ท่านแม่ทัพจ้าวคร้านที่จะเถียงเรื่องไร้สาระกับบุตรชายของตนเสียแล้ว เขาจึงเอ่ยเข้าเรื่องราวในทันที
"อาเฉิน ยามนี้แคว้นไท่ชิงกำลังแห้งแล้งอย่างหนัก อีกทั้งยังมีเหล่าโจรป่าลงมาปล้นชิงเสบียงอาหารและของมีค่าของชาวบ้านอีกด้วย พ่อคิดว่าอีกไม่นาน ฝ่าบาทคงจะมีรับสั่งให้เจ้าเดินทางไปที่แคว้นไท่ชิงในเร็ววันนี้เป็นแน่"
จ้าวเฉินอวี้หยิบเสื้อคลุมมาสวมเอาไว้ ก่อนจะพยักหน้าให้ผู้เป็นบิดาเล็กน้อย แคว้นไท่ชิงตั้งอยู่ทางทิศเหนือของต้าเฉวียน เป็นแคว้นที่สงบสุขแต่ค่อนข้างแห้งแล้งเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีโจรป่าชุกชุมอีกด้วย
"ลูกเข้าใจแล้วขอรับ แต่ไหนแต่ไรมา แคว้นไท่ชิงเองก็สงบสุขมาโดยตลอด ท่านอ๋องเสิ่นหยวนเองก็ทรงภักดีต่อต้าเฉวียนเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรเสียหากฝ่าบาทมีราชโองการลงมาเมื่อใด ลูกก็จะรีบเร่งไปช่วยพวกเขาปราบเหล่าโจรป่าแน่นอนขอรับ"
"อืม พ่อภูมิใจยิ่งนัก ที่เจ้าเจริญรอยตามพ่อเช่นนี้ ต่างจาก อาเฉียนยิ่งนัก"
ยิ่งคิดถึงจ้าวเฉียนเว่ย บุตรชายอีกคนของตน แม่ทัพจ้าวก็ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย จ้าวเฉียนเว่ยชมชอบการดื่มสุราและบรรเลงพิณ เขาเดินทางไปต่างแคว้นเพื่อชื่นชมธรรมชาติ ช่างไม่เอาไหนเอาเสียเลย!
"ท่านพ่ออย่าได้ต่อว่าอาเฉียนเลยขอรับ อาเฉียนเองปีนี้ก็มีอายุเพียงสิบห้าปี เขายังเด็กนัก"
"พ่อเข้าใจ เจ้าเองก็เช่นกันนะอาเฉิน ปีนี้อายุของเจ้าก็ยี่สิบปีเต็มแล้ว พ่อว่าเจ้ารีบแต่งภรรยาเสียเถิด พ่อว่าหลานสาวของแม่เล็กก็ดูไม่เลวเลยนะ"
"เรื่องแต่งภรรยาของลูกท่านพ่อมิต้องยุ่ง ลูกมีสตรีในดวงใจอยู่แล้ว ส่วนหลานสาวของแม่เล็ก ลูกไม่ต้องการรับนางมาเป็นภรรยา"
"อาเฉิน!!!"
"เชิญท่านพ่อออกไปได้แล้วขอรับ ได้เวลาที่ลูกจะชักรอบที่สองแล้ว"
แม่ทัพจ้าวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถลึงตามองจ้าวเฉินอวี้ทันที ก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินจากไปอย่างไม่พอใจ!!!
บัดซบ!!! มันไปติดนิสัยหื่นกามเช่นนี้เหมือนใครกัน
เมื่อผู้เป็นบิดาออกไปจากห้องแล้ว จ้าวเฉินอวี้ก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ก่อนจะครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่าง
ตระกูลจ้าวของเขานั้น ท่านพ่อมีท่านแม่เป็นฮูหยินใหญ่ และมีฮูหยินรองอีกคน นั่นก็คือแม่เล็ก ภรรยาอีกคนที่ท่านพ่อยกย่องนางจากอนุขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง เดิมทีนางเป็นเพียงสตรีผ่ายผอมที่ถูกขายเข้ามาเพื่อเป็นอนุ แต่เพราะนางใช้มารยาสารพัดมัดใจท่านพ่อ จึงได้ขึ้นมาเป็นฮูหยินรองในจวนตระกูลจ้าว ยิ่งนึกถึงใบหน้าของ เสี่ยวฟาง หลานสาวของนาง เขาก็รู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
คิดว่าเขาไม่รู้หรือ แม่เล็กผู้นี้หวังจะให้หลานสาวของนางไต่เต้ามาเป็นภรรยาของเขา เพื่อจะได้ยึดอำนาจในจวนตระกูลจ้าวเอาไว้ในมือ
ฝันไปเถิด!!! ข้าไม่มีวันยอมแต่งกับเสี่ยวฟางเป็นอันขาด
ข้าจะแต่งกับหลี่ซูฮวาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ยิ่งคิดถึงใบหน้าสวยหวานและเรือนร่างที่เย้ายวนของนาง ใจของจ้าวเฉินอวี้ก็เต้นไม่เป็นจังหวะ เขาหลงรักนางตั้งแต่แรกพบ สตรีที่จะมาเป็นภรรยาของเขา จะต้องเก่งกาจ มิอ่อนแอ เห็นจะมีก็แต่นางเท่านั้นที่คู่ควรกับเขา
ยิ่งคิดท่อนเอ็นร้อนในร่มผ้าก็ยิ่งแข็งชูชัน เขาจึงจำต้องออกแรงมือให้ขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ผ่านไปชั่วครู่ จ้าวเฉินอวี้ก็รู้สึกเบาสบายกายเป็นอย่างยิ่ง เขาหยิบหนังสือสราญรมย์ขึ้นมาเปิดอ่านอีกรอบ ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์
เขาชักจะสนใจฝีมือเจ้าของภาพวาดผู้นี้เสียแล้วสิ เขาจะต้องตามหานักวาดผู้นี้ให้เจอ เพื่อจะได้ให้นักวาด มาวาดภาพของหลี่ซูฮวาสตรียอดดวงใจของเขา เขาจะได้เก็บภาพของนางเอาไว้เชยชมเฝ้าฝันในทุก ๆ ค่ำคืน
"พ่อบ้านเฉียน"
"ขอรับคุณชายใหญ่"
พ่อบ้านเฉียนที่ได้ยินเสียงเรียกของจ้าวเฉินอวี้ก็รีบวิ่งเข้ามาทันที เขาเป็นพ่อบ้านเก่าแก่ของที่นี่ คอยรับใช้คนตระกูลจ้าวมาหลายสิบปี แม้จะแก่ชราลงไปไม่น้อย แต่ยังคงทำงานได้คล่องแคล่วเหมือนสมัยหนุ่ม ๆ อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อพ่อบ้านเฉียนเข้ามาถึงในห้อง เขาก็ถึงกับต้องอ้าปากค้าง
"คุณชายใหญ่!!!"
"มีสิ่งใด?"
"วันนี้ดูเหมือนกับว่า จะเยอะกว่าสองวันก่อนนะขอรับ"
"ข้าทำสองรอบ"
"โอ้ คนหนุ่มสาวนี่ช่างแรงดีไม่มีตก"
"รีบ ๆ เก็บกวาดเสีย ข้าจะพักผ่อนแล้ว"
"เอ่อ จะให้บ่าวรออยู่ด้านนอกหรือไม่ขอรับ"
"รอสิ่งใดอีก?"
"เผื่อคุณชายใหญ่จะชัก..."
"ไสหัวไปถ้าไม่อยากตายตอนแก่!!!"
จ้าวเฉินอวี้รู้สึกหงุดหงิดใจกับพ่อบ้านปากมากผู้นี้ยิ่งนัก จะมาสนใจเขาทำไมกัน ว่าเขาจะชักกี่รอบ บัดซบ!!!
ด้านหลี่ซูฮวานั้นนางกลับมาที่จวนตระกูลหลี่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นอย่างมาก ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง มันมากมายเสียจนนางรู้สึกปลื้มใจยิ่งนัก
"คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว"
"กัวกัวเล่า?"
"เอ่อ อยู่ในห้องนอนของคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ"
"ให้อาหารหรือยัง?"
"เอ่อ บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ นั่นมันสุนัขล่าเนื้อนะเจ้าคะ!!! บ่าวกลัว"
เหมยเหยากับแม่นมจางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว คุณหนูใหญ่ของพวกนาง อยู่ดีดีก็ไปเก็บสุนัขล่าเนื้อที่มีร่างกายสูงใหญ่มาเลี้ยงเอาไว้ พวกนางหวาดกลัวยิ่งนัก
หลี่ซูฮวารู้สึกขบขันทั้งสองคนเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะเดินไปที่โรงครัวและนำเนื้อสดชิ้นใหญ่ติดมือมาด้วย ป่านนี้กัวกัวคงจะหิวแย่แล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงรีบเดินกลับเรือนปีกซ้ายทันที
"กัวกัว ออกมาหาแม่เร็วลูก"
เมื่อหลี่ซูฮวาเอ่ยเรียกไม่นานนัก ก็ปรากฏร่างของสุนัขเพศผู้ตัวใหญ่ ที่คลานออกมาจากใต้เตียงของนาง ขนของมันเป็นสีดำออกน้ำตาล ดวงตาสีดำขลับของมันจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเดินเข้ามาทิ้งกายหมอบลงตรงหน้าของหลี่ซูฮวาอย่างเชื่อฟัง นางยื่นมือไปลูบหัวของมันอย่างรักใคร่ นางพบกับกัวกัวเมื่อหลายวันก่อน มันนอนขดตัวอยู่ที่ใต้ต้นไม้ เหมือนกำลังได้รับบาดเจ็บ นางเองชื่นชอบการเลี้ยงสุนัขมาแต่ไหนแต่ไร แม้กัวกัวจะเป็นสุนัขล่าเนื้อแต่นางก็ดูออกว่าแท้จริงแล้ว มันน่ารักเพียงใด
นางไม่รู้ว่ากัวกัวไปพบเจอกับคนใจร้ายที่ใดเข้า จึงบาดเจ็บเช่นนี้ นางพยายามช่วยรักษามันอย่างสุดกำลัง จนกัวกัวหายดี และตั้งชื่อมันว่ากัวกัว ดูเหมือนเจ้าสุนัขล่าเนื้อตัวนี้ก็จะชื่นชอบชื่อที่นางตั้งให้ไม่น้อย ดู ๆ ไปแล้ว มันคงจะเป็นสุนัขที่พ่อค้าต้าเฉวียนมีไว้เพื่อใช้เล่นการพนัน นางได้ยินมาว่าคนต้าเฉวียนชื่นชอบสุนัขล่าเนื้อยิ่งนัก พวกเขาจะชอบนำมันไปแข่งขันในสนามประลองกับสุนัขตัวอื่น ๆ หากมันจัดการฆ่าคู่ต่อสู้จนตายได้ เจ้าของก็จะได้เงินก้อนใหญ่ติดมือกลับไป แต่ถ้าพ่ายแพ้ก็คงจะถูกเจ้าของทิ้งขว้างเอาไว้ไม่ใส่ใจไยดีมันอีก
กัวกัวคงจะพ่ายแพ้มาสิท่า จึงถูกทิ้งเช่นนี้!
ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เอาเถิดข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง!
หลี่ซูฮวากำลังหยอกล้อกับกัวกัวได้ไม่นาน แม่นมจางก็มาแจ้งว่า ฮูหยินใหญ่สั่งให้นางไปพบที่เรือนใหญ่ในตอนนี้ หลี่ซูฮวาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปทันที
เมื่อมาถึงที่เรือนใหญ่ นอกจากจะพบกับฮูหยินใหญ่แล้ว นางยังได้พบกับบุรุษใบหน้าหล่อเหลาผู้หนึ่งอีกด้วย
"คารวะท่านแม่"
"ซูฮวา นี่คือหลานชายของข้า มีนามว่า เฟิ่งหยู ข้าจะยกเจ้าให้เป็นภรรยาของเขา"
หลี่ซูฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดใดออกมา นางพอจะเดาออกอยู่ก่อนแล้ว ว่าที่ฮูหยินใหญ่เรียกนางมา ย่อมมิใช่เรื่องที่ดีเป็นแน่ หึ!!! รีบร้อนกำจัดนางเสียจริง ถึงขนาดต้องหาพรรคพวกมาช่วยเชียวหรือ?
เฟิ่งหยูที่ได้เห็นหลี่ซูฮวาใกล้ ๆ เช่นนี้ ไฟราคะของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที สตรีงดงามเช่นนี้มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้หลุดมือไป
"ซูฮวา อีกสองวันข้าจะจัดงานแต่งให้เจ้ากับหลานชายของข้า หึ!!! ยามนี้ท่านปู่ของเจ้ากำลังวุ่นวายกับงานในวังหลวง รอเขากลับจวนมาเมื่อใด ข้าจะบอกเองว่าเจ้าหนีตามหลานชายข้าไปแล้ว"
หลี่ซูฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเฮอะในลำคอออกมาอย่างดูแคลน เฟิ่งหยูที่เห็นเช่นนั้นจึงถือวิสาสะก้าวเข้ามาหานาง หวังจะโอบกอดนางเอาไว้ แต่ทว่าหลี่ซูฮวากลับเบี่ยงกายหลบเขาเสียก่อน
"น้องซูฮวา พี่จะเป็นสามีที่ดีของเจ้า ท่านน้า!!! ข้าขอเข้าหอกับนางคืนนี้เลยได้หรือไม่ขอรับ!!!"
เฟิ่งหยูหันไปเอ่ยถามฮูหยินใหญ่อย่างกระตือรือร้น ฮูหยินใหญ่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
"เอาเถิด!!! ทำไมจะไม่ได้เล่า อย่างไรเสียนางก็หนีเจ้าไม่พ้น ข้าสั่งคนให้คุ้มกันจวนตระกูลหลี่อย่างแน่นหนาแล้ว"
หึ!!! คิดจะหนีข้าหรือ ครานี้เจ้าหนีข้าไม่พ้นเสียหรอกหลี่ซูฮวา ท่านปู่ของเจ้ายามนี้ก็แทบไม่มีเวลากลับจวน คอยดูสิว่าใครจะมาช่วยเหลือเจ้าได้ทันเวลา!!! หากข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว พ่อสามีจอมลำเอียงผู้นั้น จะทำสิ่งใดได้ ฮ่า ๆๆ
หลี่ซูฮวาจ้องมองฮูหยินใหญ่ด้วยสายตาที่ล้ำลึก นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ทำได้เพียงกลับมารอที่เรือนปีกซ้ายอย่างไม่มีปากเสียง
แม่นมจางที่ได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ก็ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ในใจนึกด่าทอฮูหยินใหญ่อำมหิตผู้นี้เป็นพันครั้ง
"คุณหนู ฮืออออ"
"เลิกร้องไห้สักที แล้วมาช่วยข้าแต่งตัว คืนนี้ข้าจะต้อนรับว่าที่สามีให้ถึงใจเชียวละ"
หลี่ซูฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะ หลี่ซูฮวายังคงนั่งจิบชาร้อนอยู่ในห้องนอนอย่างไม่ใส่ใจสิ่งใดแม้แต่น้อย อีกไม่นานเฟิ่งหยูคงจะมาถึงแล้ว นางกำลังจะมีเรื่องสนุก ๆ ให้กัวกัวทำแก้เบื่อแล้วสินะ
"น้องซูฮวา!!!"
เฟิ่งหยูที่ยามนี้ร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว เขารอนับวันเวลาจนถึงมืดค่ำเพื่อจะได้มาเจอนาง ไฟราคะมันเผาไหม้จิตใจของเขาจนร้อนรุ่ม ยิ่งคืนนี้คิดว่าจะได้เชยชมสาวงาม กายของเขาก็ร้อนราวกับไฟเผา
"ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำรุนแรงกับเจ้า!!!"
เฟิ่งหยูก้าวเข้ามาหาหลี่ซูฮวาอย่างรวดเร็ว เขาจับแขนของนางเอาไว้ ก่อนจะลูบไล้มันอย่างหลงใหล ผิวพรรณของนางช่างนวลเนียนละเอียดราวกับแพรไหมชั้นดี ท่านน้าช่างใจดีกับเขาเหลือเกิน ที่มอบภรรยาเช่นนี้ให้แก่เขา
คืนนี้เขาจะทรมานนางจนต้องร้องขอชีวิต!!!
หลี่ซูฮวายื่นมือเรียวสวยของนางไปลูบไล้ใบหน้าของเฟิ่งหยูอย่างยั่วยวน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หวานกังวานใสชวนฟังแต่ทว่ามันกลับแฝงเอาไว้ด้วยความเยือกเย็นแปลก ๆ
"คืนนี้ข้าก็จะทำให้พี่เฟิ่งหยูจำข้าได้ไม่ลืมเช่นกันเจ้าค่ะ จำไปชั่วชีวิต"
"ซูฮวา"
"กัวกัว!!!"
"โฮ่ง!"
สิ้นเสียงของหลี่ซูฮวา กัวกัวสุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่ก็คลานออกมาจากใต้เตียง มันยืดเหยียดกายอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเหลือบสายตาคมจ้องมองเฟิ่งหยูอย่างไม่เป็นมิตร
เฟิ่งหยูเริ่มรับรู้ได้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น เขาจ้องมองหลี่ซูฮวาอย่างเย็นชา
"เจ้าคิดจะทำสิ่งใด!!!"
"แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะทำสิ่งใดเล่า?"
เฟิ่งหยูรีบผลักหลี่ซูฮวาออกจากตัวทันที ก่อนจะวิ่งไปที่ประตู แต่ทว่าประตูกลับถูกปิดเอาไว้จากด้านนอก หลี่ซูฮวายกยิ้มอำมหิต นางเป็นคนสั่งให้แม่นมจางปิดประตูด้านนอกเอาไว้เอง หึ!!! คุ้มกันจวนแน่นหนาอย่างนั้นหรือ โง่สิ้นดี!!!
เขามีท่าทีตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่หลี่ซูฮวาเดินไปนั่งจิบชาร้อนอย่างสบายอารมณ์
"นังปีศาจ!!!"
"หึ!!! ไปด่าท่านน้าของเจ้าสิ นางเป็นคนส่งเจ้ามาหาข้าเอง ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ฮ่า ๆๆๆ!!! กัวกัว!!! ลงมือ!!!"
สิ้นคำสั่งของหลี่ซูฮวา กัวกัวก็พุ่งกายเข้าหาเฟิ่งหยูทันที
"อ๊าส์!!!!!!!!"
มันฝังคมเขี้ยวลงบนใบหน้าของเฟิ่งหยูอย่างเต็มแรง ก่อนจะกัดกระชากฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเฟิ่งหยูจนขาดหลุดลุ่ย หลี่ซูฮวาที่ได้เห็นเช่นนั้นก็วางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะปรบมืออย่างชอบใจ
"ดีมาก เด็กดี กัวกัว กัดตรงนั้นสิ!!! ตรงแท่ง ๆ นั่นน่ะ!!!"
"อย่า!!! อย่า ซูฮวา ได้โปรด!!! อ๊าส์!!!"
กัวกัวใช้เขี้ยวแหลมคมกัดกระชากลำแท่งความเป็นชายของเฟิ่งหยูจนขาดสะบั้นหลุดออกมาทั้งลำ ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดเสียวไม่น้อย ก่อนจะคายมันลงตรงหน้าหลี่ซูฮวา กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง จนหลี่ซูฮวาต้องเปิดหน้าต่างออกเพื่อระบายกลิ่น
"กัวกัว เอามาให้ข้าทำไม!!! ข้าไม่เอา ทั้งเล็กทั้งสั้น!!!"
เฟิ่งหยูในยามนี้ถูกกัวกัวจัดการเสียจนสะบักสะบอม เขาต้องเสียแขนไปหนึ่งข้างจากการถูกสุนัขล่าเนื้อตัวนี้ฉีกทึ้งร่างอย่างอำมหิต
นี่มันนังปีศาจ!!!
หลี่ซูฮวาเดินเข้ามาใกล้ ๆ เฟิ่งหยู ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างเย็นชา เฟิ่งหยูหวาดกลัวจนตัวสั่น ยามนี้เขามองนางเหมือนภูตผีร้ายอย่างไรอย่างนั้น
"อย่า อย่าทำข้า ข้ากลัวแล้ว!!!"
"เอาเถิด ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก เจ้าอย่ากลัวไปเลย อีกครู่ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่เรือนใหญ่ เจ้าเพียงอย่ามายุ่งกับข้าอีก จำเอาไว้ คนที่คิดทำร้ายข้า ข้าไม่เคยปล่อยให้มันรอดสักราย!!!"
เฟิ่งหยูพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ยามนี้เลือดในกายของเขาแทบจะหมดสิ้นแล้ว เขาไม่เอาแล้ว เขาไม่อยากได้นางเป็นภรรยาแล้ว!!!
หลี่ซูฮวาหันไปมองกัวกัว ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะมันอย่างเอ็นดู นับว่ามันยอมเชื่อฟังนางอย่างมาก แม้จะดุร้าย แต่หากนางสั่งให้มันหยุด มันก็ยอมหยุดแต่โดยดี ราวกับว่ามันเคยผ่านการถูกอบรมสั่งสอนมาก่อนหน้านี้
กัวกัวเองก็มองหลี่ซูฮวาเช่นกัน มันส่ายหางพลางส่งเสียงครางหงิง ๆ ออดอ้อนนาง นับแต่ที่นางช่วยชีวิตมัน มันก็รู้ได้ทันทีว่ามันจะต้องภักดีต่อนาง
บุตรชายคนแรกของจ้าวเฉินอวี้และหลี่ซูฮวามีนามว่า จ้าวเยียน ยามนี้อายุก็ร่วมหนึ่งขวบปีแล้ว กำลังเป็นวัยน่ารักน่าชังและเป็นที่รักของคนในจวนตระกูลจ้าวและตระกูลหลี่เป็นอย่างยิ่ง ท่านพ่อของหลี่ซูฮวาเสียชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง ยามนี้จึงเหลือเพียงท่านปู่หลี่กวงเว่ยที่อาศัยอยู่ในจวนตระกูลหลี่เพียงลำพัง ในทุก ๆ เจ็ดวันหลี่ซูฮวาจะพาบุตรชายกลับไปพักที่จวนตระกูลหลี่ถึงสี่วันและจะกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวสามวัน อย่างไรเสียท่านปู่ของนางก็อยู่เพียงลำพัง นางเองก็เป็นห่วงท่านปู่อย่างมาก หลี่กวงเว่ยรักใคร่เอ็นดูจ้าวเยียนเป็นอย่างมาก สมบัติแทบจะทุกชิ้นในตระกูลหลี่เขาย่อมยกให้เป็นของจ้าวเยียนเกือบทั้งจวน ด้านจ้าวเฉียนเว่ยเองก็ล้มป่วยลงด้วยโรคลำแท่งอักเสบ เพราะใช้งานหนักเกินไปจ้าวเฉินอวี้ทำความดีความชอบในงานราชการมากมายจนฮ่องเต้ทรงวางพระทัยและไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์เขาให้เป็นถึงท่านโหว มีฐานะมั่นคงเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนในแวดวงชนชั้นสูง หลี่ซูฮวาก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งฮูหยินเก้ามิ่งขั้นหนึ่งชั้นเอกจากฮ่องเต้ ด้วยนางทำความดีความชอบช่วยจ้าวเฉินอวี้ออกปราบปรามเหล่าโจรผู้ร้ายอ
ยามนี้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวยิ่งนัก หลี่ซูฮวาพากัวกัวมาเดินเล่นที่ริมสระบัวเพราะอากาศในห้องนอนช่างร้อนเสียจนนางทนไม่ไหว อีกทั้งยามนี้นางก็ตั้งครรภ์ได้ร่วมสามเดือนแล้ว ร่างกายจึงค่อนข้างร้อนง่ายขึ้นกว่าเดิม "ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่ให้นำแตงโมมาให้เจ้าค่ะ บอกว่าช่วยคลายร้อนได้ดีเจ้าค่ะ""อืม"หลี่ซูฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะยื่นมือไปหยิบแตงโมมากัดชิมชิ้นหนึ่ง รสชาติของมันหวานละมุนลิ้นยิ่งนัก นางจึงหยิบมากัดกินอีกชิ้นอย่างอารมณ์ดี ยามนี้จ้าวเฉินอวี้ไปตรวจงานที่นอกเมืองหลวง เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นท่านแม่ทัพแล้ว ด้านหลี่ชิงเยียนน้องสาวต่างมารดาของนางนั้น ได้ยินมาว่าล้มป่วยกะทันหันจนตรอมใจตาย แต่บางคนก็ร่ำลือไปว่านางถูกพระชายารองคนโปรดของท่านอ๋องทรมานจนตาย เสิ่นเทียนเหยาหายจากอาการโรคประหลาดอย่างน่าแปลกใจ เขาบอกว่าหลังจากถูกนางใช้เท้าเตะเข้ามาที่หว่างขาวันนั้น มันก็กลับมาใช้งานได้อย่างน่าแปลกใจ หมอหลวงบอกว่าเป็นเพราะเส้นเอ็นภายในเข้าที่แล้ว จึงกลับมาแข็งแรงเช่นบุรุษทั่วไป อีกทั้งเขายังแต่งตั้งพระชายารองหลันบุตรสาวท่านราชเลขา ขึ้นเป็นพระชายาเอกแทนที่ห
หลี่ซูฮวาเล่าเรื่องที่นางถูกลอบวางยาพิษให้จ้าวเฉินอวี้ฟัง เขาที่ได้ยินเช่นนั้นก็กัดฟันกรอด อยากจะไปฆ่าเสี่ยวฟางเสียเดี๋ยวนั้น แต่โชคดีที่หลี่ซูฮวายับยั้งเขาได้เสียก่อน "ใจเย็น ๆ เถิด ข้ายังไม่ทันได้ดื่มยาพิษถ้วยนั้นเลยนะเจ้าคะ""หากเจ้าเป็นอันใดไป ข้าสัญญาจะตัดหัวนางมาล้างหลุมศพเจ้า!!!""ท่านคิดว่าข้าจะตายง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ?""ข้ารักเจ้านะซูฮวา""ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็ส่งชายผู้นั้นมาให้ข้า""เจ้าจะให้เขาทำสิ่งใด?""ทำเช่นเดียวกับที่ทำกับแม่เลี้ยงของข้าอย่างไรเล่า?"หลี่ซูฮวายิ้มเจ้าเล่ห์ หึ!!! อยู่ดีไม่ว่าดี รนหาที่ชัด ๆจ้าวเฉินอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยทัดทานนางเลยแม้สักครึ่งคำ อย่างไรเสีย คนที่มันวางแผนชั่วคิดจะทำร้ายภรรยาของเขา ย่อมสมควรตาย!!! อีกทั้งคนที่เขาส่งไปจัดการแม่เลี้ยงของหลี่ซูฮวาคราก่อนก็กำลังร้อนใจอยากได้ตั๋วเงินไว้ใช้จ่ายพอดี เขาจึงตัดสินใจให้คนส่งจดหมายไปแจ้งให้ชายผู้นั้นเดินทางเข้าเมืองหลวงมาในทันทีวันเวลาล่วงเลยจนถึงวันที่เสี่ยวฟางจะได้เข้ามาเป็นฮูหยินรองเสี่ยวในเรือนของหลี่ซูฮวา แม้จะไม่สามารถจัดพิธีแต่งงานได้อย่างใหญ่โตเช่นภรรยาเอก แต่นางก
ด้านเสี่ยวฟางนั้นก็กลับมาที่เรือนของฮูหยินรองอย่างอารมณ์ดี ยามนี้นางทำสำเร็จแล้ว นางกำลังจะได้เป็นภรรยาอีกคนของจ้าวเฉินอวี้ หึ!!! วันนั้นมาถึงเมื่อใด นางจะจัดการหลี่ซูฮวาออกไปจากจวนตระกูลจ้าวเสีย เมื่อนางกลับมาถึงเรือนก็พบกับบ่าวรับใช้ที่กำลังวิ่งวุ่นกันไปมาอยู่ในห้องของท่านป้านาง ใจของเสี่ยวฟางหล่นวูบอย่างแปลกประหลาด นางรีบวิ่งเข้าไปถามสาวรับใช้ในเรือนทันที "เกิดสิ่งใดขึ้น ท่านป้าเล่า!!!" "คุณหนู ฮูหยินรองอาการหนักแล้วเจ้าค่ะ!!!"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวฟางก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนทันที ภาพตรงหน้าคือฮูหยินรองเสี่ยวท่านป้าของนาง กำลังชักเกร็ง มือเท้าหงิกงอ ดวงตาเบิกกว้างเหลือกขึ้นจนขาวโพลน อีกทั้งยังกระอักเลือดออกมาคำโตอีกด้วย "ท่านป้า!!!""อั๊ก!!!"ฮูหยินรองเสี่ยวกระอักเลือดออกมาอีกครา ก่อนที่ร่างของนางจะแน่นิ่งไป ดวงตาเบิกกว้างอย่างทุกข์ทรมาน เสี่ยวฟางยื่นมือไปที่จมูกของฮูหยินรองเสี่ยว ก่อนจะต้องตกใจสุดขีด "ท่านป้า!!! ฮืออออ!!!"ฮูหยินรองเสี่ยวขาดใจตายอย่างน่าอนาถ แม้แต่หมอก็ยังตรวจหาสาเหตุอาการของนางไม่พบ บอกเพียงเป็นโรคที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เมื่อร่างกายของนางอ่อนแอลง โรคนี้จึ
แท้จริงแล้วโจรป่าผู้นี้มีนามว่า เฉียนเป้า มันเป็นหัวหน้าโจรป่า อาศัยช่วงเวลาที่ท่านอ๋องเสิ่นหยวนไปสวดมนต์ภาวนาที่วัดลอบจับตัวเขาไป และกรอกยาพิษสลายกระดูกให้เขากิน จนเขาตกตายร่างกายสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน หลังจากนั้นมันก็สวมรอยเป็นท่านอ๋อง นำคนมาทดลองสูตรยาพิษที่มันปรุงขึ้นมาเองกับมือ ชาวบ้านต่างหวาดกลัวไม่น้อยแต่ไม่กล้าปริปากพูดความจริง นานวันเข้าแคว้นไท่ชิงก็แห้งแล้งเพราะสารพิษมากมายที่ถูกนำมาทิ้ง เฉียนเป้าเองก็ปล่อยให้โจรป่าลงเขามาปล้นชิงฉุดคร่าชาวบ้านอย่างไร้ความปรานี โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าเขาเป็นท่านอ๋องตัวปลอม ฮ่องเต้เสิ่นจิ้งเฉิงเดินทางมาถึงแคว้นไท่ชิงในอีกสิบวันให้หลัง เขารู้สึกคับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกสงสารพี่ชายของตนยิ่งนัก เดิมทีพี่ใหญ่ของเขาเป็นคนดีมาโดยตลอด มิเคยคิดแย่งชิงบัลลังก์กับเขาเลยสักครั้ง แต่เหตุใดพี่ใหญ่จึงต้องมีชะตาชีวิตเช่นนี้ด้วยเล่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงสั่งให้ทหารแล่เนื้อของเฉียนเป้าทั้งเป็น และกรอกยาพิษสลายกระดูกให้มันกินทีละน้อย เพื่อให้ส่วนต่าง ๆ ในร่างกายค่อย ๆ สลายไปอย่างทรมาน หลี่ซูฮวามองภาพตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก ฮ่องเต้เสิ่
จ้าวเฉินอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบหันไปมองเสิ่นเทียนเหยาทันที เห็นว่าตรงช่วงแขนของเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ร่างกายส่วนอื่นก็ไร้ร่องรอยของการถูกพิษ คาดว่าเขาคงจะไม่ได้ถูกพิษในสุรานั้น จึงรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก เสิ่นเทียนเหยากวาดสายตามองไปโดยรอบก่อนจะพบกับหลี่ซูฮวา เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะชักกระบี่ขึ้นมาหมายจะพุ่งแทงใส่นางให้ตายทันที "นางเป็นนักฆ่า!!!"จ้าวเฉินอวี้ที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบยับยั้งเสิ่นเทียนเหยาทันที หลี่ซูฮวาเบ้ปากมองเสิ่นเทียนเหยาอย่างดูแคลน ก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออก เมื่อเสิ่นเทียนเหยาเห็นว่าเป็นนางก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง "ซูฮวา""รีบหนีก่อนเถิดเจ้าค่ะ คนของท่านอ๋องบุกมาแล้ว"หลี่ซูฮวาคร้านจะเอ่ยสิ่งใดกับเขาให้มากความ ก่อนจะรีบจับมือของจ้าวเฉินอวี้เอาไว้และพากันพุ่งทะยานออกไปจากตำหนักทันที เสิ่นเทียนเหยาบอกว่าเสิ่นหยวนให้คนนำสุรามามอบให้แก่เขา เขายังมิทันดื่มก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นที่แปลกประหลาด มันเป็นสุราที่มีกลิ่นหอมผิดจากสุราทั่วไป เขาไม่เคยได้กลิ่นสุราที่หอมแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน เมื่อเขาไม่ยอมดื่ม สาวใช้นางนั้นก็ชักกระบี่ยาวพุ่งตรงเข้ามาหาเขาทันที เขาต่อสู้กับนางครู่หนึ่งจ
จ้าวเฉินอวี้คร้านจะใส่ใจเสิ่นเทียนเหยาแล้ว อย่างไรเสียเขายังต้องทำหน้าที่ที่ฝ่าบาททรงรับสั่งมาให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อคิดได้เช่นนั้น จ้าวเฉินอวี้ก็กวาดสายตามองไปโดยรอบ ภูเขาบนแคว้นไท่ชิงค่อนข้างแห้งแล้งเป็นอย่างยิ่งทั้งที่แต่ก่อนอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก มันแห้งแล้งเสียจนต้นไม้แทบจะยืนต้นตายจนหมด แต่น่าแปลกที่โจรป่ากลับลอบเร้นแฝงกายอยู่บนเขาแห่งนี้ได้ และยังรอดพ้นจากสายตาของเขาได้เป็นอย่างดี เสิ่นเทียนเหยาเองก็ตามจ้าวเฉินอวี้มาเช่นกัน เขากวาดสายตามองไปโดยรอบพลางขมวดคิ้วมุ่น "พวกมันแฝงกายอยู่ในป่าเช่นนี้จริง ๆ หรือ แห้งแล้งเช่นนี้ ไม่น่าจะมีชีวิตรอดได้เลยด้วยซ้ำ"จ้าวเฉินอวี้หันไปสบตากับเสิ่นเทียนเหยาคราหนึ่ง "นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามันค่อนข้างผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง""หรือว่าแท้จริงแล้วพวกมันจะไม่ได้อยู่บนภูเขาแห่งนี้"เสิ่นเทียนเหยาเอ่ยพลางกระชับกระบี่ที่ถือเอาไว้ในมือแน่นขึ้นไปอีก ก่อนจะเอ่ยกับจ้าวเฉินอวี้อีกครา "กลับกันก่อนเถิด ฟ้าใกล้จะมืดเต็มทีแล้ว""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"จ้าวเฉินอวี้รับคำ ก่อนจะกระโดดขึ้นบนหลังม้ามุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักของท่านอ๋องเสิ่นหยวนทันที เสิ่นหยวนที่เห็
จ้าวเฉินอวี้กลับมาที่จวนตระกูลจ้าวด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งนัก เขารู้สึกว่าจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาคาดไม่ถึงเป็นแน่ เหตุใดโจรภูเขาจากแคว้นไท่ชิงจึงกล้ามาเหยียบแผ่นดินต้าเฉวียนได้อย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ แคว้นไท่ชิงเองแม้จะเป็นแคว้นที่ไม่กว้างใหญ่เท่าใดนัก แต่ท่านอ๋องแห่งแคว้นไท่ชิง นามว่า เสิ่นหยวน ก็เป็นพี่ชายต่างมารดากับฮ่องเต้เสิ่นจิ้งเฉิง และเป็นท่านอ๋องที่ขึ้นชื่อว่าปกครองไท่ชิงได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และยังจับตาดูเหล่าโจรพวกนั้นไม่คลาดสายตา เป็นไปได้หรือที่ท่านอ๋องจะไม่ทรงทราบว่าพวกมันลักลอบเข้ามายังต้าเฉวียนเช่นนี้ จ้าวเฉินอวี้คิดเท่าใดก็คิดไม่ตก เขาจึงไม่คิดสิ่งใดอีก ในใจยังคงคาดหวังว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดมากไปเองเท่านั้น เขาเดินกลับเข้ามาในเรือนนอน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้าหลี่ซูฮวาที่เห็นว่าจ้าวเฉินอวี้มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าใดนัก จึงเดินเข้าไปหาเขา พร้อมกับยื่นมือไปบีบนวดต้นคอให้เขาอย่างใส่ใจ ทำให้จ้าวเฉินอวี้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย "ภรรยาข้าช่างใส่ใจยิ่งนัก""ท่านเหนื่อยมากหรือไม่? มีสิ่งใดเร่งด่วนจึงต้องเร่งรีบเข้าวังหลวงเช่นนี้?"จ้าวเ
หลี่ซูฮวาตื่นขึ้นมาในยามเช้า นางรู้สึกราวกับว่าร่างทั้งร่างแทบจะแหลกสลายเสียให้ได้ นึกโกรธเคืองจ้าวเฉินอวี้ที่ทารุณนางจนแทบไม่ได้นอนทั้งคืนเช่นนี้ "ตื่นแล้วหรือ รีบมากินโจ๊กเสียหน่อยเถิด"หลี่ซูฮวาหันไปมองจ้าวเฉินอวี้ที่กำลังถือถ้วยโจ๊กมาวางไว้บนโต๊ะ ดวงตาคมจ้องมองนางด้วยความรักใคร่ หลี่ซูฮวาคร้านจะใส่ใจเขาให้มากความ จึงลุกจากเตียงไปนั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะมองถ้วยโจ๊กตรงหน้าเล็กน้อย "ท่านทำเองหรือ?""ใช่แล้ว เจ้าลองกินดูเถิด ข้าต้มเองกับมือ ใส่ใจทุกการกระทำในแต่ละขั้นตอน""มิน่าเชื่อว่าท่านจะทำเรื่องพวกนี้เป็นด้วย""เพื่อเจ้า ข้าทำได้ทุกอย่าง"จ้าวเฉินอวี้เอ่ยพลางจ้องมองนางที่กำลังลองลิ้มชิมรสโจ๊กฝีมือของเขา หลี่ซูฮวาตักโจ๊กในถ้วยขึ้นมากินคำหนึ่ง ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ รสชาติไม่เลว อีกทั้งรสชาติก็นุ่มละมุนลิ้นยิ่งนัก "รสชาติดี""ข้าดีใจที่เจ้าชอบ"จ้าวเฉินอวี้ยิ้มตาหยี หลี่ซูฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่าจิตใจสั่นไหวไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มของเขาช่างเหมือนกับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในหัวใจของนาง มันทั้งอบอุ่นเหนือสิ่งอื่นใด "ข้าสั่งให้คนเตรียมรถม้าพร้อมแล้ว หากเจ้าตระเตรียม