ถ้าลอบบี้คือห้องรับรอง มันก็คือห้องรับรองที่ไม่ได้อยากจะต้อนรับใครเลย บรรยากาศโดยรอบดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่นัก อุณหภูมิภายในนั้นก็ลดลงทุกนาที กระจกที่ควรโปร่งใสกลับสะท้อนภาพภายในห้องซ้อนทับกับเงาของใครบางคนที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนั้นขึ้นมา
แม้จะไม่มีเสียงประกาศใดอีกจากลำโพง แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดดังเกินไปกว่าระดับเสียงที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นเสียงกระซิบแล้ว
‘เรากำลังติดอยู่ในกับดัก’
กวินคิดในใจ ขณะมองไปรอบห้องอีกครั้งอย่างพิจารณา
ไฟฟ้าติดอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ยินเสียงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังทำงานเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเงียบสนิท ผนังแต่ละด้านคือกระจกทึบ มองออกไปข้างนอกไม่ได้ และเพดานก็สูงเกินไปกว่าที่จะสังเกตเห็นว่ากล้องวงจรปิดอยู่ตรงไหนบ้าง
แต่สิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้เหมือนกันนั่นก็คือ มีบางอย่างในที่นี้… กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่อย่างไม่วางตา
แน่นอนว่าไม่ใช่จากกล้องวงจรปิด แต่จาก บางอย่าง ที่กำลังปิดบังตัวตนจากพวกเขาทุกคน แม้จะไม่เห็นตัวตนของมัน แต่พลังงานการมีอยู่ส่งตรงมาถึงพวกเขาทุกคนได้อย่างชัดเจน
“ฉันจะกลับบ้าน” เสียงหญิงวัยกลางคนที่ชื่อหมอกดังขึ้น เธอค่อยๆ เดินตรงไปที่ประตูทางเข้าทันที
“อย่าทำแบบนั้น” แพรวาเดินก้าวเข้าไปขวางหน้าหมอกเอาไว้ “เรายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราบ้าง บางทีนอกเหนือจากไอ้กฎสิบสามข้อนั่น การเดินหนีออกไป ไม่ยอมเดินตามเกมที่มันวางเอาไว้ ก็อาจจะส่งผลให้โดนลงโทษก็ได้นะ”
“กฎบ้าอะไรที่แค่เดินออกไปแล้วจะโดนทำโทษ! มันไม่ได้มีระบุเอาไว้สักหน่อย อย่ากลัวจนเกินเหตุไปเลยน่า!” หมอกย้อนเสียงสูง
“คุณออกจากที่นี่ไม่ได้แล้ว” กวินพูดขัดขึ้นในระหว่างนั้น
“ทำไมจะไม่ได้!?”
อิฐเดินแทรกเข้ามาเสริมทัพ “เพราะเรากดยอมรับข้อตกลงบนหน้าจอนั่นไปแล้วไงครับ คุณจำไม่ได้หรือไง”
หมอกได้ฟังก็เหมือนจะเพิ่งนึกได้ มีเม็ดเหงื่อเล็กๆ หนึ่งเม็ดผุดขึ้นที่หน้าผากของเธอ แววตาที่เด็ดเดี่ยวก่อนหน้านี้เริ่มคลายลงจนเห็นความกังวลแผ่ออกมา
“พวกเราต้องไปต่อ... จนกว่ามันจะจบ” อิฐย้ำ
มีเสียงบางอย่างผุดแทรกความเงียบขึ้นมาในระหว่างนั้น กวินหันขวับไปมองที่ตู้ปลาที่ตั้งอยู่ด้านหลัง มันมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจากที่นิ่งเงียบมานาน ฟองอากาศค่อยๆ ผุดขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่มีใครเห็นฟองอากาศเหล่านั้นเลยก็ตาม ราวกับว่ามีใครเปิดเครื่องปั๊มออกซิเจนเข้าไปในน้ำเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยวก่อน!” เสียงของอิฐดังขึ้น เขากำลังอ่านข้อความที่ค้างอยู่บนหน้าจอที่โต๊ะกลางลอบบี้
“OBSERVATION STARTED. RULE ONE IN EFFECT. ALL MOVEMENT BEING LOGGED. FAILURE TO COMPLY IS TRANSFORMATION”
“‘การไม่เชื่อฟังจะนำไปสู่... การเปลี่ยนแปลง?’” อิฐทวนเสียงเบา “มันไม่ได้ใช้คำว่า ลงโทษ… แต่ใช้คำว่า เปลี่ยน แทน”
“เปลี่ยนอะไร?” กวินถาม
“นั่นแหละที่น่ากลัว” อาริษากระซิบ “เพราะมันอาจไม่ได้หมายถึงการตาย… แต่มันอาจน่ากลัวกว่านั้น”
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากมิกิ “ฮ่าๆ โอเค! สรุปคือพวกเราต้องนั่งรอจนกว่าจะมีใครโดนอะไรใช่ไหม แบบ... ต้องรอดูใครตายก่อนงี้เหรอ” เธอหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้ง “งั้นฉันขอไลฟ์ละกันนะ จะได้มีหลักฐานว่าเกิดอะไรขึ้น”
เธอกำลังจะกดไลฟ์บนแอพลิเคชัน TikTok แต่หน้าจอกลับกลายเป็นสีดำ และอยู่ๆ ก็ปรากฏภาพเธอบนหน้าจอมือถือกำลังยืนอยู่ในลอบบี้ แต่… การเคลื่อนไหวร่างกายของเธอบนหน้าจอมันดูขยับช้ากว่าที่เธอทำจริงอยู่ประมาณ 2 วินาที
“เชี่ย...” เธออุทาน “นี่มันมาขึ้นหน้าฟีดฉันได้ไงเนี่ย ใครแอบเอามาลง!”
ก่อนที่จะมีใครได้เอ่ยปากตอบ หน้าจอก็แสดงภาพอีกเฟรมหนึ่งขึ้นมาเป็นภาพเธอกำลังหลับตา และมีเงาสีดำรูปร่างคล้ายปลาเรืองแสง ว่ายอยู่เหนือหัวเธอ
เธอโยนมือถือทิ้งทันทีด้วยความตกใจ หน้าจอมือถือของเธอแตกละเอียด แต่ไม่มีใครหัวเราะเยาะ ไม่มีใครพูดอะไร เพราะพวกเขาเห็นภาพเดียวกัน หลังจากนั้นบนกระจกที่เป็นผนังด้านหลังห้องก็ปรากฏขึ้นชั่ววูบหนึ่งเหมือนเงาสะท้อนของอะไรบางอย่างก่อนจะหายไป
อิฐเดินไปแตะจุดที่เงานั้นเคยอยู่ “ตรงนี้... มันเย็นกว่าปกติ เย็นกว่าจุดอื่นบนผนังเดียวกัน”
แพรวามองไปรอบห้อง สายตาเริ่มเป็นกังวล “พวกคุณสังเกตไหมว่าพื้นที่บางส่วน... มันเริ่มเปลี่ยนไป”
กวินหันกลับไปดูแผนที่อควาเรียมข้างโต๊ะ จากที่จำได้เมื่อครู่นี้ มี 3 โถงใหญ่ และ 1 โถงควบคุม แต่ตอนนี้บนแผนที่มีโซนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเพิ่มขึ้นมา
“ZONE F: OBSERVATION CHAMBER – ACTIVE”
“RULE IN PROGRESS: 01”
“UNAUTHORIZED EXIT ATTEMPT DETECTED.”
ข้อความเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นใต้แผนที่นั้น
“มีคนพยายามออกจากระบบแล้วเหรอ?” อาริษาเอ่ยถามพลางหันไปมองหน้าทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครยอมรับว่าใช่ แต่สายตาทุกคู่หันไปมองที่หมอกซึ่งยืนอยู่ใกล้ประตูมากที่สุด
“อะไร! ฉันก็แค่คิดเฉยๆ! ไม่ได้จะออกไปจริงๆ สักหน่อย ถึงจะอยากก็เถอะ” เธอยืนยันเสียงสั่น
ไม่มีใครกล่าวหาเธอทั้งนั้น แต่พื้นห้องใต้เท้าหมอกเรืองแสงสีฟ้าอ่อนขึ้นมาชั่วครู่ ก่อนจะดับลงเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
หมอกถอยกรูดกลับมานั่งที่เดิม เธอสั่นไปทั้งตัวและคำพูด “มันรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไร…”
หลังจากนั้นไม่นานตู้ปลาที่อยู่มุมสุดของลอบบี้เกิดเสียงประหลาดขึ้นมาเบาๆ ทุกคนหันไปมอง ตอนแรกมันดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไร แต่เพียงชั่ววินาทีก็ปรากฏรอยร้าวเส้นเล็กขึ้นมาบนกระจก
“มีใครแตะกระจกหรือเปล่า?” อิฐเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีเป็นกังวล
ทุกคนนิ่งเงียบ มองหน้ากันไปมา ต่างคนต่างก็ส่ายหัวปฏิเสธ ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนทำ แต่มิกิหันไปมองมือถือที่พังของตัวเองนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นห้อง
เธอจำได้ว่า… ก่อนหน้าที่จะยกมือถือขึ้นถ่าย เธอเผลอเอามือไปวางบนกระจกตู้ปลาไว้เล็กน้อย เพื่อประคองตอนที่เธอพยายามที่จะเข้าไปถ่ายใกล้ๆ ตู้ปลาเพื่อที่จะให้กล้องโฟกัสสิ่งที่อยู่ด้านในตู้ได้มากที่สุด
“ฉันว่า ฉันเองที่เผลอแตะกระจก ตอนที่ถ่ายรูปครั้งแรก...” มิกิเอ่ยปากบอกด้วยน้ำเสียงสั่น เพราะกลัวจะโดนทุกคนด่า แต่เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
เสียงกระซิบดังขึ้นแผ่วเบา ทุกคนหันขวับมองหาต้นตอของเสียงทันที เพราะครั้งนี้มันไม่ได้ดังมาจากลำโพง
แต่… มันดังมาจาก ในน้ำ
อย่า… แตะ… กระจก…
เงาบางอย่างในตู้เริ่มเคลื่อนไหว มันว่ายช้าๆ ขึ้นด้านบน เงาดำที่ไม่มีดวงตา ไม่มีใบหน้า แต่กลับทำให้ทุกคนตรงนั้นรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
หลังจากเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับพลอย และรอยร้าวรูปใยแมงมุมที่ยังคงปรากฏอยู่บนบานกระจกของตู้ปลาขนาดใหญ่นั้น สมาชิกที่เหลือทั้งสิบเอ็ดคนที่เหลืออยู่ในลอบบี้อย่างเงียบงัน ไม่มีใครกล้าพูดถึงเธออีก ด้วยกลัวว่าจะโดนผลกระทบไปด้วยหากเข้าไปยุ่งกับพลอย เหมือนกับว่าถ้ามีใครสักคนพูดถึงคนที่ละเมิดกฎเหล็กและกำลังจะถูกลงโทษอาจเป็นการเชื้อเชิญความสูญเสียเหล่านั้นมาสู่ตนเองด้วยทุกคนถอยห่างออกจากพลอย แยกย้ายกันไปหาพื้นที่ให้กับตนเอง ทิ้งพลอยให้ตกอยู่กับความหวาดกลัวเพียงคนเดียว แม้ว่ากวินและแพรวาจะแสดงออกถึงความเป็นห่วงพลอยอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขามีความกังวลอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่จะต้องอยู่ใกล้พลอย ทำให้ในตอนนี้แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปหามุมพักผ่อนให้กับตัวเองเจมส์นั่งอยู่ตรงมุมห้อง ใกล้กับตู้กระจกที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ข้างใน เขาเป็นชายหนุ่มเงียบขรึมในเสื้อฮู้ดสีดำ ข้อมือเต็มไปด้วยรอยสักรูปเรขาคณิต เขาไม่ค่อยพูดตั้งแต่เข้ามาที่นี่ มักจะอยู่ในมุมเงียบๆ คนเดียว จนหลายคนในกลุ่มยังจำหน้าเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาแทบไม่มีตัวตนในสายตาของใคร แต่สิ่งหนึ่งที่เขาแอบทำมาโดยตลอดนั่นก็คือก
สิ้นเสียงประกาศจากอควาเรียม ทุกอย่างนิ่งเงียบ พร้อมกับใบหน้าที่ตึงเครียดของทุกคน แววตาตัดสินจ้องมองมาที่เจมส์เป็นตาเดียว ราวกับพยายามจะตำหนิว่าเขาเป็นต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่รองจากพลอย แต่เจมส์ก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาพวกนั้น เพราะในหัวของเขายังคงเฝ้านึกถึงแต่คำพูดของเสียงกระซิบนั้นที่เพิ่งจะบอกเขาว่าไม่ต้องกลัวเสียงจากระบบ แต่ให้กลัวสิ่งที่อยู่ข้างหลังระบบมากกว่า หมายความว่ายังไงกันแน่? เขาคิดตาม ไหนจะประโยคที่บอกว่าเขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงสักเท่าไหร่ เพราะเขามั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นว่าไม่เคยมาที่นี่แน่นอน แต่ความรู้สึกคุ้นเคยกับความทรงจำที่โผล่เข้ามาในหัวเมื่อครู่ก็เริ่มทำให้เขาสับสนไม่น้อย ทั้งภาพการจมอยู่ใต้น้ำข้างในตู้กระจกนั้น และก
ภาพบานกระจกแตกและมีรอยฝ่ามือเปียกปริศนานั้นทำเอาทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนต่างนิ่งอึ้ง ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว ไม่มีใครพูดหรือส่งเสียงอันใดออกมาแม้แต่นิดเดียว ความเงียบในตอนนี้หนักกว่าทุกเสียงที่ได้ยินมาก่อนหน้า มันเงียบสนิทชนิดที่ได้ยินเสียงลมหายใจของแต่ละคนได้อย่างชัดเจนรอยนิ้วมือเปียกน้ำบนผนังกระจกยังคงอยู่ดังเดิม มันไม่มีทีท่าว่าจะเหือดแห้งหายไปเลยสักนิด ทั้งที่ในความเป็นจริงหากเป็นร่องรอยความชื้นของฝ่ามือมนุษย์ทั่วไป ความชื้นเหล่านั้นคงจะเริ่มทยอยระเหยไปบ้างได้แล้วเมื่อระยะเวลาผ่านไปพลอยผู้ยืนอยู่ใกล้ตู้ปลานั้น เด็กหญิงหน้าตาเรียบร้อยในชุดนักศึกษา เธอไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรสักคำตั้งแต่เข้ามาในที่แห่งนี้ แต่ตอนนี้… เธอกำลังเพ่งมองเงาบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในตู้ปลาที่อยู่ใกล้ๆ เธอ มันเหมือนกับว่าเธอเคยรู้จักมันมาก่อนมันดูคุ้นตามาก เพียงแต่เธอนึกไม่ออกว่าเคยเห็นมันมาจากที่ไหน ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มเกิดขึ้นในจิตใจของเธอ เธอจ้องมมองมันนิ่ง ไม่ส่งเสียงใด แต่แววตาของเธอมันเปล่งประกายออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังหลงใหลกับภาพตรงหน้าไม่น้อย“พลอย&helli
“อย่า…แตะ…กระจก…”เสียงนั้นดังมาจากข้างในตู้ปลา ทุกคนต่างได้ยินเหมือนกัน แต่ไม่มีใครในลอบบี้แน่ใจว่าตัวเองได้ยินจริงหรือเพียงแค่จินตนาการไปเอง มันไม่ใช่เสียงที่ผ่านอากาศมาเข้าใบหู แต่มันเหมือนกับว่าสั่นอยู่ในเส้นประสาท เป็นเหมือนเสียงที่ถูกกระซิบขึ้นในหัวสมองของทุกคนมิกิถอยหลังโดยอัตโนมัติด้วยความตกใจกลัว เธอสะดุดเก้าอี้และทรุดนั่งลงไปบนพื้น ข้างๆ โทรศัพท์มือถือที่พังไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งหน้าจอของมือถือเครื่องนั้นเหมือนจะส่องแสงสว่างวาบเป็นครั้งสุดท้าย แล้วแสดงภาพย้อนกลับอย่างรวดเร็วของการถ่ายรูปก่อนหน้านี้ เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่หน้าจอจะดับสนิท เหมือนไม่เคยเปิดเครื่องมาก่อน“มีบางอย่างอยู่ในนี้จริงๆ สินะ” เธอพึมพำ เสียงสั่น ใบหน้าซีดไร้สีเลือด เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจากนั้นเสียงจากลำโพงก็กลับมา แต่คราวนี้… มันไม่เหมือนเดิม“WELCOME TO LUCID OCEAN. คุณคือผู้ถูกเลือกทั้ง 12 คน เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ หรือท้ายที่สุดอาจกลายเป็นสิ่งที่ถูกเฝ้าสังเกตเสียเอง...”เสียงที่ดังขึ้นในปร
ถ้าลอบบี้คือห้องรับรอง มันก็คือห้องรับรองที่ไม่ได้อยากจะต้อนรับใครเลย บรรยากาศโดยรอบดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่นัก อุณหภูมิภายในนั้นก็ลดลงทุกนาที กระจกที่ควรโปร่งใสกลับสะท้อนภาพภายในห้องซ้อนทับกับเงาของใครบางคนที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนั้นขึ้นมาแม้จะไม่มีเสียงประกาศใดอีกจากลำโพง แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดดังเกินไปกว่าระดับเสียงที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นเสียงกระซิบแล้ว‘เรากำลังติดอยู่ในกับดัก’กวินคิดในใจ ขณะมองไปรอบห้องอีกครั้งอย่างพิจารณาไฟฟ้าติดอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ยินเสียงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังทำงานเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเงียบสนิท ผนังแต่ละด้านคือกระจกทึบ มองออกไปข้างนอกไม่ได้ และเพดานก็สูงเกินไปกว่าที่จะสังเกตเห็นว่ากล้องวงจรปิดอยู่ตรงไหนบ้างแต่สิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้เหมือนกันนั่นก็คือ มีบางอย่างในที่นี้… กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่อย่างไม่วางตา แน่นอนว่าไม่ใช่จากกล้องวงจรปิด แต่จาก บางอย่าง ที่กำลังปิดบังตัวตนจากพวกเขาทุกคน แม้จะไม่เห็นตัวตนของมัน แต่พลังงานการมีอยู่ส่งตรงมาถึงพวกเขาทุกคนได้อย่างชัดเจน“ฉันจะกลับบ้าน” เสียงหญิงวัยกลางคนที่ชื่อหมอกดังขึ้น เธอค่อยๆ เดินตรงไปที่ประตูทางเข้าทั
สิ่งแรกที่กวินรู้ตัวหลังเสียงประกาศจบลงคือ… ในห้องลอบบี้เงียบสนิท ชนิดที่ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของใครสักคนให้ได้ยิน แม้จะมีมนุษย์จำนวนสิบสองคนอยู่ภายในนั้นก็ตามทุกคนเงียบ ไม่ใช่เพราะเข้าใจ แต่เพราะไม่มีใครรู้จะถามคำถามไหนก่อนดี บรรยากาศรอบตัวมันหนาวเย็นราวกับอุณหภูมิลดลงเฉียบพลัน หรือแท้จริงแล้วอาจจะเป็นพลังงานอะไรบางอย่างที่กำลังก่อตัวหลังจากที่บานประตูของสถานที่แห่งนี้ถูกล็อกก็เป็นได้“เอาล่ะ…” เสียงผู้หญิงในชุดสูทแดงดังขึ้น ทำลายความเงียบอย่างตั้งใจ เธอลุกขึ้นแล้วก้าวช้าๆ มาหยุดอยู่ตรงด้านหน้ากลางโต๊ะกลมที่มีหมายเลขประทับไว้ “อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ เพราะฉันรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่แค่อควาเรียมเปิดใหม่ธรรมดา ฉันจึงตัดสินใจมาที่นี่ตามคำเชิญ”สายตาทุกคู่หันไปหาเธอทันที หลังจากที่เธอกล่าวจบในทีแรก เธอจ้องมองทุกคนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกล่าวต่อ “มันเคยถูกสร้างไว้เพื่อการทดลองเมื่อสิบปีก่อน และหายไปจากทุกฐานข้อมูลหลังเกิดเหตุทีมนักวิจัยทั้งหมดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”ชายหนุ่มที่ดูเป็นพนักงานส่งของหัวเราะหึออกมาทันที “พี่ครับ! นี่มัน 2025 แล้วนะพี่!! ยังเชื่อไอ้เรื่องทฤษฎีสมคบคิดอะไรพวกน