ไป๋เฉินเซียงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ กะพริบเปลือกตาสองสามหน พลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ กระทั่งสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจขึ้นไม่น้อย
บุรุษผู้นี้หล่อเหลาเป็นอย่างมาก โครงหน้าของเขาช่างคลับคล้ายว่านางเคยพานพบมาก่อน นัยน์ตาสีนิลแข็งกร้าวดุดันกระนั้นยังคล้ายกับท้องฟ้าในคืนไร้ดาว ไป๋เฉินเซียงจ้องมองเขาไม่ขยับ จมูกโด่งเป็นสันรับกับโครงหน้าคมเข้ม รูปปากหยักระบายสีแดงระเรื่อ ทว่าเส้นผมของเขากลับมีสีเงินยวงแซมประปราย
หน้ายังดูเด็กทำไมผมหงอกแล้ว
“มองพอหรือยัง ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร หากไม่พูดข้าจะปิดปากเจ้าเสียตอนนี้” เสียงทุ้มถามย้ำ
ไป๋เฉินเซียงได้สติมือทั้งสองฝั่งชูขึ้นแช่มช้าเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ว่านางมาดี ไป๋เฉินเซียงกระแอมปรับน้ำเสียงให้ทุ้มกว่ายามปกติ
“ขออภัยคุณชายท่านนี้ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ข้าน้อยแค่บังเอิญขึ้นรถม้าผิดเพราะเห็นว่ารถม้าของท่านคล้ายกับรถม้าลูกพี่ลูกน้องข้าน้อยที่นัดกันไว้ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจรบกวนท่านจริง ๆ นะขอรับ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ขึ้นผิด...เช่นนั้นเจ้าก็ลงไป”
มีดปลายแหลมยังยื่นจ่อไม่ห่างจากใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทั้งที่อีกฝ่ายพูดอยู่กับนางทว่านัยน์ตาของเขากลับไม่สบตานางเลยสักนิดไป๋เฉินเซียงค่อย ๆ ขยับตัวและโบกมือไปมาเบื้องหน้าของเขา ดวงตาคมเข้มไม่กะพริบราวกับไร้จิตวิญญาณ
ดวงตาเขามีปัญหางั้นหรือ
“ช้าก่อน” เสียงทุ้มดังมาจากนอกรถม้า
มือที่โบกไปมาชะงักลง ชายหนุ่มเองก็รับรู้ถึงความผิดปกติ เขายังรู้อีกว่าไป๋เฉินเซียงลอบทดสอบดวงตาของเขา ไป๋เฉินเซียงเริ่มรู้สึกกังวลเพราะเกรงว่าคนของทางการจะเข้ามาตรวจค้นด้านใน
แต่แล้วก็มีเสียงดุดันตวาดแทรก “พวกเจ้าคิดทำอะไร! ไม่รู้หรือว่านี่เป็นรถม้าของผู้ใด”
นายตรวจการที่เฝ้าหน้าประตูทางออกเมืองชะงัก เขาเบนมองสัญลักษณ์พยัคฆ์ขาวกลางหลังคารถม้าก็บังเกิดความพรั่นพรึง นายตรวจการทั้งสองหดเท้าถอยหลังทันควัน
“ขออภัยใต้เท้า ข้าน้อยมิทราบ…”
“หลีกไป!”
นายตรวจการสองคนรีบขยับออกคนละฝั่งอย่างลนลาน รถม้าจึงพุ่งทะยานออกนอกประตูเมืองด้วยความรวดเร็วปานลมกรด
ไป๋เฉินเซียงนิ่งอึ้งกะพริบตาปริบ ๆ ฟังจากน้ำเสียงคนด้านนอกดูเหมือนเขาคงเป็นผู้มีอำนาจมากทีเดียว ซ้ำทหารเฝ้าประตูเมืองยังเรียกคนผู้นั้นว่าใต้เท้า ขนาดคนด้านนอกยังมีอำนาจถึงเพียงนี้ แล้วบุรุษร่างสูงที่นั่งตัวตรงด้านในจะมากอิทธิพลเพียงไหนกัน ไป๋เฉินเซียงศีรษะชาหนึบเพราะคล้ายกับตนกำลังหลบหลุมแต่พลาดตกบ่อ
“ท่าน…” บุรุษด้านนอกสาวเท้าเข้ามาก็เกิดผงะ เขาคว้ากระบี่ฉับพลันยื่นจ่อปลายแหลมคมเฉียดใกล้หน้าไป๋เฉินเซียงอีกคน เขาเขม้นจ้องนางดั่งมัจจุราชกระหายโลหิต ทั้งที่เขาอารักขาคนด้านในรถม้าอยู่ แต่กลับไม่เห็นความผิดปกติในตอนที่นางลอบเข้ามา ฝีเท้าของนางบางเบาประหนึ่งแมวขโมย
“เจ้าเป็นใคร ไยจึงมาอยู่ในรถม้าของท่าน…”
“หลีซง” ชายหนุ่มหน้าวสันต์แววตาไร้ดวงดาวขยับเอ่ยอีกครั้ง ยามนี้เขาลดมีดสั้นในมือลงแล้ว ส่วนบุรุษอีกคนยังคงจ้องเอาชีวิตนางด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
“พี่ชายท่านนี้ฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามารบกวนท่าน…เอ่อ...” ไป๋เฉินเซียงเหลียวมองไปยังบุรุษร่างกำยำซึ่งนั่งสงบนิ่งไม่ขยับ ประหนึ่งว่าเขาเป็นหุ่นขี้ผึ้งไม้แกะสลักอย่างไรอย่างนั้น เพราะนางไม่รู้สถานะของเขาจึงเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่ว “...ข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวนคุณชายท่านนี้เลยจริง ๆ ข้าคิดว่าเป็นรถม้าของญาติก็เลยเข้าใจผิดเท่านั้น”
บุรุษร่างสูงหรี่เปลือกตาลงจนแคบ “หนุ่มน้อย เจ้าแก้ตัวไม่ขึ้นเอาเสียเลย รถม้าคันนี้เป็นรถม้าที่ฮ่องเต้พระราชทาน มีเพียงคันเดียวในแคว้นจื่อโจว เจ้ามุสางั้นรึ”
ไป๋เฉินเซียงศีรษะชาดิก นางไม่เคยทราบมาก่อนว่ารถม้าก็เป็นของพระราชทานได้ ไป๋เฉินเซียงยิ้มแหยพลางโบกมือพัลวัน “พี่ชาย ข้าเพิ่งมาที่เมืองหลวงครั้งแรกเลยเข้าใจผิดไป ขออภัย ขออภัยจริง ๆ ขอรับ”
ไป๋เฉินเซียงกลอกตาคิดหาทางรอดให้ตัวเอง ครั้นสำรวจชายหนุ่มที่นั่งสงบนิ่งอยู่อย่างถ้วนถี่จึงร้องขึ้นเสียงดัง “อ้อ...”
ไป๋เฉินเซียงผินหน้ากลับไปยังอีกฝ่ายที่นั่งลำคอยืดตรง “ข้าน้อยว่าคุณชายท่านนี้ดวงตาคงมีปัญหาใช่หรือไม่ พวกท่านกำลังจะออกไปหาหมอหรือขอรับ”
“บังอาจ!” บุรุษนามว่าหลีซงปรี่เข้ามาด้วยความโมโห
ไป๋เฉินเซียงหลับตาแน่น กระบี่แวววาวคมปลาบกำลังจะหวดลงมายังศีรษะของนาง
“หลีซงอย่าใจร้อน ให้เขาพูดก่อน” เสียงทุ้มกล่าวด้วยสุ้มเสียงเย็นยะเยือก ทำให้คนที่ง้างกระบี่ต้องชะงักมือลงเดี๋ยวนั้น
ไป๋เฉินเซียงผ่อนหายใจโล่งอกเพราะตนเพิ่งชักเท้าออกจากปรโลกได้หมาด ๆ “ขอบคุณคุณชายที่เมตตา”
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก แม้แววตาของเขาล่องลอยกระนั้นยังโน้มตัวลงมาใกล้นาง “เจ้าเป็นบุรุษงั้นรึ”
“ขะ...ขอรับ”
คำตอบของนางทำให้คิ้วเข้มกระตุกเบา
ไป๋เฉินเซียงหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง ไม่คิดว่าตนจะดวงซวยเลือกขึ้นรถม้าผิดคัน แต่ก็นับว่าไม่โชคร้ายเสียทีเดียว เพราะรถม้าคันนี้ไม่ถูกตรวจค้นนางจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ไว้ลองหาทางเกลี้ยกล่อมคนผู้นี้ดูสักหน่อย จากการสังเกต แม้ชายตรงหน้านั้นดูองอาจทั้งยังมากไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ทว่าเขาคงไม่ใจไม้ไส้ระกำเฉกเช่นผู้ติดตามของตนกระมัง เอะอะก็จะสะบั้นศีรษะนางอยู่เรื่อย
“ให้จัดการเขาเลยหรือไม่ขอรับ บางทีเจ้าหนุ่มนี่อาจเป็นมือสังหารหรือนักโทษหลบหนี”
มือหยาบระคายยกขึ้น “ช้าก่อน ข้าอยากฟังเขาพูดอีกสักหน่อย”
ไป๋เฉินเซียงมองตามฝ่ามือของเขา พลันสังเกตเห็นความหยาบกระด้างบนแผ่นมือกว้าง นิ้วโป้งของเขาสวมแหวนปานจื่อหยกขาวบริสุทธิ์ หากสังเกตดี ๆ บนแหวนหยกนั่นมีการสลักลายพยัคฆ์เอาไว้ ไป๋เฉินเซียงขบคิด
คนผู้นี้เป็นนักรบ เขาเป็นทหารหรือ คงไม่ได้เป็นแม่ทัพอีกคนกระมัง หากไม่ใช่แม่ทัพแล้วต้องยศใหญ่เพียงใดกันจึงไม่ถูกตรวจค้นรถม้าก่อนออกจากเมือง ทั้งที่ตาบอดเขายังน่าเกรงขามเพียงนี้
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าดวงตาข้ามีปัญหา เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ไป๋เฉินเซียงได้สติ “ข้ามองแววตาของท่าน เดิมทีก็คล้ายคนปกติ ทว่านัยน์ตาของท่านกลับเลื่อนลอยไม่คล้ายสายตาของคนทั่วไป”
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก
“เจ้าหนุ่ม ทำราวกับตนเป็นหมอ เจ้าบอกมาเลยดีกว่า ลักลอบขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่”
หอบรรพชนตระกูลหลานควันจากธูปลอยโขมงประหนึ่งหมอกขาว ด้านหน้าเป็นที่ตั้งป้ายวิญญาณของฮูหยินสกุลหลาน“ที่แท้ท่านแม่ของท่านพี่ก็จากไปนานแล้ว ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”ในชาติก่อนไป๋เฉินเซียงเคยเป็นอนุของหลานจิ้นถงก็จริงทว่าเขาไม่เคยพูดถึงมารดาสักครั้ง หนำซ้ำยังสั่งห้ามเหล่าอนุเข้าใกล้ศาลบรรพชนอีกด้วย อาจเพราะเป็นพื้นที่หวงห้ามที่หลานอี้ซินไว้ใช้สงบใจหลานอี้ซินยิ้มขมขื่น “ท่านแม่จากไปในตอนที่ข้าเพิ่งเข้ารับราชการทหารใหม่ ๆ ในตอนนั้นข้าอายุได้สิบห้าหนาว นางป่วยหนัก ท่านพ่อก็งานยุ่งมาก ข้าได้ยินมาว่าบนหุบเขาเป็นที่ตั้งของวัดเฉินหลิงในตำนาน จึงพาท่านแม่ไปรักษาตัวที่นั่น”“แต่ที่วัดเฉินหลิงวางค่ายกลไว้แน่นหนา ท่านเข้าไปได้อย่างไร”หลานอี้ซินยิ้ม มือหยาบกร้านลูบศีรษะภรรยารักอย่างทะนุถนอม “เพราะแม่ของเจ้า”ไป๋เฉินเซียงแทบไม่อยากเชื่อหูตนเองหลานอี้ซินเล่าต่อ “ข้าเห็นรถม้าของนางจอดอยู่กลางหุบเขา ทั้งยังมีลูกน้อยที่หลับสนิทในอ้อมแขน เดิมทีนางลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าแม่ของเจ้าคุณธรรมสูงส่งเช่นเจ้าไม่มีผิด”ไป๋เฉินเซียงยิ้ม “ต้องบอกว่าข้า
ณ จวนสกุลเว่ย“เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าทั้งสองปั่นหัวข้าหรือ” เว่ยเสี่ยวเฉินหน้างอ เขาชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างหลานอี้ซินและไป๋เฉินเซียง ทั้งยังแหงนหน้ามองฟ้าดั่งหมดอาลัยตายอยาก“สวรรค์! นี่ท่านรังแกข้ามากเกินไปหน่อยแล้ว ทั้งที่ข้าพบนางในฝันก่อนเขาแท้ ๆ ทว่านางกลับเป็นฮูหยินสหายของข้า ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”หลานอี้ซินถอนหายใจ ทั้งยังกระชับอ้อมกอดบริเวณไหล่แคบแน่นขึ้น “เจ้าพล่ามพอแล้วหรือยัง ใครบอกว่าเจ้าพบนางก่อนข้า”เว่ยเสี่ยวเฉินสะบัดแขนพร้อมทำหน้าบูด “ชิ เจ้าก็พูดได้ มีฮูหยินทั้งสวยทั้งเก่ง แล้วดูข้า ต้องตาเทพธิดาคนหนึ่งทว่าเขาไม่ใช่ของเรา”“เจ้าพูดให้น้อยหน่อย เทพธิดาที่เจ้าว่านั่นฮูหยินของข้ามิใช่หรือ หากเจ้าตัดใจไม่ได้ ข้าจะพานางกลับและจะไม่มาเหยียบเรือนเจ้าอีก” เอ่ยจบหลานอี้ซินก็พยุงไป๋เฉินเซียงลุกขึ้น “ไปเถิดฮูหยิน เช่นนั้นเราไปให้คุณชายถังวาดดีกว่า ดูอารมณ์ของเขาแล้ว คงไม่อาจวาดภาพให้งดงามได้”ไป๋เฉินเซียงหัวเราะคิกคัก สามีของนางกำลังเย้าแหย่สหายไป๋เฉินเซียงกระซิบ “ท่านพี่เล่นแรงไปหน่อยกระมัง”เว่ยเสี่ยวเฉินละล้าละลัง “อย่า อ
ขุนนางในท้องพระโรงตะลึงพรึงเพริดไปตามกัน ต่างก็เหลียวมองไปยังใต้เท้าวูที่ยืนหน้าถอดสีอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เอ่ย “ท่านแม่ทัพ ไยต้องการหนังสือหย่า หากเจ้าทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเอาเปรียบสตรีตัวเล็ก ๆ หรือ นางทำเรื่องใดให้เจ้าไม่พอใจกันเล่า”หลานอี้ซินยังมีสีหน้าสงบนิ่งไร้ซึ่งท่าทางตื่นกลัว ทว่าไป๋เฉินเซียงกลับรู้สึกใจเสียไปแล้ว หากเขาต้องการหย่ากับนางไม่จำเป็นต้องทำขั้นนี้ก็ได้บรรยากาศเข้าสู่ความอึมครึม ยามนี้อารมณ์แต่ละคนต่างรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ใต้เท้าวูเองก็สนิทชิดเชื้อกับฮ่องเต้ไม่น้อย แม่ทัพไป๋หู่กำลังทำเรื่องหยามหน้าขุนนางที่ฮ่องเต้โปรดปรานเข้าให้แล้ว เกรงว่าจากที่ถูกละเว้นโทษตาย กำลังจะเกิดสถานการณ์พลิกกลับไป๋เฉินเซียงกำลังคิดเอ่ยปาก กระนั้นกลับมีเสียงทุ้มดังตัดบท “ทูลฝ่าบาท อันที่จริงเป็นความผิดของลูกสาวกระหม่อมเอง ตระกูลวูขอยอมรับเรื่องการหย่าร้างจากท่านแม่ทัพไป๋หู่พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ประหลาดใจ “ใต้เท้าวู แต่เดิมท่านเป็นคนรักศักดิ์ศรี และมีเหตุผลอยู่เสมอ ไยตอนนี้ท่านจึงยินยอมให้บุตรสาวถูกหย่าร้าง มิกลัวถูกผู้อื่นครหาหรือ”
ท้องพระโรงอันโอ่โถงของแคว้นจื่อโจววันนี้ฮ่องเต้เรียกให้ขุนนางทุกลำดับขั้นเข้าเฝ้าเพื่อร่วมยินดีกับชัยชนะจากสงครามหั่วหมิง“ใต้เท้าหลาน” เสียงครั่นคร้ามของโอรสสวรรค์ดังขึ้นหลานหมิ่นฉีสาวเท้าออกมาพลางประสานฝ่ามือและค้อมศีรษะลง “พ่ะย่ะค่ะ”“ที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้เจ้าคงทราบดี ว่าเป็นเรื่องใด”หลานหมิ่นฉีเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ยามนี้ภายในใจของเขาล้วนเต็มไปด้วยหมอกขาว กลับกลายเป็นการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เอ่ยต่อ “บุตรชายของเจ้าทั้งสองล้วนมีฝีมือ ทั้งยังสร้างผลงานอันโดดเด่นไว้มาก แต่น่าเสียดาย…”ไป๋จื่อเหิงและเหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างก้มหน้างุดแทบลืมหายใจ ถึงอย่างไรบุตรสาวคนโตของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสกุลหลาน การที่สามีอย่างแม่ทัพชิงหลงก่อกบฏ ย่อมต้องสร้างความสั่นคลอนต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เดิมไป๋จื่อเหิงหวังเกาะตำแหน่งและอำนาจของหลานจิ้นถงเพื่อขึ้นสู่ที่สูง แต่ดูเหมือนเขากำลังถูกผลักให้จมลงบ่อโคลนจนไม่อาจโผล่ศีรษะเพื่อหายใจ“ถึงอย่างไรผู้ก่อกบฏก็ได้รับกรรมตามสมควร” ฮ่องเต้ถอนหายใจ
“สรุปแล้วท่านอยากหย่าสินะเจ้าคะ แต่ก็นั่นแหละ ชะตานี้ข้าช่วงชิงมาจากผู้อื่น ย่อมสมควรที่มันจะกลับไปยังเจ้าของเดิม”หลานอี้ซินกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จมูกโด่งเป็นสันโน้มลงจรดลงบนปรางแก้มหอมกรุ่น ไป๋เฉินเซียงตะลึงลาน“เด็กโง่ คิดอะไรของเจ้า ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าลำบาก หากข้าตายไปเจ้าจะต้องอยู่เป็นหม้าย ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ ต่อไปเจ้าจะใช้ชีวิตอิสระได้อย่างไร”ไป๋เฉินเซียงกระเง้ากระงอด พลางบ่นกระปอดกระแปด “ท่านไม่ต้องมาคิดแทนข้า ชิ”“อีกอย่าง ชื่อนั่นก็ไม่ใช่เจ้ามิใช่หรือ”ในหนังสือหย่าเป็นชื่อผู้อื่นก็จริง ทว่าการแบ่งปันทรัพย์สินกลับเป็นชื่อของไป๋เฉินเซียงโดยตรง หากคนอื่นไม่รู้คงได้คิดว่านางเป็นภรรยาลับของเขาแน่แท้ไป๋เฉินเซียงสงบลง กล่าวเสียงค่อย “ก็จริง”“เจ้าลงนามแล้วหรือไม่” หลานอี้ซินถาม“แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”นางอยากจะกลั่นแกล้งเขานักว่าลงไปแล้ว อันที่จริงนางแทบเผาหนังสือหย่าเล่มนั้นทิ้งเลยต่างหาก“จะลงหรือไม่ลงก็ย่อมไม่ต่าง”ไป๋เฉินเซียงขมวดคิ้ว วาจากำกวมเช่นนี้เป็นเหตุให้นางใคร่รู้เป็นอย่างมาก
เพราะศัตรูเพลี่ยงพล้ำทั้งรับมือจากการลอบโจมตี และยังถูกงูมีพิษดาหน้าเข้าทำร้ายตลอดสองวันสองคืน ท้ายที่สุด กองทัพชิงเป่ยก็ปราชัยให้แก่ทัพของแม่ทัพไป๋หู่ แผนการที่ชิงเป่ยวางเอาไว้ตลอดหลายเดือนพังทลายภายในพริบตา เพียงเพราะการย้อนพิษร้ายคืนสนองจากฝีมือท่านหมอหวัง จะกล่าวให้ถูกต้อง ทั้งหมดเป็นแผนการและฝีมือของไป๋เฉินเซียงดูเหมือนความดีความชอบนี้คงไม่ต้องพึ่งบารมีของแม่ทัพเช่นเขาแล้วขบวนทัพเดินทางกลับแคว้นด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แคว้นชิงเป่ยยินดีทำสัญญาสงบศึกและเป็นพันธมิตรร่วมกันตลอดไป ทางแคว้นชิงเป่ยยังจะส่งของบรรณาการให้กับแคว้นจื่อโจวในทุกปีอีกด้วย“เซียงเซียง” เสียงทุ้มกระซิบเบาที่เบื้องหลังใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีชมพูระเรื่อ “เจ้าคะ”ทั้งสองนั่งอยู่บนอาชาศึกเจียวซิ่ง ขบวนเดินทางกำลังมุ่งหน้ากลับวังหลวง เหล่าทหารหลายนายเห็นภาพแม่ทัพโอบภรรยาล้วนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบางคนหน้าเผือดสีเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกแม่ทัพลงโทษที่ริอ่านไปแตะเนื้อต้องตัวฮูหยินของเขา ทั้งจับทั้งโยนเป็นว่าเล่น เกรงว่าคงไม่อาจรักษาศีรษะให้ตั้งตรงบนบ่าได้แล้วหลานอี้ซ