลางยกมือทาบอกด้วยความตกใจ“หลิ...หลิงเออร์” เกรงว่าการกระทำเช่นนี้คงโหดร้ายเกินไปแล้วกระมังและถึงนางจะโมโหมากเพียงใดแต่การลงมือฆ่าคนนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดของฮั่วฮูหยินมาก่อน “ท่านแม่ต้องช่วยลูกนะเจ้าค่ะ!” ฮั่วฮูหยินพูดไม่ออกจะปฏิเสธก็ไม่ได้ “เรื่องนี้แม่ไม่ค่อยเห็นด้วยเลย” “ลูกมีเพียงท่านแม่เท่านั้นที่เข้าใจ” สายตามองฮั่วหลิงเฟย ทอดมองมารดาด้วยความสงสาร หยาดน้ำตาเม็ดใสพลันไหลอาบแก้มนวล “หลิงเออร์ไม่ว่าเจ้าอยากได้สิ่งใดแม่ล้วนจัดการหามาให้ได้ทั้งสิ้นเพียงแต่…แต่เรื่องนี้แม่ว่ามันรุนแรงเกินไปจริง ๆ” “ท่านแม่!” ฮั่วหลิงเฟยกัดฟันกรอดเมื่อถูกขัดใจ “ช่างเถอะ! หากท่านแม่ไม่ช่วยเช่นนั้นข้าจะเป็นผู้ลงมือแน่” ฮั่วฮูหยินเห็นท่าทางแน่วแน่ของบุตรสาวแล้วก็อดหวั่นเกรงไม่ได้ “ไม่! ไม่หลิงเออร์! เรื่องเช่นนี้จะทำให้เจ้าแปดเปื้อนมีมลทินได้ แม่จะเป็นผู้ลงมีจัดการเอง” นางมีเพียงฮั่วหลิงเฟยเป็นบุตรสาวแต่เพียงผู้เดียว และยิ่งหากมีเรื่องอันตรายอันใดนางก็อยากจะเผชิญหน้าแทนบุตรสาว ใบหน้าของฮั่วหลิงเฟยระบายยิ้มกว้าง “ข้ารักท่านแม่ที่สุด มีเพียงท่านที่เข้าใจข้า!” น้ำเสียงหวานของนางเอ่ยขึ้นอย่างออดอ้อน “แม่ก็มีเพียงเจ้าเป็นบุตรสาวแต่เพียงผู้เดียวหลิงเออร์” ฮั่วฮูหยินถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหนักอึ้ง นี่เท่ากับว่าหากนางพลาดพลั้งจากสังหารหนึ่งคนจะกลายเป็นสองคนทันที ทว่าเพื่อความสบายใจของบุตรสาวแล้วไม่ว่าเรื่องอันใดนางย่อมพร้อมแลก หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จสิ้น ฮั่วซูเม่ยยังคงนั่งเล่นอยู่กับ ฮูหยินผู้เฒ่าต่อคล้ายกับความหนักอึ้งภายในใจของนางคลายลงไม่น้อยเมื่อได้พูดคุยกับผู้อื่นบ้าง มือเหี่ยวย่นของหญิงชรายกมือขึ้นลูบเรือนผมของเด็กสาวตรงหน้าอย่างเบามือ “เป็นมารดาผู้อื่นแล้วไฉนถึงยังทำตัวเป็นเด็กอยู่ได้” “ท่านย่าไม่รักข้าแล้วอย่างงั้นหรือ” ฮั่วซูเม่ยนอนหนุนตักของหญิงชราเอ่ยขึ้นน้ำเสียงง่วงงุน เจ้าเด็กผู้นี้ทำให้นางขี้เกียจมากจริง ๆ พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนคล้อยทันที ฮูหยินผู้น้ำส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย “เหอะ! หากข้าไม่รักเจ้าแล้วคงไล่ตะเพิดให้หนีไปแล้ว!” ฮั่วซูเม่ยหัวเราะคิกคักชอบใจ “เกรงว่าทั่วจวนสกุลฮั่วคงมีเพียงท่านย่าเท่านั้นที่ดีต่อข้า” สายตาของหญิงชราทอดมองเห็นสาวตรงหน้าด้วยความเอ็นดูไม่น้อย อาจเป็นเพราะตอนที่นางเกิดออกมานั้นฮูหยินผู้เฒ่ายังแข็งแรงพอโอบอุ้มอยู่นานจนกระทั่งพอหนึ่งปีถึงปล่อยให้สะใภ้จัดการดูแล บรรยากาศช่วงยามสายมีลมโชยมาเบา ๆ ทำให้เย็นสบายจนเคลิบเคลิ้มไม่น้อย นางลืมตาขึ้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพยุงตักลุกขึ้นจากตักฮูหยินผู้เฒ่า “ข้ารบกวนเวลาพักผ่อนของคนแก่มานานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าเด็กนี่!” ฮั่วซูเม่ยปิดปากพลางหัวเราะคิกคัก “หากถือว่ายังมีแรงเอ่ยปากด่าข้าได้นับว่ายังไม่แก่!” ทันใดจู่ ๆ ก็มีสาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาทางนี้ด้วยความเร่งรีบซ้ำยังรอพูดมาตลอดทั้งทางอย่างไรมารยาทอีก “แขกเจ้าค่ะ! “มีแขกมาพบคุณหนูใหญ่ค่ะ!” “คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!” “เพ่ย! ผู้คนจวนนี้ไร้มารยาทไปหมดแล้วอย่างงั้นหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ามองเห็นแล้วอดด่าทอไม่ได้จริง ๆ “มีเรื่องคอขาดบาดตายอย่างไรกันถึงได้เร่งรีบปานนี้” ฮั่วซูเม่ยก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ แขกหรือ? ทั้งชีวิตของนางไม่คบหาสมาคมกับผู้ใด..เช่นนั้นอาจจะไม่ใช่นางกระมัง “ฮั่วฮูหยินให้เจ้ามาตามข้าหรือ” นางถามออกไป “ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” สาวใช้ผู้นั้นปฏิเสธทันที นางพลันหอบหายใจจนตาเหลือก “เป็นชินอ๋องที่มาขอพบคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!” พอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามนี้ฮั่วซูเม่ยเบิดตากว้างทันที เกรงว่านางคงกำลังหูฝาดฟังผิดอยู่ใช่หรือไม่ ก่อนจะนึกอันใดบางอย่างในใจใบหน้าจึงระบายยิ้มออกมาอย่างปิดไม่ปิด ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็เกือบหลงลืมไปสนิทจึงเอ่ยปากถาม “พ่อของเจ้าก้อนในเจ้าหรอกหรือ” “คนทั่วทั้งเมืองหลวงรู้แล้วมีเพียงท่านย่าที่ไม่รู้?” “ฮั่วซูเม่ย!” “ก็ได้ ๆ บุตรของข้ากำลังจะมีพ่อแล้ว” ฮั่วซูเม่ยเห็นท่าทางของหญิงชราแล้วจริงหยุดหยอกล้อพูดออกมาอย่างจริงจัง “เจ้าไม่ต้องกำพร้าแล้ว” ส่วนประโยคหลังนั้น นางหลุมตาต่ำพลางพูดกับหน้าท้องที่นูนออกมาของตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ” “กล้าดีอย่างไรไล่ข้า!” “รีบออกก่อนที่มารดาจะตีเจ้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงแข็ง เด็กสาวตรงหน้าเอาแต่พร่ำพูดไปเรื่อยจนนางเริ่มงุนงงว่าเรื่องใดเรื่องจริงหรือเรื่องใดเรื่องเท็จ แม้จะมีเรื่องทำให้นางหงุนหงิดใจอยู่บ้าง แต่อารมณ์ของนางก็เบิกบานไม่น้อย ฮั่วซูเม่ยพูดคุยอยู่สองสามประโยคก่อนจะขอตัวจากไป พอรู้ตัวอีกทีเซียนหยางก็มาอยู่ที่จวนสกุลฮั่วเสียแล้ว อารมณ์ของเขาในวันนี้ค่อนข้างขุ่นมัวไม่สู้ดีนัก เซียนหยางนั่งรอคนผู้หนึ่งอยู่นานสองนานครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาแต่ไกล สายตาคมกริบปรายไปมองทันที ไฉนสตรีผู้นั้นถึงเอาแต่เดินเชื่องช้าจนความอดทนของเขาสิ้นสุดลง เซียหยางชินอ๋องลุกขึ้นพุ่งตัวเดินไปหานางทันที “ชักช้า!” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แท้จริงแล้วข้าตั้งใจต่างหาก! ใบหน้าของฮั่วซูเม่ยระบายยิ้มกว้างทักทายบุรุษตรงหน้า “หากจะให้ข้ายอบกายทำความเคารพชินอ๋องในยามนี้เกรงว่าคงจะไม่สะดวกนัก…เช่นนั้น” ดวงตาเมล็ดชิ่งของนางจดจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างเจ้าเล่ห์ ฮั่วซูเม่ยโน้มใบหน้าเข้าไปไกลก่อนจะจุมพิตลงบนแก้มสากของอีกฝ่ายแทน “แบบนี้ได้หรือไม่เพคะ” !!! เพียงชั่วพริบตาความโกรธจองเซียนหยางชินอ๋องคับอกแทบปะทุออกมา “สตรีหน้าด้าน!” สายตาคมกริบจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยความเกรี้ยวโกรธ “โกรธข้าหรือ” ฮั่วซูเม่ยถามมองตาปริบ ๆ ยิ่งเห็นท่าทางโมโหของบุรุษตรงหน้านั้นนางแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่แต่ต้องสำรวมท่าทางไว้บ้าง เกรงว่าเขาจะอดทนไม่ได้จนพลั้งมือสังหารจริง ๆ เซียนหยางกัดฟันพูด “ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่!” “ท่าไหนดีเพคะชินอ๋อง” นางหัวเราะคิกคัก เอียงคอถามผู้ใดกันเอ่ยปากจะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีไม่ตามใจนางจนเสียคนเกรงว่าคงเป็นฮั่วซูเม่ยกระมังที่หูฝาดได้ยินผิดไปเอง หากเอ่ยถึงเซียนหยางคนผู้นั้นน่ะหรือ…นางไม่เคยเห็นเขาปฏิเสธอาหนี่ว์เลยแม้แต่สักครึ่งคำด้วยซ้ำ“ท่านพ่อ!”น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยขึ้นเสียงดังพลางกระโดดวิ่งเต้นตามหาผู้เป็นบิดาของตน“ท่านพ่ออยู่ที่ใดเพคะ!”“ท่านพ่อเจ้าค่ะ!”ฮั่วซูเม่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอนางได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้พลันรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “อาหนี่ว์! เสียงเจ้าดังจนทำเขาตกใจตื่นแล้ว”“เอะ! แอ้ๆๆ แอ้!” เสียงของเด็กทารกในห่อผ้าสะดุ้งพลันหวีดร้องไห้จ้าด้วยความตกใจเมื่อถูกรบกวน“น้องข้าตื่นแล้วหรือ” ซูหนี่ว์หยุดชะงักก่อนตะโกนถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ก็ใช่น่ะซิ!” ฮั่วซูเม่ยตะโกนตอบ“ชู่ว์~~ เข้าใจนางหน่อยอาหยวน พี่สาวของเจ้าก็เป็นคนเสียงดังเช่นนี้” ฮั่วซูเม่ยพลางอุ้มเด็กน้อยในห่อผ้าขึ้นแนบอก เกลี้ยกล่อมให้หยุดร้องไห้“ท่านแม่!”ซูหนี่ว์ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ตรงหน้ามารดา สายตาของนางมองเลยสอดส่องเข้าไปในห่อผ้าอย่างไม่วางตา “ส่งมาให้ข้าเถอะ”“…..”“แอ้! แอ้ๆๆๆ” ทารกยังคงตะเบ่งเสียงร้องไม่
‘หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน’‘สอง…คำนับบิดามารดา’‘สาม…คำนับกันและกัน’‘ส่งตัวเข้าหอ’เสียงของแม่สื่อร้องตะโกนดังก้องประกาศขั้นตอนพิธีการสำคัญต่าง ๆ ตามหน้าที่ขนบธรรมเนียมผ่านมาเกือบปีแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาเหมาะสมสำหรับ งานมงคลสมรสอย่างเป็นทางการเสียทีระหว่างเซียนหยางชินอ๋องและฮั่วซูเม่ยโดยมีฟ่านฮองเฮาจื่อฮ่องเต้เป็นผู้จัดการให้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะสามหนังสือหรือหกพิธีการจัดแจงตามให้เหมาะสมในเมื่อฮั่วซูเม่ยตัดขาดไม่เกี่ยวข้องออกจากจวนสกุลฮั่วมานานแล้ว ดังนั้นฟ่านฮองเฮาจึงเป็นแม่งานฝ่ายเจ้าสาวให้ส่วนเซียนหยางชินอ๋องนั้นแม้ตอนแรกเขาเอ่ยปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองทว่ากับถูกจื่อฮ่องเต้ข่มขู่หากไม่ได้ทำให้น้องชายร่วมอุทรผู้เดียวเกรงว่าตอนตายลงโลงไปคงไม่หลับตาแน่เป็นเช่นนี้แล้วคนทั้งคู่จึงไม่สามารถเอ่ยขัดได้เลยแม้แต่สักครึ่งคำจื่อฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสวมใส่อาภรณ์สีทองแล้วยังปักด้วยดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรน่าเกรงขามอีกหน เคียงข้างด้วยฟ่านฮองเฮาสวมใส่อาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตในชุดสีทองประดับลวดลายสวยงามเช่นกันเหล่าขุนนางสูงต่ำทั้งหลายและแขกมากมายต่างรายล้อมอยู่รอชื่นชมความงดงามของคู่บ่า
ต้นฤดูไม้ใบผลิอากาศหนาวเริ่มคลายลงบ้างแล้ว ในขณะที่ช่วงยามนี้จวนชินอ๋องกำลังวุ่นวายบ่าวรับใช้และหมอหญิงหลาย สิบคนต่างกำลังเดินเข้าออกจากเรือนหลักหนึ่งทำหน้าที่ของตนเองเพียงเพราะฮั่วซูเม่ยสตรีของเซียนหยางชินอ๋องเจ็บท้องใกล้จะ คลอดแล้ว“อดทนอีกนิดเพคะ” ชิงอันพลางเอ่ยบอกอาการเป็นระยะฮั่วซูเม่ยนอนอยู่บนเตียง สภาพใบหน้าหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด “มารดาจะตายแล้ว!”นางรู้สึกหน่วงที่ท้องและเจ็บจริง ๆ“ใจเย็นเถอะ ๆ อีกไม่นาน” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นปลอบใจเซียนหยางยืนอยู่ข้างๆ เตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลกระวนกระวายและไม่สามารถทำอะไรได้มากนอกจากจับมือนาง ไว้แน่นราวกับหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดนั้นได้เซียนหยางเห็นสภาพของนางเช่นนี้มาสองชั่วยามได้แล้ว หากเขาเจ็บแทนได้คงดีไม่น้อย“เมื่อไหร่นางจะคลอด”“…..”หมอหญิงสามสี่คนที่ตรวจดูอาการพอได้ยินน้ำเสียงทุ้มของชินอ๋องเอ่ยขึ้นนิ่ง ๆ จึงสะดุ้งตาม ๆ กัน “อีกไม่นานเจ้าค่ะ"อีกไม่นาน?“ข้าถามว่าเมื่อไหร่” สายตาคมกริบพลันปรายไปมอง ฉายความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“เกรงว่าทารกน้อยผู้นี้คงจะตัวใหญ่ไม่น้อยถึงขั้นไม่ยอมออกเลยทำให้หวางเฟยเจ็บปวดไม่น้อย”
พอได้ยินประโยคนี้แล้วฮั่วซูเม่ยตกใจเล็กน้อยก็จะปรายสายตาเหลียวไปมองเซียนหยางอยู่ข้าง ๆ ที่เอ่ยแทรกขึ้น“เกรงว่าคงทำให้พี่สะใภ้ผิดหวังแล้ว” เซียนหยางไม่มีทางยอมแน่ บุตรของเขาที่กำลังเกิดจากฮั่วซูเม่ยสมควรเรียกเขาว่าบิดาแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้นสีหน้าของฟ่านฮองเฮาผิดหวังเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือ” นางมีความรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยผู้นี้ตั้งแต่ในครรภ์จริง ๆ ดูท่าแล้วออกมาคงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มไม่น้อย“คงไม่เป็นอันใดกระมัง” นางหันไปพูดกับเซียนหยางก่อนจะปรายสายมากลับมามองสตรีตรงหน้าฮั่วซูเม่ยถือวิสาสะจับมือของฟ่านฮองเฮาไว้ก่อนจะวางลงบนท้องของตนเอง “ไฉนเจ้าเด็กนี้เขาจะไม่ดีใจกันมีท่านป้าเป็นถึงฮองเฮางดงามเพียงนี้” นางไม่ได้คิดมากอันใดอยู่แล้ว เพียงแค่มีคนเอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้ตั้งแต่ในครรภ์ก็นับว่าเกินไปสักหน่อยแล้วจื่อฮ่องเต้พลางเดินเข้ามาโอบไหล่ภรรยาไว้ “หากเจ้าอยากมีนักเช่นนั้นให้ข้าลงมือได้เลยหรือไม่”ไฉนนางจะไม่อยากมีกัน…ว่ากันตามตรงแล้วเขาและนางก็ตบแต่งกันมาหลายปีแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววเลยว่าผู้เป็นภรรยาจะตั้งครรภ์เสียทีด้วยสุขภาพของนางที่เป็นอยู่ตอนนี้ฟ่านฮองเฮาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “สุขภาพข
“กลับมาแล้วหรือ”ฮั่วซูเม่ยรออยู่ในเรือนไม่ยอมนอนอยู่นานสองนานพอเห็นประตูถูกผลักเข้ามาปรากฏเรือนร่างกำยำคุ้นเคย นางจึงปากถามพลางลุกเดินเข้าไปหาเซียนหยางพลันถอยหลังหนี“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่ต้องรอ ไฉนยังไม่นอนอีก” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง สายตาคมกริบไล่สำรวจนางตั้งแต่บนลงร่างจงใจยั่วยวนเขาหรอกหรือ?อาภรณ์ชุดนอนผืนบางแนบสนิทไปกับเรือนร่างจนมองเห็นส่วนโค้งเว้าทุกส่วน เรือนผมดำปล่อยสยายยาวอยู่หลัง“บอกแล้วอย่างไรว่าจะรอ” ใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้าง นางมองเข้าไปในนัยน์ตาคมกริบคู่นั้นจึงเห็นความรู้สึกผิดที่ถูกกลบเกลื่อนเอาไว้เล็กน้อย“……” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮั่วซูเม่ยเดินไปอีกครั้งแต่เซียนหยางก็พลันถอยห่างอีก นางจึงขมวดคิ้วมุ่นทันทีคราแรกที่บุรุษผู้นี้ทำเช่นนี้นางจึงคิดเสียว่าเขาอาจจะตกใจก็ได้ ทว่าพอเป็นเช่นนี่ฮั่วซูเม่ยรู้ว่าเริ่มไม่ปกติแล้ว“เนื้อตัวข้าสกปรกยังไม่ทันได้อาบน้ำ” เซียนหยางเอ่ยอย่างเร่งรีบเกรงว่านางจะเข้าใจผิดเอาได้หาว่าเขารังเกียจฮั่วซูเม่ยไล่สายตาสำรวจสังเกตจึงพบว่าฝ่ามือของบุรุษผู้นี้นั้นมีคราบสีแดงคลายเลือดแห้งติดอยู่ ดวงตาเมล็ดซิ่งค่อย ๆ เงยขึ้นส
การแต่งงานของฮั่วซูเม่ยและเซียนหยางถูกจื่อฮ่องเต้กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างไรเซียนหยางก็เป็นน้องชายร่วมอุทรผู้เดียวของจื่ออ๋องเต้ย่อมต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าผู้ใดแน่จื่ออ๋องเต้นั่งพูดคุยอยู่จวนชินอ๋องต่อราวหนึ่งก้านธูปเห็นว่าคงรบกวนเวลาพักผ่อนของน้องสะใภ้มากเกินไปจึงไม่รั้งอยู่ต่อ “วันหน้าเจ้าก็พานางเข้าวังไปพบพี่สะใภ้เสีย”ฮั่วซูเม่ยระบายยิ้มจาง ๆ “เกรงว่าคงจะรบกวนฝ่าบาทเกินไปแล้วเพคะ”“เหอะ! รบกวนอันใดกันนับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”ในความคิดของนางจื่อฮ่องเต้ผู้นี้เป็นถึงผู้ปกครองแคว้นเหนือกว่าผู้คนหลายพันหลายหมื่นชีวิตแต่กลับไม่หยิ่งทะนงถือตัวเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกประหม่าในคราแรกจึงคลายลงไปหมดสิ้นเซียนหยางกำลังจะอ้าปากปฏิเสธแล้วแต่พอเหลียวเห็นรอยยิ้มของสตรีข้างกายเป็นอันต้องกลืนคำพูดนั้นลงท้องไป เกรงว่าหากนางอยู่แต่จวนคงเบื่อหน่ายไม่น้อยได้พูดคุยกับผู้อื่นคงดี“เจ้าอยากไปหรือไม่”ฮั่วซูเม่ยพลางทำท่าครุ่นคิดสักเล็กน้อย “หากเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วเช่นนั้นข้าสมควรต้องคารวะพี่สะใภ้เสียหน่อยแล้ว”“ดี!” จื่อฮ่องเต้ตอบรับหัวเราะเบา ๆ “นางต้องเอ็นดูเจ้าเหม