เตยหอมเป็นแค่ผู้อาศัย ไม่ต่างจากกาฝากของครอบครัว หน้าที่ก็คือต้องทนรองมือรองเท้าให้กับเจนจิราลูกสาวของผู้มีพระคุณ และเมื่อผู้มีพระคุณต้องการให้หล่อนปลอมตัวเป็นเจ้าสาวเพื่อมอบพรหมจรรย์ให้กับเจ้าบ่าวในค่ำคืนแต่งงานแทนลูกสาวผู้สำส่อนของพวกตน หล่อนก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ หลังจากค่ำคืนอัปยศนั้นผ่านพ้นไป หล่อนก็ถูกส่งตัวไปจนไกลแสนไกล 4ปีผ่านไป... หล่อนจำใจต้องเดินทางกลับมาเมืองไทย เพื่อร่วมงานศพของเจนจิราที่ฆ่าตัวตาย และหล่อนก็ได้พบกับเขาอีกครั้ง อเล็กซิส โอคอนเนอร์ เขาคือพ่อของลูกสาว... แต่เขาจะไม่มีวันรู้ความลับนี้หรอก แม้ว่าลูกสาวจะถอดแบบมาจากเขาราวกับแกะก็ตาม "เอ่อ... คุณมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ" เขายืนอยู่หลังบานประตูไม้ที่หล่อนเพิ่งเปิดออก "ฉันเอาต่างหูมาคืนเธอน่ะ" เขายื่นต่างหูข้างที่หล่อนพยายามหามาตลอดสี่ปี แต่ก็หาไม่เจอ "ขอบคุณค่ะ" "ไม่ทราบว่าคุณเจอมันที่ไหนเหรอคะ" "บนเตียง..." น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่มันกลับทำให้สันหลังของหล่อนเย็นวาบ "ในคืนแต่งงานของฉันกับเจนจิรา เมื่อ 4ปีก่อน"
View Moreเจริญวัฒนากุล หนึ่งในตระกูลผู้ลากมากดีของเมืองไทย ประมุขประจำบ้านก็คือ นายเกรียงไกร เจริญวัฒนากุล นายห้างร้านทองชื่อดังที่มีสาขาอยู่เกือบแทบทุกจังหวัดของเมืองไทย ส่วนภรรยาของเขาก็คือ นางปิยนุช เจริญวัฒนากุล หรือที่คนในบ้านเรียกติดปากว่า ซ้อนุช
ปิยนุชเป็นหญิงวัยสี่สิบแปดกะรัต รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะชีวิตสุขสบายมีอันจะกินมาตั้งแต่เกิด ส่วนนิสัยใจคอนั้นเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว และไม่มีน้ำใจ แถมยังขี้หึงเป็นที่หนึ่ง ทำให้ปิยนุชกับเกรียงไกรมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องความเจ้าชู้ของเกรียงไกร...
เมื่อสิบแปดปีก่อน ปิยนุชจับได้คาหนังคาเขาว่าเกรียงไกรแอบเข้าห้องของสาวใช้หน้าตาสะสวยคนหนึ่งที่มาจากต่างจังหวัดชื่อสุดา หล่อนขับไล่สุดาออกจากบ้านในคืนวันนั้นทันที ทั้งๆ ที่สุดาบอกความจริงกับหล่อนว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองถูกเกรียงไกรข่มเหงไม่ได้สมยอม แต่ปิยนุชไม่ยอมฟัง เพราะหลงเชื่อสามีของตัวเอง ที่บอกว่าสุดาเป็นคนยั่วยวนเพราะใฝ่สูง
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ปิยนุชก็ไม่เคยรับคนใช้หน้าตาดีอีกเลย อ้วน ดำ เตี้ย สูงวัย เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ทำงานในคฤหาสน์เจริญวัฒนากุล ซึ่งก็ได้สร้างความขัดเคืองใจให้กับผู้เป็นสามีอย่างเกรียงไกรยิ่งนัก
เรื่องราวผ่านมาเกือบหกปี สุดาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในบ้านเจริญวัฒนากุล พร้อมกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง
‘คุณผู้ชายคะ เตยหอมเป็นลูกสาวของคุณผู้ชายค่ะ’
เกรียงไกรตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของสุดา สาวใช้ที่เขาขืนใจในอดีต ไม่คิดว่าจะมีเด็กติดท้องไปด้วย
ตอนแรกเขาไม่ได้คิดจะรับเตยหอมในวัยห้าขวบเอาไว้อุปการะเลย แต่เพราะสุดากราบเท้าวิงวอน และบอกว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย และกำลังจะตาย เขาจึงต้องกลั้นใจรับเด็กคนนี้มาอยู่ในบ้าน และก็ต้องทะเลาะกับปิยนุชยกใหญ่กว่าจะสามารถเลี้ยงดูเตยหอมเอาไว้ได้
‘ยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นลูกของผม และแม่ของเธอก็กำลังจะตาย ผมใจดำทำเป็นไม่ดูดำดูดีไม่ได้หรอก’
‘แต่ลูกสาวคุณมีคนเดียวนั่นก็คือน้องเจน คุณลืมไปแล้วหรือไงคุณเกรียง!’
‘ผมไม่เคยลืมหรอกน่ะ ยังไงซะผมก็รักลูกเจนคนเดียวอยู่แล้ว ส่วนเด็กนี่ ก็ถือว่าเลี้ยงเอาบุญเถอะ ปล่อยไปก็ตายเปล่าๆ คิดว่าทำบุญสักครั้งเถอะคุณนุช’
‘ก็ได้ค่ะ ฉันจะเลี้ยงนังเด็กกาฝากนี่เอาไว้ แต่มันจะเป็นได้แค่คนรองมือรองตีนลูกเจนเท่านั้น คุณห้ามยกย่องมันขึ้นมาเป็นลูกเด็ดขาด เข้าใจไหมคะ’
‘ตกลง’
‘แล้วก็อย่ามายุ่ง เวลาฉันสั่งสอนมันก็แล้วกัน’
และจากวันนั้นจนถึงเวลานี้ เข็มนาฬิกาก็เคลื่อนผ่านมาสิบสี่ปีกว่าแล้ว
เตยหอมในวัยห้าขวบ เติบใหญ่ขึ้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยเหมือนกับสุดามารดาของตนเอง ส่วนผิวพรรณขาวเนียนนั้นได้รับมาจากบิดา
ชีวิตของเตยหอมไม่เคยรู้จักกับคำว่ามีความสุขเลย ตั้งแต่แม่พามาฝากเอาไว้ที่นี่ ทุกเช้าค่ำ หล่อนต้องทำงานไม่ต่างจากคนรับใช้ ตื่นแต่มืด และก็ต้องนอนหลังเจ้านายทุกคนเสมอ
คุณผู้หญิงของบ้านนี้เกลียดชังหล่อนมาก และมักจะกลั่นแกล้งให้หล่อนทำงานหนักๆ จนไปเรียนสายหลายครั้ง โชคดีที่บิดา... ไม่สิ... เขาไม่ใช่พ่อของหล่อนหรอก เพราะเกรียงไกรบอกกับหล่อนเองว่า เขาไม่เคยเห็นหล่อนเป็นลูก
หล่อนเสียใจเมื่อรู้ว่าผู้ให้กำเนิดไม่เคยรัก ไม่เคยเมตตา แต่คำสอนของแม่ที่พร่ำบอกสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ทำให้หล่อนไม่คิดแค้นเคือง เพราะทุกอย่างมันล้วนแต่เป็นกรรม
หล่อนก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ตอบแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่พวกเขาราดรดหัวในทุกเมื่อเชื่อวันให้หมดสิ้น จากนั้นค่อยแยกตัวจากไป
อีกไม่นาน...
ใช่... อีกแค่ไม่กี่ปี หล่อนก็จะเรียนระดับชั้นปริญญาตรีจบแล้ว และเมื่อหล่อนเรียนจบ หล่อนก็จะสามารถหางานดีๆ ที่พอเลี้ยงชีพได้ เมื่อนั้นหล่อนคงได้รู้จักกับความสุขเสียที
“นังเตย ไปหยิบรองเท้ามาให้ฉันหน่อยสิ”
เสียงเรียกจิกหัวแบบนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจนจิรา ลูกสาวของเกรียงไกร และปิยนุช
หล่อนรีบวิ่งเข้าไปหา และก็กุลีกุจอไปหยิบรองเท้าคัชชูราคาแพงมาวางกับพื้น
“ใส่ให้ฉันด้วยสิยะ”
“ค่ะ”
เหมือนเช่นทุกวันนั่นแหละ เจนจิรามักจะจิกหัวใช้หล่อนทำทุกอย่างให้ เพราะในสายตาของเจนจิรา หล่อนเป็นแค่เพียงคนรับใช้เท่านั้น
“ใส่ให้ฉันดีๆ หน่อยสิ เห็นไหมรองเท้าฉันเปื้อนแล้วเนี่ย”
“ขอ... ขอโทษค่ะคุณเจน”
“เช็ดรองเท้าให้ฉันเลยนะ เช็ดคราบขี้มือแกออกให้หมด เร็วสิ ยังจะมองหน้าอีก”
“ค่ะ”
หล่อนทำตามคำสั่งอย่างไม่มีทางเลือก หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากระโปรงนักศึกษา และบรรจงเช็ดรองเท้าคัชชูให้กับเจนจิราจนสะอาดเหมือนเดิม
“เสร็จแล้วค่ะ”
“เสร็จแล้วก็ใส่ให้ฉันด้วยสิ เร็วเข้า ฉันไม่อยากไปเรียนสาย”
“เอ่อ... ค่ะ” หล่อนก้มหน้าทำตามคำสั่งเหมือนเช่นทุกครั้ง
“รองเท้าคู่นี้สวยจัง เหมาะกับตีนฉันมาก แกว่าไหมนังเตย” เจนจิราก้มลงมองเท้าของตัวเองด้วยความชื่นชม
“ค่ะ คุณเจน”
เจนจิราอมยิ้มพึงพอใจ เดินนำหน้าตรงไปยังรถสปอร์ตราคาแพงที่ตนเองใช้ขับไปเรียนเป็นประจำ
“เอาไว้ฉันใช้เบื่อเมื่อไหร่ จะโยนให้ขี้ข้าอย่างแกไปใช้บ้างก็แล้วกันนะ”
เตยหอมก้มหน้านิ่ง ไม่ได้โต้ตอบ ขณะยื่นมือเปิดประตูรถให้กับเจนจิรา
หล่อนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเจนจิรา ซึ่งมันเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ราคาแพงมาก แต่ไม่ใช่เพราะพวกเขาเมตตาหล่อนหรอกนะถึงส่งเรียนที่แพงแบบนี้ แต่พวกเขาต้องการให้หล่อนตามรับใช้เจนจิราตลอดเวลาต่างหาก
“ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวไปสาย”
“เอ่อ... ค่ะ”
หล่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงาม ก่อนที่เจนจิราจะพุ่งตัวรถออกไปจากรั้วคฤหาสน์ขนาดใหญ่ และขับด้วยความเร็วขึ้นไปบนท้องถนน
“รายงานฉันแกทำเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ดีมาก ถ้าอาจารย์ชมฉันล่ะก็ ฉันจะทิปให้แกสักสองสามร้อย”
“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณเจน”
“แกอย่ามาทำตัวเป็นคนดีไม่เห็นแก่เงินหน่อยเลย ฉันรู้นะว่าแกหิวเงินยังกับอะไร”
แม้เจนจิราจะรู้อยู่เต็มอกว่าหล่อนก็เป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งของเกรียงไกร แต่ปิยนุชสั่งสอนเจนจิราให้เกลียดชังหล่อน ให้มองหล่อนเป็นแค่ขี้ข้ารับใช้เท่านั้น ซึ่งเจนจิราก็เชื่อฟังมารดาของตนเองอย่างดีเยี่ยมทีเดียว
“อ้อ อีกอย่าง...” เจนจิราหันมามองหล่อน สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “แกรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันเล็งพี่นัท”
“เอ่อ... ค่ะ...”
ธนัท รุ่นพี่ปีสามที่มาจีบหล่อน แต่เจนจิราสนใจธนัท ทำให้หล่อนต้องคอยหลบหน้าชายหนุ่ม
“ห้ามเสนอหน้าไปให้พี่นัทเห็น เพราะฉันต้องได้เขาก่อน”
“ค่ะ”
แล้วเจนจิราก็หัวเราะร่วนออกมาอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่หล่อนนั่งก้มหน้านิ่ง และบอกกับตัวเองว่าอย่าคิดอะไรมาก ให้เคยชินกับสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว
“คนรับใช้อย่างแกน่ะ ถ้าอยากจะมีผัวกับเขาบ้าง ก็ให้มองคนระดับเดียวกันนู้น ไอ้เสกไง หรือว่าไอ้หนุ่มก็ได้ พวกนั้นเหมาะกับคนอย่างแกที่สุดแล้วล่ะ” เจนจิราหมายถึงลูกชายคนสวน กับลูกชายของคนขับรถ
หล่อนทำได้แค่นั่งนิ่งเงียบ และก็ไม่คิดจะใส่ใจกับคำเหยียดหยามของเจนจิราอีก
รถคันงามวิ่งมาได้สักพักก็เลี้ยวจอดข้างทาง หลังจากที่เจนจิรารับโทรศัพท์มือถือ
“แกลงตรงนี้แหละ ฉันมีธุระด่วน”
“เอ่อ... คุณเจนมีสอบตอนเช้านะคะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันมีธุระด่วน แกรีบลงๆ ไปเลย” เจนจิราตวาดใส่
“ตะ... แต่ว่า...”
“เดี๋ยวก็ถีบลงไปเสียเลย ลงไปได้แล้ว ฉันรีบโว้ย!”
หล่อนจำต้องเปิดประตูรถ และก้าวลงไป ซึ่งรถคันงามที่เจนจิราขับก็แล่นจากไปทันที
หล่อนมองตามท้ายรถนั้นไปด้วยความไม่สบายใจ เพราะเจนจิราขาดเรียนบ่อยมาก แถมครั้งนี้ยังเป็นการสอบเก็บคะแนนอีกด้วย เพราะอย่างนี้ไง เจนจิราถึงเรียนไม่จบเสียที ทั้งๆ ที่อายุก็เยอะกว่าหล่อนตั้งสามปี
เตยหอมระบายลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะรู้ดีว่าเจนจิรารีบร้อนแบบนี้ทำไม
เจนจิราคงไปหาผู้ชายคนไหนสักคนอย่างแน่นอน...
หญิงสาวยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะก้าวเดินมุ่งหน้าตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ใกล้ที่สุด
หล่อนถูกเจนจิราทิ้งลงกลางทางบ่อยๆ จึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร ชินเสียแล้วนั่นเอง
ปิ้นนนนน
คนที่กำลังเดินอยู่สะดุ้งตกใจ และหันไปมองเพื่อหาต้นเสียง ก็พบรถสปอร์ตราคาแพงคันหนึ่งแล่นมาจอดข้างๆ กระจกด้านคนนั่งถูกลดลงต่ำเกือบหมดบาน พร้อมกับเสียงทักทายจากคนขับรถหรู
“กำลังจะไปเรียนหรือเตยหอม”
เขานั่นเอง...
อเล็กซิส โอคอนเนอร์ ผู้ชายที่หล่อที่สุดเท่าที่หล่อนเคยพานพบมาในชีวิต
ตั้งแต่สบตากันครั้งแรก เขาก็ทำให้หล่อนหวั่นไหว หล่อนไม่เคยกล้าสู้สายตาระยิบระยับสีฟ้ากระจ่างของผู้ชายคนนี้ได้นานเกือบสามวินาทีสักครั้ง
ดวงหน้านวลที่ไร้การแต่งแต้มจากเครื่องสำอางเห่อร้อนเหมือนเช่นทุกครั้งที่เห็นเขา
หล่อนยอมรับอย่างเจ็บปวดว่าตกหลุมรักผู้ชายคนนี้เสียแล้ว ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเจนจิรา และหล่อนไม่มีสิทธิ์
“คุณอเล็กซิส...”
“บอกกี่ทีแล้วให้เรียกฉันว่าอเล็กเฉยๆ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็ม มันยาวไป”
“เอ่อ...” หล่อนก้มหน้างุดหลบสายตาสีฟ้ากระจ่างแสนสวย
“ขึ้นรถมา ฉันจะไปส่ง”
“มะ... ไม่เป็นไรค่ะ เตยไปเองได้”
“จะไปโหนรถเมล์ให้ลำบากทำไม ขึ้นมานี่ ฉันผ่านทางนั้นพอดี เดี๋ยวแวะส่ง”
“แต่เตย...”
“หรือว่ากลัวหนุ่มๆ ที่มอเห็นฉันแล้วเรตติ้งของเธอจะตกกันล่ะ”
“ปะ เปล่านะคะ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย” หล่อนส่ายศีรษะไปมา สีหน้ามีความเป็นกังวล
อเล็กซิสอมยิ้ม “งั้นก็ขึ้นมาบนรถเถอะ ฉันจอดนานๆ เดี๋ยวตำรวจมาเรียกพอดี ขึ้นมา”
หลายปีต่อมา... สี่หนุ่มเพื่อนซี้ก็สามารถหาเวลาว่างตรงกันและนัดมาสังสรรค์กันได้ในที่สุดอเล็กซิสยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ขณะทอดสายตามองไปยังทุ่งกว้างที่บรรดาเด็กน้อยวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน โดยมีสาวๆ ซึ่งเป็นภรรยาของพวกเขาทั้งสี่คนปูเสื่อนั่งคุยกันอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เด็กๆ วิ่งเล่นอยู่เขาไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย การมีครอบครัวคือสิ่งที่เขาไม่เคยปรารถนามาก่อน แต่หลังจากที่เตยหอมเข้ามาในชีวิต เขาก็ได้รู้จักกับความสุขที่แท้จริง...ความสุขที่เงินมากเท่าไรก็ซื้อหาไม่ได้...“ในท้องเมียนายกี่คนวะ เห็นท้องใหญ่ๆ” แม็กซิมัสเอ่ยถามอเล็กซิส ซึ่งเป็นหนุ่มหล่อคนสุดท้ายที่เพิ่งได้แต่งเมีย“แฝดสามว่ะ” อเล็กซิสยืดอกตอบอย่างภาคภูมิใจ “น้ำยาฉันมันแรง เห็นไหมล่ะ”เสียงหัวเราะของอีกสามหนุ่มดังกระหึ่ม ก่อนจะรีบเกทับกันยกใหญ่“แค่แฝดสามทำมาคุยไอ้อเล็ก ฉันนี่ลูกหกคนแล้วโว้ย ยังไม่เห็นคุยเลย ถึงจะไม่ใช่แฝดก็ตาม” เคลวินยืดอกบ้างด้วยความภูมิใจในเชื้อพันธุ์ของตนเองไม่ต่างกัน“ให้มันน้อยๆ หน่อยน่ะพวกแก” ชาร์ลีแย้งขึ้นพร้อมกับจิบเหล้า แต่ก็ทำให้เพื่อนอีกสามคนหันมาทับถมกันใหญ่โต“นายน่ะอ่อนสุดเลยรู้ไหมไอ้ชาร์ล พวกเร
Mackenzie, New Zealandสถานที่ตรงหน้ามันสวยเหลือเกิน สวยงามน่าอัศจรรย์จนหล่อนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย รู้แต่ว่ามันคือแดนสวรรค์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริงบนโลกรอยยิ้มละไมเปื้อนดวงหน้างามตลอดเวลา เมื่อนึกถึงภาพของทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาสูงใหญ่ และรอบๆ ก็มีดอกไม้สีสันสดใสประดับประดาอย่างลงตัวคล้ายกับดินแดนในเทพนิยายที่เคยหยิบยืมของเจนจิรามาอ่านตอนเด็กไม่มีผิด“ชอบไหมทูนหัว...”คนที่นอนหลับตาอยู่ก่อนหน้าขยับเปลือกตาลืมขึ้น และมองหน้าหล่อน ดวงตาของเขาระยิบระยับสวยแข่งกับดวงดาวบนท้องฟ้ากว้างเหลือเกินมือเล็กยกลูบแก้มสากที่มีตอหนวดขึ้นประปรายแผ่วเบา “ชอบมากค่ะ มันสวยเหลือเกิน...”คนตัวโตยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาดสะท้อนกับแสงของดวงดารานับหมื่นบนท้องฟ้า“ผมดีใจนะที่คุณชอบ...”“ขอบคุณมากนะคะที่พาเตยมาที่นี่ มันสวยมาก สวยเหมือนสวรรค์เลยค่ะ”คนที่นอนพักอยู่ลุกขึ้นนั่ง ยกมือใหญ่ขึ้นโอบประคองแก้มนวลของภรรยาเอาไว้ ก่อนจะจุมพิตกลีบปากอวบอิ่มนุ่มนวล จากนั้นก็กระซิบแผ่วเบา“แล้วที่นี่คุณชอบอะไรที่สุดล่ะ ทะเลสาบ ดอกลูพิน หรือว่าดวงดาวบนฟ้าในตอนนี้”หล่อนฉีกยิ้มกว้าง
และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความสุขคือสิ่งที่เตยหอมพบเจอเป็นประจำจนเคยชิน หล่อนไม่เคยพบประสบกับความทุกข์ใจใดๆ อีกเลย เมื่อมีอุ้งมือของอเล็กซิสคอยโอบประคอง จนหล่อนอดคิดไม่ได้ว่าตนเองคือผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก“อุ้ยยย...” หล่อนสะดุ้งตกใจเมื่อถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง แต่สัมผัสและกลิ่นหอมที่คุ้นเคยทำให้อมยิ้มกว้างในเวลาต่อมา อ้อมแขนที่แสนอบอุ่นนี้จะเป็นของใครไปได้ล่ะ นอกจาก...อเล็กซิส โอคอนเนอร์ สามีดีเด่นของหล่อนนั่นเอง...หล่อนหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับสามีสุดหล่อที่ตัวสูงใหญ่ มองจ้องตาสีฟ้าสวยของเขาด้วยความรักหมดหัวใจ“น้องปิ่นหลับแล้วเหรอคะ”“หลับแล้วครับทูนหัว...” คุณพ่อคนเก่งก้มลงจูบแก้มภรรยาอย่างแสนรัก จากนั้นก็เลยมาอ้อยอิ่งที่กลีบปากหวานราวกับหยาดน้ำผึ้งป่าของภรรยา “กว่าจะหลับได้ ผมหมดนิทานในสต็อกไปเกือบห้าเรื่องแน่ะ” เขาพูดและก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ดวงตากวาดมองหน้าหวานของเตยหอมตลอดเวลา“ตอนเด็ก คุณจ้อเก่งแบบน้องปิ่นหรือเปล่าเนี่ย”หล่อนหัวเราะร่วน “เปล่านะคะ ตอนเล็กๆ เตยไม่ค่อยจะพูดด้วยซ้ำไปค่ะ”“อ้าว งั้นก็คงเหมือนผมน่ะสิ” เขาหัวเราะก๊าก ซึ่งหล่อนเองก็อดที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้
“ที่แท้ก็อยากมีลูกเพิ่มใช่ไหมคะเนี่ย”เขาผงกศีรษะตอบรับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์น้อยๆ “ก็ฉันกลัวน้องปิ่นจะเหงา ก็เลยอยากมีน้องๆ ให้มาเป็นเพื่อนวิ่งเล่น ว่าแต่ตกลงไหมทูนหัว”เตยหอมยิ้มเอียงอาย ก่อนจะซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างอย่างแสนรัก“ค่ะ”“น่ารักจังทูนหัว”เสียงหัวเราะพึงพอใจของอเล็กซิสดังกระหึ่มขึ้น ก่อนที่มือใหญ่จะเริ่มต้นซุกซน“อุ้ยยย... จะทำอะไรเหรอคะ”“ก็เร่งมือทำน้องให้น้องปิ่นไงจ๊ะทูนหัว”“ตะ... ตอนนี้เลยเหรอคะ” มือของเขาซุกซนมาก สัมผัสลูบไล้ไปทั้งบั้นท้ายทำเอาหล่อนสยิวเสียวซ่าน“ไม่ทำตอนนี้จะทำตอนไหนล่ะทูนหัว...”“ก็... ตอนค่ำไงคะ” หล่อนอ้อมแอ้มตอบด้วยความขัดเขิน“รอไม่ไหวจ๊ะที่รัก... ได้โปรดขอตอนนี้เลย... นะ...”น้ำเสียงของอเล็กซิสทั้งกระเส่าทั้งแปร่งพร่า ทำเอาหล่อนไม่กล้าที่จะขัดใจเลย“ก็... ได้ค่ะ”กายสาวร้อนผะผ่าว เลือดในกายก็เดือดพล่าน ยิ่งอเล็กซิสมือไม่อยู่สุขแบบนี้ หล่อนก็ยิ่งร้อนฉ่าราวกับจับไข้สูง“ทูนหัว... อวบใหญ่ไปทั้งตัวเลย... อืมมม”มือใหญ่ทั้งขยำทั้งบีบเต้านมอย่างเมามัน ก่อนจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่หล่อนสวมอยู่จนกระเด็นหวือลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นห้อง ส่วนกายสาวก็ล่อนจ้อน
ในที่สุดช่วงเวลาที่น่าหวาดหวั่นก็เดินทางมาถึงจนได้ อเล็กซิสพาหล่อนกับปิ่นงามกลับมายังบ้านของเขา เพื่อที่จะได้พบเจอกับเจสสิก้ามารดาของเขานั่นเองเขาบอกกับหล่อนว่าได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้มารดาและบิดาฟังหมดแล้ว ซึ่งตอนนี้มารดาของเขาก็ต้องการที่จะพบหล่อนกับปิ่นงาม“มือเย็นเชียว ไม่มีอะไรหรอก เชื่อฉันสิ” คนตัวโตเอื้อมมือมากุมมือเล็กเอาไว้ และก็บีบให้กำลังใจ“ค่ะ... เตย... เชื่อคุณอเล็กค่ะ”อเล็กซิสระบายยิ้มหวาน เขาย่อตัวลงวางปิ่นงามให้ลงยืนกับพื้นห้อง เมื่อพาหล่อนกับลูกสาวเข้ามาในห้องรับแขกหรูแล้ว หล่อนเห็นเจสสิก้านั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว จับจ้องมองมาที่หล่อนและปิ่นงามไม่วางตาสมัยตอนที่หล่อนอยู่ที่บ้านของปิยนุช ก็มีโอกาสได้เจอะเจอกับเจสสิก้าหลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดมาก่อน“สวัสดีค่ะคุณเจสสิก้า”หล่อนยกมือไหว้สตรีสูงวัยที่ยังสวยไม่สร่างตรงหน้าด้วยความนอบน้อม ก่อนจะหันไปบอกลูกสาวให้ยกมือไหว้เช่นกัน ซึ่งปิ่นงามก็ทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย เรียกรอยยิ้มเอ็นดูของเจสสิก้าได้อย่างมากมายเลยทีเดียว“หลานย่า... มาให้ย่ากอดหน่อยลูก”ปิ่นงามมองหน้าหล่อนเล็กน้อยราวกับขอความเห็น และเมื่อหล่อนพยักหน้าอน
หลังจากที่หล่อนบอกความจริงกับยายฟองจันทร์และตาคำสาย ทั้งสองตายายก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นตกใจ ก่อนที่ยายฟองจันทร์จะพูดออกมา“ยายว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรในกอไผ่”“ทำไมแกพูดอย่างนั้นล่ะยายฟองจันทร์ หรือว่าแกเดาออกว่าคุณอเล็กกับหนูเตยเป็น...” ตาคำสายเอ่ยถามภรรยายังไม่ทันจบก็ถูกแทรกขึ้นเสียก่อน “ก็แกไม่เห็นสายตาที่คุณอเล็กมองหนูเตยในงานศพคุณเจนหรือไงล่ะ มองตาเชื่อมจนมดกัดแบบนั้น แล้วยังที่บุกมาถามวันเดือนปีเกิดของน้องปิ่นอีก”ตาคำสายผงกศีรษะรับหงึกๆ ก่อนจะหันไปถามอเล็กซิสที่ยืนอุ้มปิ่นงามเอาไว้ในอ้อมแขน“นี่ถ้าผมเป็นคุณอเล็กนะ ผมคงไม่ยอมปล่อยให้เมียหนีไปนานถึงสี่ปีหรอกครับ แค่สี่วันผมก็อกจะแตกตายอยู่แล้ว”อเล็กซิสอมยิ้ม ทอดสายตามองเตยหอมที่ยืนหน้าแดงระเรื่ออยู่ข้างกาย“ใครว่าผมยอมปล่อยกันล่ะครับ หนูเตยของคุณตาคุณยายหนีไปต่างหาก ผมตามหาแทบพลิกแผ่นดินก็ไม่เจอ จนเกือบถอดใจอยู่แล้วล่ะครับ”“ที่เตยหนีไปก็เพราะเตยจำเป็น คุณอเล็กก็รู้นี่คะ ยังมาว่าเตยอีก” สาวน้อยอ้อมแอ้มตัดพ้อสามีเสียงอ่อยอเล็กซิสมองภรรยาด้วยความเอ็นดูก่อนจะก้มหน้าลงมาจูบแก้มแดงๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย สองตายายเห็นเข้าก็อมยิ้มฟิ
Comments