“ไม่เอาน่าลูกรัก อย่าขัดใจแม่แบบนี้สิ แต่งตอนนี้ หรือว่าแต่งตอนไหนมันก็ต้องแต่งเหมือนกันนั่นแหละลูก เชื่อแม่เถอะ แต่งๆ ไปซะ แม่จะได้สบายใจ”
“คุณแม่สบายใจ แต่ผมทุกข์ใจนะครับ”
“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องทุกข์ใจเลยนี่พ่ออเล็ก หนูเจนทั้งสวย ทั้งน่ารัก ลูกน่ะเป็นผู้ชายที่โชคดีมากเลยรู้ไหม”
“แต่ผมไม่ได้รักเธอครับ”
“อยู่ๆ กันไปก็รักกันเองนั่นแหละน่า เชื่อแม่เถอะนะ”
อเล็กซิสกระแทกลมออกจากปากแรงๆ อย่างหงุดหงิด มือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากหลายครั้ง
“โอเค ผมแต่งเลยก็ได้ครับ แต่ถ้าคนดีของคุณแม่ไม่ได้ซิงเหมือนราคาคุย ผมจะหย่าทันที”
เจสสิก้าหัวเราะร่วน “แหม เอาเรื่องนี้มาต่อรองกับแม่เชียวนะพ่ออเล็ก ไหนว่าไม่สนใจพรหมจรรย์ของผู้หญิงไงล่ะลูก”
“ผมไม่ได้ไยดีเยื่อนรกพวกนั้นหรอกครับ แต่คุณแม่คุยเองไม่ใช่เหรอครับว่าน้องเจนเรียบร้อยอย่างนั้นเรียบร้อยอย่างนี้ แถมยังอ่อนต่อโลกอีก ก็คอยดูกันสิว่าจะซิงอย่างที่คุณแม่โม้เอาไว้หรือเปล่า”
“ลูกไม่มีวันได้หย่าจากหนูเจนหรอกจ้ะลูกรัก เพราะหนูเจนของแม่บริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าน้ำค้างกลางหาวเสียอีก”
เจสสิก้าหัวเราะชอบใจ ส่วนอเล็กซิสนั่งหน้าหงิกด้วยความหงุดหงิด แต่อีกคนที่แอบฟังอยู่ด้านนอกกลับกำลังเต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“ถ้าพี่อเล็กรู้ว่าเราไม่ซิง พี่อเล็กก็จะหย่ากับเรา นี่จะทำยังไงดีนะ บ้าชะมัด!”
เจนจิรากำมือแน่น หน้าตาเคร่งเครียด ก่อนจะรีบวิ่งไปปรึกษาปิยนุชด้วยความร้อนใจ
“คุณแม่”
ปิยนุชที่ปลีกตัวออกมาเข้าห้องน้ำเห็นลูกสาววิ่งกระหืดกระหอบมาหาก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้
“หน้าตาตื่นมาเชียว มีอะไรเหรอน้องเจน”
“คุณแม่... แย่แล้วค่ะ แย่แล้ว...”
“แย่อะไรเหรอ มีเรื่องอะไร หรือว่านังเตยมันแอบเข้าใกล้พ่ออเล็กอีกใช่ไหม”
“เรื่องนั้นมันเรื่องเล็กค่ะคุณแม่ แต่เรื่องที่ใหญ่โตและเราต้องหาทางออกมันคือเรื่องนี้ค่ะ” เจนจิราหน้าตาเครียดจัด
“เรื่องอะไรเหรอน้องเจน”
“ก็เรื่องที่เจนไม่ซิงยังไงล่ะคะ”
“อ้าว แล้วมันใหญ่ตรงไหน น้องเจนก็ไม่ซิงมาตั้งแต่ประถมแล้วไม่ใช่เหรอ”
เจนจิรามองหน้ามารดา ก่อนจะเล่าทุกอย่างที่ได้ยินให้ท่านฟัง ซึ่งพอปิยนุชได้ยินแล้วก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที
“คุณแม่ต้องช่วยเจนนะคะ เจนไม่ต้องการหย่ากับพี่อเล็ก เจนรักพี่อเล็กค่ะ”
“ใจเย็นๆ น้องเจน...”
“เจนจะใจเย็นได้ยังไงกันล่ะคะ ในเมื่อหายนะกำลังใกล้เข้ามาหาเจนแล้วน่ะ” เจนจิราโวยวายไร้สติ
“มันต้องมีทางออก เชื่อแม่นะ แม่จะพยายามคิด ส่วนตอนนี้เราต้องสงบสติอารมณ์ และเข้าไปหาคุณป้ากับพ่ออเล็กก่อน แล้วอย่าแสดงพิรุธให้สองคนนั้นเห็นล่ะ เข้าใจไหมน้องเจน”
“ค่ะ คุณแม่”
ปิยนุชกุมมือลูกสาวเอาไว้ ก่อนจะพาเดินกลับไปยังห้องโถงอีกครั้ง
“คุณจะต้องช่วยฉันคิดหาทางออกนะคะคุณเกรียง”
ปิยนุชพูดเสียงดังขึ้นทันที เมื่อเห็นเกรียงไกรเดินออกมาจากห้องน้ำ
เกรียงไกรกระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย
ปิยนุชเห็นหน้าสามีก็อดที่จะตวาดลั่นไม่ได้ “ทำไมคุณต้องทำหน้ายุ่งด้วย นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับน้องเจนเลยนะคะ หรือว่าคุณไม่รักลูก”
เกรียงไกรใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาทรุดตัวนั่งบนเตียง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ที่ไม่เคยสลัดออกได้เลย คงเป็นเพราะสุดายังไม่อโหสิกรรมให้เขานั่นเอง
“แล้วผมจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อคุณเลี้ยงน้องเจนให้ทำตัวแบบนั้นเอง”
“นี่คุณโทษฉันเหรอคะคุณเกรียง!”
“หรือว่าไม่จริงล่ะ คุณตามใจน้องเจน จนน้องเจนเสียคน มีผัวตั้งแต่ประจำเดือนยังไม่มาด้วยซ้ำ ดังนั้นคุณอย่ามาบังคับให้ผมช่วยเหลืออะไรเลย เพราะผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”
ปิยนุชกระโดดลงไปยืนบนพื้น เท้าสะเอว และจ้องหน้าสามีด้วยท่าทางไม่ต่างจากนางยักษ์ขมูขี
“ก็ใครจะไปบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนลูกรักของคุณกันล่ะ”
“อย่าเอาเตยหอมมาเกี่ยวข้อง”
“แตะต้องไม่ได้เลยนะ อีลูกเมียคนใช้เนี่ย” ปิยนุชโวยวาย และก็แค้นเคืองเตยหอมมากขึ้น
“คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยหยิบยื่นความเป็นพ่อให้กับเตยหอมเลย ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้” เกรียงไกรรู้สึกผิดบาปยิ่งนัก “ผมทำตามใจคุณทุกอย่าง แล้วคุณจะยังต้องการให้ผมทำอะไรอีก หรือว่านี่ยังไม่พอใจคุณ หึ... คุณนุช!”
“นี่คุณอย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ คุณเกรียง!”
เกรียงไกรหันหน้าหนีอย่างรำคาญ นี่มันเวรกรรมอะไรของเขากันนะ
“อย่าหันหน้าหนีฉันเด็ดขาด คุณต้องฟังฉันพูดให้จบ หันมาเดี๋ยวนี้คุณเกรียงไกร!”
ปิยนุชกระชากหน้าของเกรียงไกรให้หันกลับมาหา ก่อนจะตวาดลั่นอย่างไร้ความเคารพ
“คุณจะต้องช่วยฉันคิดว่าจะทำยังไงดี น้องเจนถึงจะไม่ถูกคุณอเล็กเท”
“ผมคิดไม่ออก”
“แต่คุณต้องช่วยฉันคิด ไม่อย่างนั้นเราเห็นดีกันแน่”
เกรียงไกรอยากหนีไปให้พ้นๆ จากบ้านหลังนี้นัก เพราะยิ่งอยู่ก็ยิ่งมีแต่ความทุกข์ใจ ไม่มีความสุขเลย แถมยิ่งนานวันเข้าเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดกับเตยหอมเหลือเกิน
เขารับปากกับสุดาเอาไว้ว่าจะดูแลเตยหอมให้ดี แต่เขากลับปล่อยให้ปิยนุชกับเจนจิรากดขี่ข่มเหงเตยหอมราวกับทาสในเรือนเบี้ย แถมยังไม่เคยหยิบยื่นน้ำใจให้แม้แต่ครั้งเดียว
เขานี่มันเป็นพ่อที่เลวจริงๆ
ดวงตาของเกรียงไกรแดงก่ำเต็มไปด้วยความละอายใจ เขาเดินหนีไปหยุดนิ่งที่หน้าต่างห้อง ดันบานหน้าต่างให้เปิดออก และจ้องมองออกไป
ปิยนุชเดินตามมาหยุดด้านหลัง และก็ยังไม่คิดจะหยุดระรานเลยแม้แต่น้อย
“ที่เงียบอยู่นี่ กำลังหาทางช่วยน้องเจนอยู่ใช่ไหมคุณเกรียง”
“ผมคิดไม่ออก ผมไม่รู้จะไปทำยังไงให้น้องเจนกลับมาเป็นสาวพรหมจรรย์ได้”
“แต่เราต้องทำ และต้องทำให้ได้ด้วย เพื่อความสุขของน้องเจน”
“ก็ใครใช้ให้คุณไปคุยโวเอาไว้แบบนั้นล่ะ ทั้งๆ ที่มันใช่เรื่องจริงแม้แต่เสี้ยวเดียว”
“ถ้าฉันไม่พูดแบบนั้น น้องเจนจะดูดี ดูงามพร้อมในสายตาของเจสสิก้าไหมล่ะ” ปิยนุชยังเถียงไม่ยอมแพ้ ขณะเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด
“ฉันจะต้องทำยังไงนะ จะต้องหาวิธียังไงดี”
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้น พร้อมกับเสียงของเตยหอมที่ดังกังวาน
“เอ่อ... คุณท่านค่ะ เตยมาขออนุญาตออกไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลนะคะ”
เกรียงไกรหันขวับมองไปที่ประตูห้อง และรีบเดินไปดึงบานประตูเปิดออก ปิยนุชมองสองพ่อลูกคุยกัน และความคิดบางอย่างก็แวบขึ้นมาในสมอง
“ทำไมต้องออกไปดึกๆ ดื่นๆ ด้วยล่ะ” เกรียงไกรถามลูกสาว น้ำเสียงมีความเป็นห่วง จนเตยหอมอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“พอดีเพื่อนเตย... เอ่อ... ประสบอุบัติเหตุน่ะค่ะ เตยเพิ่งรู้ข่าวเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
“แล้วเพื่อนเป็นอะไรเยอะหรือเปล่าล่ะ”
“เตยยังไม่ทราบเลยค่ะ”
“งั้นให้นายกอบขับรถไปส่งก็แล้วกัน”
แววตาของเกรียงไกรที่มองมานั้นต่างไปจากทุกครั้งจนเตยหอมน้ำตาคลอ เพราะพ่อไม่เคยมองหล่อนด้วยสายตาเป็นห่วงแบบนี้มาก่อนเลย
“ขอบคุณค่ะ แต่... เตยไม่อยากรบกวน...”
“ไม่รบกวนหรอก ค่ำๆ มืดๆ ออกไปคนเดียวมันไม่ปลอดภัย แล้วก็รีบกลับด้วยล่ะ พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”
พ่อเป็นห่วงหล่อน...
“ขอบคุณมากค่ะ” หล่อนยกมือไหว้ น้ำใสๆ ที่เอ่อล้นอยู่ขอบตาไหลออกมาอาบแก้ม
เกรียงไกรยกมือขึ้น ตั้งใจจะลูบศีรษะของเตยหอม แต่ปิยนุชก้าวเข้ามาหยุดใกล้ๆ เสียก่อน
“ให้นายกอบไปส่งน่ะดีแล้ว”
ไม่ใช่แค่เตยหอมคนเดียวหรอกที่รู้สึกแปลกใจกับความใจดีของปิยนุช แต่เกรียงไกรเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขาหันมองหน้าภรรยา และก็พบความเจ้าเล่ห์ร้ายเกลื่อนดวงตา เขาใจคอไม่ดีเลย เพราะเป็นห่วงเตยหอม
“แต่เตยไม่อยากรบกวนค่ะคุณผู้หญิง”
“อย่ามาเรื่องมาก ให้นายกอบไปส่ง หรือไม่ก็ไม่ต้องออกไปเลย เลือกเอา”
เตยหอมไม่มีทางเลือก จำต้องตอบรับด้วยการยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณคุณผู้หญิงค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
“ค่ะ”
เกรียงไกรมองตามร่างของลูกสาวที่ตัวเองไม่เคยให้ความรักไปจนลับสายตา ก่อนจะดึงบานประตูห้องปิดลง และเอ่ยถามปิยนุชอย่างรู้ทัน
“คุณกำลังคิดจะทำอะไร คุณนุช”
“ทำไมถามฉันแบบนี้ละคะ”
ปิยนุชยิ้มพึงพอใจ เดินกลับไปนั่งบนขอบเตียง เกรียงไกรเดินตามมาหยุดตรงหน้า
“คุณไม่ใช่คนใจดีแบบเมื่อกี้นี้หรอก”
ปิยนุชหัวเราะร่วน “แหม ไม่เสียแรงที่อยู่กันมาไม่รู้กี่สิบปีนะคะเนี่ย”
“บอกผมมา คุณกำลังจะทำอะไร”
“ฉันก็แค่คิดหาทางออกให้กับเรื่องของน้องเจนได้แล้วก็เท่านั้นเองค่ะ”
เกรียงไกรใจคอไม่ดีเลย เขาภาวนาให้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเตยหอม
“อย่าเอาเตยหอมเข้าไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด”
“แหม ตายจริง คุณพูดนี่เหมือนมานั่งอยู่ในใจของฉันเลยนะคะ”
“คุณนุช!”
ปิยนุชจ้องหน้าสามีและยิ้มเลือดเย็น “นังเตยมันคือหมากสำคัญของแผนนี้ค่ะ”
หลายปีต่อมา... สี่หนุ่มเพื่อนซี้ก็สามารถหาเวลาว่างตรงกันและนัดมาสังสรรค์กันได้ในที่สุดอเล็กซิสยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ขณะทอดสายตามองไปยังทุ่งกว้างที่บรรดาเด็กน้อยวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน โดยมีสาวๆ ซึ่งเป็นภรรยาของพวกเขาทั้งสี่คนปูเสื่อนั่งคุยกันอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เด็กๆ วิ่งเล่นอยู่เขาไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย การมีครอบครัวคือสิ่งที่เขาไม่เคยปรารถนามาก่อน แต่หลังจากที่เตยหอมเข้ามาในชีวิต เขาก็ได้รู้จักกับความสุขที่แท้จริง...ความสุขที่เงินมากเท่าไรก็ซื้อหาไม่ได้...“ในท้องเมียนายกี่คนวะ เห็นท้องใหญ่ๆ” แม็กซิมัสเอ่ยถามอเล็กซิส ซึ่งเป็นหนุ่มหล่อคนสุดท้ายที่เพิ่งได้แต่งเมีย“แฝดสามว่ะ” อเล็กซิสยืดอกตอบอย่างภาคภูมิใจ “น้ำยาฉันมันแรง เห็นไหมล่ะ”เสียงหัวเราะของอีกสามหนุ่มดังกระหึ่ม ก่อนจะรีบเกทับกันยกใหญ่“แค่แฝดสามทำมาคุยไอ้อเล็ก ฉันนี่ลูกหกคนแล้วโว้ย ยังไม่เห็นคุยเลย ถึงจะไม่ใช่แฝดก็ตาม” เคลวินยืดอกบ้างด้วยความภูมิใจในเชื้อพันธุ์ของตนเองไม่ต่างกัน“ให้มันน้อยๆ หน่อยน่ะพวกแก” ชาร์ลีแย้งขึ้นพร้อมกับจิบเหล้า แต่ก็ทำให้เพื่อนอีกสามคนหันมาทับถมกันใหญ่โต“นายน่ะอ่อนสุดเลยรู้ไหมไอ้ชาร์ล พวกเร
Mackenzie, New Zealandสถานที่ตรงหน้ามันสวยเหลือเกิน สวยงามน่าอัศจรรย์จนหล่อนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย รู้แต่ว่ามันคือแดนสวรรค์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริงบนโลกรอยยิ้มละไมเปื้อนดวงหน้างามตลอดเวลา เมื่อนึกถึงภาพของทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาสูงใหญ่ และรอบๆ ก็มีดอกไม้สีสันสดใสประดับประดาอย่างลงตัวคล้ายกับดินแดนในเทพนิยายที่เคยหยิบยืมของเจนจิรามาอ่านตอนเด็กไม่มีผิด“ชอบไหมทูนหัว...”คนที่นอนหลับตาอยู่ก่อนหน้าขยับเปลือกตาลืมขึ้น และมองหน้าหล่อน ดวงตาของเขาระยิบระยับสวยแข่งกับดวงดาวบนท้องฟ้ากว้างเหลือเกินมือเล็กยกลูบแก้มสากที่มีตอหนวดขึ้นประปรายแผ่วเบา “ชอบมากค่ะ มันสวยเหลือเกิน...”คนตัวโตยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาดสะท้อนกับแสงของดวงดารานับหมื่นบนท้องฟ้า“ผมดีใจนะที่คุณชอบ...”“ขอบคุณมากนะคะที่พาเตยมาที่นี่ มันสวยมาก สวยเหมือนสวรรค์เลยค่ะ”คนที่นอนพักอยู่ลุกขึ้นนั่ง ยกมือใหญ่ขึ้นโอบประคองแก้มนวลของภรรยาเอาไว้ ก่อนจะจุมพิตกลีบปากอวบอิ่มนุ่มนวล จากนั้นก็กระซิบแผ่วเบา“แล้วที่นี่คุณชอบอะไรที่สุดล่ะ ทะเลสาบ ดอกลูพิน หรือว่าดวงดาวบนฟ้าในตอนนี้”หล่อนฉีกยิ้มกว้าง
และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความสุขคือสิ่งที่เตยหอมพบเจอเป็นประจำจนเคยชิน หล่อนไม่เคยพบประสบกับความทุกข์ใจใดๆ อีกเลย เมื่อมีอุ้งมือของอเล็กซิสคอยโอบประคอง จนหล่อนอดคิดไม่ได้ว่าตนเองคือผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก“อุ้ยยย...” หล่อนสะดุ้งตกใจเมื่อถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง แต่สัมผัสและกลิ่นหอมที่คุ้นเคยทำให้อมยิ้มกว้างในเวลาต่อมา อ้อมแขนที่แสนอบอุ่นนี้จะเป็นของใครไปได้ล่ะ นอกจาก...อเล็กซิส โอคอนเนอร์ สามีดีเด่นของหล่อนนั่นเอง...หล่อนหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับสามีสุดหล่อที่ตัวสูงใหญ่ มองจ้องตาสีฟ้าสวยของเขาด้วยความรักหมดหัวใจ“น้องปิ่นหลับแล้วเหรอคะ”“หลับแล้วครับทูนหัว...” คุณพ่อคนเก่งก้มลงจูบแก้มภรรยาอย่างแสนรัก จากนั้นก็เลยมาอ้อยอิ่งที่กลีบปากหวานราวกับหยาดน้ำผึ้งป่าของภรรยา “กว่าจะหลับได้ ผมหมดนิทานในสต็อกไปเกือบห้าเรื่องแน่ะ” เขาพูดและก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ดวงตากวาดมองหน้าหวานของเตยหอมตลอดเวลา“ตอนเด็ก คุณจ้อเก่งแบบน้องปิ่นหรือเปล่าเนี่ย”หล่อนหัวเราะร่วน “เปล่านะคะ ตอนเล็กๆ เตยไม่ค่อยจะพูดด้วยซ้ำไปค่ะ”“อ้าว งั้นก็คงเหมือนผมน่ะสิ” เขาหัวเราะก๊าก ซึ่งหล่อนเองก็อดที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้
“ที่แท้ก็อยากมีลูกเพิ่มใช่ไหมคะเนี่ย”เขาผงกศีรษะตอบรับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์น้อยๆ “ก็ฉันกลัวน้องปิ่นจะเหงา ก็เลยอยากมีน้องๆ ให้มาเป็นเพื่อนวิ่งเล่น ว่าแต่ตกลงไหมทูนหัว”เตยหอมยิ้มเอียงอาย ก่อนจะซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างอย่างแสนรัก“ค่ะ”“น่ารักจังทูนหัว”เสียงหัวเราะพึงพอใจของอเล็กซิสดังกระหึ่มขึ้น ก่อนที่มือใหญ่จะเริ่มต้นซุกซน“อุ้ยยย... จะทำอะไรเหรอคะ”“ก็เร่งมือทำน้องให้น้องปิ่นไงจ๊ะทูนหัว”“ตะ... ตอนนี้เลยเหรอคะ” มือของเขาซุกซนมาก สัมผัสลูบไล้ไปทั้งบั้นท้ายทำเอาหล่อนสยิวเสียวซ่าน“ไม่ทำตอนนี้จะทำตอนไหนล่ะทูนหัว...”“ก็... ตอนค่ำไงคะ” หล่อนอ้อมแอ้มตอบด้วยความขัดเขิน“รอไม่ไหวจ๊ะที่รัก... ได้โปรดขอตอนนี้เลย... นะ...”น้ำเสียงของอเล็กซิสทั้งกระเส่าทั้งแปร่งพร่า ทำเอาหล่อนไม่กล้าที่จะขัดใจเลย“ก็... ได้ค่ะ”กายสาวร้อนผะผ่าว เลือดในกายก็เดือดพล่าน ยิ่งอเล็กซิสมือไม่อยู่สุขแบบนี้ หล่อนก็ยิ่งร้อนฉ่าราวกับจับไข้สูง“ทูนหัว... อวบใหญ่ไปทั้งตัวเลย... อืมมม”มือใหญ่ทั้งขยำทั้งบีบเต้านมอย่างเมามัน ก่อนจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่หล่อนสวมอยู่จนกระเด็นหวือลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นห้อง ส่วนกายสาวก็ล่อนจ้อน
ในที่สุดช่วงเวลาที่น่าหวาดหวั่นก็เดินทางมาถึงจนได้ อเล็กซิสพาหล่อนกับปิ่นงามกลับมายังบ้านของเขา เพื่อที่จะได้พบเจอกับเจสสิก้ามารดาของเขานั่นเองเขาบอกกับหล่อนว่าได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้มารดาและบิดาฟังหมดแล้ว ซึ่งตอนนี้มารดาของเขาก็ต้องการที่จะพบหล่อนกับปิ่นงาม“มือเย็นเชียว ไม่มีอะไรหรอก เชื่อฉันสิ” คนตัวโตเอื้อมมือมากุมมือเล็กเอาไว้ และก็บีบให้กำลังใจ“ค่ะ... เตย... เชื่อคุณอเล็กค่ะ”อเล็กซิสระบายยิ้มหวาน เขาย่อตัวลงวางปิ่นงามให้ลงยืนกับพื้นห้อง เมื่อพาหล่อนกับลูกสาวเข้ามาในห้องรับแขกหรูแล้ว หล่อนเห็นเจสสิก้านั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว จับจ้องมองมาที่หล่อนและปิ่นงามไม่วางตาสมัยตอนที่หล่อนอยู่ที่บ้านของปิยนุช ก็มีโอกาสได้เจอะเจอกับเจสสิก้าหลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดมาก่อน“สวัสดีค่ะคุณเจสสิก้า”หล่อนยกมือไหว้สตรีสูงวัยที่ยังสวยไม่สร่างตรงหน้าด้วยความนอบน้อม ก่อนจะหันไปบอกลูกสาวให้ยกมือไหว้เช่นกัน ซึ่งปิ่นงามก็ทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย เรียกรอยยิ้มเอ็นดูของเจสสิก้าได้อย่างมากมายเลยทีเดียว“หลานย่า... มาให้ย่ากอดหน่อยลูก”ปิ่นงามมองหน้าหล่อนเล็กน้อยราวกับขอความเห็น และเมื่อหล่อนพยักหน้าอน
หลังจากที่หล่อนบอกความจริงกับยายฟองจันทร์และตาคำสาย ทั้งสองตายายก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นตกใจ ก่อนที่ยายฟองจันทร์จะพูดออกมา“ยายว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรในกอไผ่”“ทำไมแกพูดอย่างนั้นล่ะยายฟองจันทร์ หรือว่าแกเดาออกว่าคุณอเล็กกับหนูเตยเป็น...” ตาคำสายเอ่ยถามภรรยายังไม่ทันจบก็ถูกแทรกขึ้นเสียก่อน “ก็แกไม่เห็นสายตาที่คุณอเล็กมองหนูเตยในงานศพคุณเจนหรือไงล่ะ มองตาเชื่อมจนมดกัดแบบนั้น แล้วยังที่บุกมาถามวันเดือนปีเกิดของน้องปิ่นอีก”ตาคำสายผงกศีรษะรับหงึกๆ ก่อนจะหันไปถามอเล็กซิสที่ยืนอุ้มปิ่นงามเอาไว้ในอ้อมแขน“นี่ถ้าผมเป็นคุณอเล็กนะ ผมคงไม่ยอมปล่อยให้เมียหนีไปนานถึงสี่ปีหรอกครับ แค่สี่วันผมก็อกจะแตกตายอยู่แล้ว”อเล็กซิสอมยิ้ม ทอดสายตามองเตยหอมที่ยืนหน้าแดงระเรื่ออยู่ข้างกาย“ใครว่าผมยอมปล่อยกันล่ะครับ หนูเตยของคุณตาคุณยายหนีไปต่างหาก ผมตามหาแทบพลิกแผ่นดินก็ไม่เจอ จนเกือบถอดใจอยู่แล้วล่ะครับ”“ที่เตยหนีไปก็เพราะเตยจำเป็น คุณอเล็กก็รู้นี่คะ ยังมาว่าเตยอีก” สาวน้อยอ้อมแอ้มตัดพ้อสามีเสียงอ่อยอเล็กซิสมองภรรยาด้วยความเอ็นดูก่อนจะก้มหน้าลงมาจูบแก้มแดงๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย สองตายายเห็นเข้าก็อมยิ้มฟิ
“ใครว่าล่ะ เธอทั้งสวยทั้งหวานต่างหาก”“เตย...”“ฉันก็บอกเธอตลอดนี่ว่าเธอน่ะหอมหวานแค่ไหน ตอนที่เรา...”อเล็กซิสอมยิ้มและเว้นวรรคเอาไว้ แต่หล่อนก็เข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดีหล่อนเสหลบสายตาด้วยความเอียงอาย โดยมีคนตัวโตพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้า“ความจริง ฉันไม่ได้คิดจะบอกความในใจกับเธอตรงนี้หรอกนะ”“คะ?”“ฉันเตรียมสถานที่เอาไว้แล้ว แต่ก็พลาด บอกเธอออกมาเสียก่อน”มือเล็กไต่ไปมาอยู่บนหน้าอกกว้าง หัวใจของหล่อนพองฟูจนคับทรวงอก“เอาไว้บอกอีกครั้งก็ได้ค่ะ เตย... ชอบฟัง...”“ขี้โกงนี่นา”“ทำไมว่าเตยขี้โกงล่ะคะ” หล่อนช้อนตามองอเล็กซิส และก็อมยิ้มหวานฉ่ำ“ก็เธอให้ฉันบอกความในใจอยู่เดียว ส่วนเธอไม่พูดอะไรออกมาเลย”“เตย...”“ถึงแม้ว่าฉันจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงซะ เธอก็ต้องรักฉัน แต่ฉันก็อยากฟังเป็นคำพูดเหมือนกันนะ”หล่อนหัวเราะออกมา สองแก้มนวลร้อนผ่าวด้วยความขัดเขินเอียงอาย“ใครว่าเตยรักคุณอเล็กกันล่ะคะ” หล่อนแสร้งดิ้นขลุกขลัก จะหนีออกจากอ้อมแขนกำยำ แต่อเล็กซิสไม่ยอมปล่อย“ก็ฉันหล่อขนาดนี้ เธอไม่รักก็บ้าไปแล้วล่ะ”“แหวะ คนหลงตัวเอง อุ๊ยยย...” หล่อนย่นจมูกใส่เขา และก็ถูกจูบปากเป็นการลงโทษทันควัน“แล้วสร
บ้าจริง เมื่อคืนหล่อนยอมให้อเล็กซิสทำแบบนั้นที่ผนังห้องได้ยังไงกันนะ!เตยหอมเต็มไปด้วยความรู้สึกอับอาย เมื่อมองไปยังผนังห้องพักที่เมื่อคืนตนเองกับอเล็กซิสใช้เป็นที่ระเบิดความใคร่ใส่กัน พวงแก้มนวลแดงระเรื่อ กายสาวก็ร้อนวูบวาบจนน่าอับอายหญิงสาวรูดซิปกระเป๋าเดินทางจนสุด เมื่อเก็บเสื้อผ้าของตัวเองกับลูกสาวเข้าไปภายในนั้นครบทั้งหมดแล้วช่างมันเถอะ อย่างน้อยๆ หล่อนก็จะได้จดจำความสุขยามที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของอเล็กซิสเอาไว้หล่อเลี้ยงหัวใจ หล่อนคงมีความสุขมาก เวลาคิดถึงสัมผัสของเขาแม้จะพยายามฝืนยิ้มออกมา แต่หัวใจก็ยังคงเจ็บปวดทรมานจนเลือดทะลักเตยหอมกัดฟันลุกขึ้นจากพื้น มองร่างของลูกสาวที่ยังคงนอนหลับปุ๋ยบนเตียงด้วยความรัก ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้อง แต่ยังไม่ทันถึงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน หล่อนคิดว่าเป็นยายฟองจันทร์ หรือไม่ก็ตาคำสาย จึงรีบเปิดออกโดยไม่ทันได้เอ่ยถาม“คุณ... อเล็ก...”แต่พอเปิดประตูออกแล้วก็ต้องตกใจระคนแปลกใจ เมื่อเห็นอเล็กซิสผู้ชายเจ้าของบั้นเอวคลั่งยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า พวงแก้มนวลแดงก่ำ เลือดสาวร้อนฉ่า เมื่อสบตากับดวงตาสีฟ้าสดสวย"เอ่อ... คุณมีธุระอะไรกับเตยเหรอคะ”“ฉัน
ความอึดอัดจนน่าคลุ้มคลั่งบนรถสปอร์ตหรูจบสิ้นลงเมื่ออเล็กซิสวางร่างหลับปุ๋ยของปิ่นงามลงบนเตียง ทุกกิริยาของเขาที่ปฏิบัติกับปิ่นงามช่างอ่อนโยนจนหล่อนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่“ขะ... ขอบคุณมากค่ะที่อุตส่าห์สละเวลามาส่งเราสองแม่ลูก”หล่อนพูดขึ้น เมื่อเขาเดินมาหยุดตรงหน้าของหล่อนที่ยืนขาสั่นอยู่กลางห้องพักใบหน้าของอเล็กซิสหล่อเหลา และก็มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ หล่อนก้มหน้างุดลงมองพื้น พร้อมกับภาวนาให้ตัวเองสามารถข่มความโหยหาเอาไว้ได้จวบจนกระทั่งเขาจากไป“ด้วยความยินดี”“เอ่อ... เตย... ออกไปส่งที่รถค่ะ อ๊ะ...”หล่อนกำลังจะหมุนตัวเดินไปที่ประตูห้อง แต่เอวคอดถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ พร้อมกับรั้งร่างอวบอัดเข้าไปปะทะแผ่นอกกว้าง“ปะ... ปล่อยเตยค่ะ”“ชูว์... อย่าส่งเสียงดังเชียวนะ เพราะจะรบกวนเวลานอนของลูก เข้าใจไหม”หล่อนหน้าซีดเผือดสลับแดงก่ำ เลื่อนสายตาไปมองลูกสาวที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงแล้ว ก็จำต้องกัดปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงใดเล็ดลอดออกมา“เก่งมากเด็กดี...”“อื้อ... อย่าค่ะ”มือใหญ่ยกขึ้นลูบใบหน้านวล หล่อนพยายามเอียงหน้าหนีแต่เขาก็ยอมให้ทำได้ สุดท้ายมือของอเล็กซิสก็สอดรองเอาไว้ใต้ท้ายทอย นิ้วแกร่ง