Home / รักโบราณ / วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด / บทที่ 4 อำมหิตเกินกว่าจินตนาการ (1)

Share

บทที่ 4 อำมหิตเกินกว่าจินตนาการ (1)

last update Last Updated: 2025-06-19 12:00:29

ไป๋เฉินเซียงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ กะพริบเปลือกตาสองสามหน พลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ กระทั่งสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจขึ้นไม่น้อย

บุรุษผู้นี้หล่อเหลาเป็นอย่างมาก โครงหน้าของเขาช่างคลับคล้ายว่านางเคยพานพบมาก่อน นัยน์ตาสีนิลแข็งกร้าวดุดันกระนั้นยังคล้ายกับท้องฟ้าในคืนไร้ดาว ไป๋เฉินเซียงจ้องมองเขาไม่ขยับ จมูกโด่งเป็นสันรับกับโครงหน้าคมเข้ม รูปปากหยักระบายสีแดงระเรื่อ ทว่าเส้นผมของเขากลับมีสีเงินยวงแซมประปราย

หน้ายังดูเด็กทำไมผมหงอกแล้ว

“มองพอหรือยัง ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร หากไม่พูดข้าจะปิดปากเจ้าเสียตอนนี้” เสียงทุ้มถามย้ำ 

ไป๋เฉินเซียงได้สติมือทั้งสองฝั่งชูขึ้นแช่มช้าเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ว่านางมาดี ไป๋เฉินเซียงกระแอมปรับน้ำเสียงให้ทุ้มกว่ายามปกติ

“ขออภัยคุณชายท่านนี้ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ข้าน้อยแค่บังเอิญขึ้นรถม้าผิดเพราะเห็นว่ารถม้าของท่านคล้ายกับรถม้าลูกพี่ลูกน้องข้าน้อยที่นัดกันไว้ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจรบกวนท่านจริง ๆ นะขอรับ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ขึ้นผิด...เช่นนั้นเจ้าก็ลงไป”

มีดปลายแหลมยังยื่นจ่อไม่ห่างจากใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทั้งที่อีกฝ่ายพูดอยู่กับนางทว่านัยน์ตาของเขากลับไม่สบตานางเลยสักนิดไป๋เฉินเซียงค่อย ๆ ขยับตัวและโบกมือไปมาเบื้องหน้าของเขา ดวงตาคมเข้มไม่กะพริบราวกับไร้จิตวิญญาณ

ดวงตาเขามีปัญหางั้นหรือ

“ช้าก่อน” เสียงทุ้มดังมาจากนอกรถม้า 

มือที่โบกไปมาชะงักลง ชายหนุ่มเองก็รับรู้ถึงความผิดปกติ เขายังรู้อีกว่าไป๋เฉินเซียงลอบทดสอบดวงตาของเขา ไป๋เฉินเซียงเริ่มรู้สึกกังวลเพราะเกรงว่าคนของทางการจะเข้ามาตรวจค้นด้านใน 

แต่แล้วก็มีเสียงดุดันตวาดแทรก “พวกเจ้าคิดทำอะไร! ไม่รู้หรือว่านี่เป็นรถม้าของผู้ใด”

นายตรวจการที่เฝ้าหน้าประตูทางออกเมืองชะงัก เขาเบนมองสัญลักษณ์พยัคฆ์ขาวกลางหลังคารถม้าก็บังเกิดความพรั่นพรึง นายตรวจการทั้งสองหดเท้าถอยหลังทันควัน  

“ขออภัยใต้เท้า ข้าน้อยมิทราบ…”

“หลีกไป!”

นายตรวจการสองคนรีบขยับออกคนละฝั่งอย่างลนลาน รถม้าจึงพุ่งทะยานออกนอกประตูเมืองด้วยความรวดเร็วปานลมกรด 

ไป๋เฉินเซียงนิ่งอึ้งกะพริบตาปริบ ๆ ฟังจากน้ำเสียงคนด้านนอกดูเหมือนเขาคงเป็นผู้มีอำนาจมากทีเดียว ซ้ำทหารเฝ้าประตูเมืองยังเรียกคนผู้นั้นว่าใต้เท้า ขนาดคนด้านนอกยังมีอำนาจถึงเพียงนี้ แล้วบุรุษร่างสูงที่นั่งตัวตรงด้านในจะมากอิทธิพลเพียงไหนกัน ไป๋เฉินเซียงศีรษะชาหนึบเพราะคล้ายกับตนกำลังหลบหลุมแต่พลาดตกบ่อ 

“ท่าน…” บุรุษด้านนอกสาวเท้าเข้ามาก็เกิดผงะ เขาคว้ากระบี่ฉับพลันยื่นจ่อปลายแหลมคมเฉียดใกล้หน้าไป๋เฉินเซียงอีกคน เขาเขม้นจ้องนางดั่งมัจจุราชกระหายโลหิต ทั้งที่เขาอารักขาคนด้านในรถม้าอยู่ แต่กลับไม่เห็นความผิดปกติในตอนที่นางลอบเข้ามา ฝีเท้าของนางบางเบาประหนึ่งแมวขโมย

“เจ้าเป็นใคร ไยจึงมาอยู่ในรถม้าของท่าน…”

“หลีซง” ชายหนุ่มหน้าวสันต์แววตาไร้ดวงดาวขยับเอ่ยอีกครั้ง ยามนี้เขาลดมีดสั้นในมือลงแล้ว ส่วนบุรุษอีกคนยังคงจ้องเอาชีวิตนางด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด

“พี่ชายท่านนี้ฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามารบกวนท่าน…เอ่อ...” ไป๋เฉินเซียงเหลียวมองไปยังบุรุษร่างกำยำซึ่งนั่งสงบนิ่งไม่ขยับ ประหนึ่งว่าเขาเป็นหุ่นขี้ผึ้งไม้แกะสลักอย่างไรอย่างนั้น เพราะนางไม่รู้สถานะของเขาจึงเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่ว “...ข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวนคุณชายท่านนี้เลยจริง ๆ ข้าคิดว่าเป็นรถม้าของญาติก็เลยเข้าใจผิดเท่านั้น”

บุรุษร่างสูงหรี่เปลือกตาลงจนแคบ “หนุ่มน้อย เจ้าแก้ตัวไม่ขึ้นเอาเสียเลย รถม้าคันนี้เป็นรถม้าที่ฮ่องเต้พระราชทาน มีเพียงคันเดียวในแคว้นจื่อโจว เจ้ามุสางั้นรึ”

ไป๋เฉินเซียงศีรษะชาดิก นางไม่เคยทราบมาก่อนว่ารถม้าก็เป็นของพระราชทานได้ ไป๋เฉินเซียงยิ้มแหยพลางโบกมือพัลวัน “พี่ชาย ข้าเพิ่งมาที่เมืองหลวงครั้งแรกเลยเข้าใจผิดไป ขออภัย ขออภัยจริง ๆ ขอรับ”

ไป๋เฉินเซียงกลอกตาคิดหาทางรอดให้ตัวเอง ครั้นสำรวจชายหนุ่มที่นั่งสงบนิ่งอยู่อย่างถ้วนถี่จึงร้องขึ้นเสียงดัง “อ้อ...”

ไป๋เฉินเซียงผินหน้ากลับไปยังอีกฝ่ายที่นั่งลำคอยืดตรง “ข้าน้อยว่าคุณชายท่านนี้ดวงตาคงมีปัญหาใช่หรือไม่ พวกท่านกำลังจะออกไปหาหมอหรือขอรับ”

“บังอาจ!” บุรุษนามว่าหลีซงปรี่เข้ามาด้วยความโมโห 

ไป๋เฉินเซียงหลับตาแน่น กระบี่แวววาวคมปลาบกำลังจะหวดลงมายังศีรษะของนาง

“หลีซงอย่าใจร้อน ให้เขาพูดก่อน” เสียงทุ้มกล่าวด้วยสุ้มเสียงเย็นยะเยือก ทำให้คนที่ง้างกระบี่ต้องชะงักมือลงเดี๋ยวนั้น 

ไป๋เฉินเซียงผ่อนหายใจโล่งอกเพราะตนเพิ่งชักเท้าออกจากปรโลกได้หมาด ๆ “ขอบคุณคุณชายที่เมตตา”

ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก แม้แววตาของเขาล่องลอยกระนั้นยังโน้มตัวลงมาใกล้นาง “เจ้าเป็นบุรุษงั้นรึ”

“ขะ...ขอรับ”

คำตอบของนางทำให้คิ้วเข้มกระตุกเบา

ไป๋เฉินเซียงหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง ไม่คิดว่าตนจะดวงซวยเลือกขึ้นรถม้าผิดคัน แต่ก็นับว่าไม่โชคร้ายเสียทีเดียว เพราะรถม้าคันนี้ไม่ถูกตรวจค้นนางจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ไว้ลองหาทางเกลี้ยกล่อมคนผู้นี้ดูสักหน่อย จากการสังเกต แม้ชายตรงหน้านั้นดูองอาจทั้งยังมากไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ทว่าเขาคงไม่ใจไม้ไส้ระกำเฉกเช่นผู้ติดตามของตนกระมัง เอะอะก็จะสะบั้นศีรษะนางอยู่เรื่อย 

“ให้จัดการเขาเลยหรือไม่ขอรับ บางทีเจ้าหนุ่มนี่อาจเป็นมือสังหารหรือนักโทษหลบหนี” 

มือหยาบระคายยกขึ้น “ช้าก่อน ข้าอยากฟังเขาพูดอีกสักหน่อย”

ไป๋เฉินเซียงมองตามฝ่ามือของเขา พลันสังเกตเห็นความหยาบกระด้างบนแผ่นมือกว้าง นิ้วโป้งของเขาสวมแหวนปานจื่อหยกขาวบริสุทธิ์ หากสังเกตดี ๆ บนแหวนหยกนั่นมีการสลักลายพยัคฆ์เอาไว้ ไป๋เฉินเซียงขบคิด 

คนผู้นี้เป็นนักรบ เขาเป็นทหารหรือ คงไม่ได้เป็นแม่ทัพอีกคนกระมัง หากไม่ใช่แม่ทัพแล้วต้องยศใหญ่เพียงใดกันจึงไม่ถูกตรวจค้นรถม้าก่อนออกจากเมือง ทั้งที่ตาบอดเขายังน่าเกรงขามเพียงนี้ 

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าดวงตาข้ามีปัญหา เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ไป๋เฉินเซียงได้สติ “ข้ามองแววตาของท่าน เดิมทีก็คล้ายคนปกติ ทว่านัยน์ตาของท่านกลับเลื่อนลอยไม่คล้ายสายตาของคนทั่วไป”

ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก

“เจ้าหนุ่ม ทำราวกับตนเป็นหมอ เจ้าบอกมาเลยดีกว่า ลักลอบขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 34 ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุก (2)

    ไป๋เฉินเซียงลุกพรวด ร่างระหงตรงดิ่งเข้าหาผู้มาเยือน “ท่านแม่ทัพ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”บุรุษตัวสูงยืนนิ่งหน้าไม่เปลี่ยนสี ไป๋เฉินเซียงเขย่าแขนเขาด้วยความใคร่รู้ “ท่านแม่ทัพ ไยจึงเงียบเล่าเจ้าคะ อย่าบอกว่าใต้เท้าวูไม่ยอมรับแผนการของท่านงั้นหรือ”ไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองอีกฝ่ายตาละห้อย พริบตาถัดมานิ้วหยาบกร้านก็ดีดหน้าผากนูนเด่นเสียงดังฟังชัด“โอ๊ย!” ไป๋เฉินเซียงหน้าบูดบึ้งพลางลูบหน้าผากเพื่อคลายความเจ็บป้อย ๆ “ท่านแม่ทัพ ไยท่านต้องทำเช่นนี้อยู่เรื่อย มันเจ็บนะเจ้าคะ”“ท่านแม่ทัพงั้นหรือ ไยไม่เรียกท่านพี่แล้วเล่า”“เอ่อ…” ไป๋เฉินเซียงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ก็…อันที่จริงแล้วการแต่งงานของเราล้วนเป็นเรื่องลวงหลอก ข้าคงไม่กล้า…”“เด็กโง่ แล้ววันที่เจ้าเข้าพิธีวิวาห์กับข้าเป็นภาพลวงตางั้นหรือ”ไป๋เฉินเซียงส่ายหน้า ที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริง นางและหลานอี้ซินเข้าพิธีวิวาห์อย่างถูกต้องตามประเพณี ทว่าในตอนนั้นไป๋เฉินเซียงยังสวมรอยเป็นผู้อื่นอยู่มิใช่หรือ อีกอย่างนางและเขาก็เป็นสามีภรรยากันเพียงในนามเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ ยังไม่เคยเกิดขึ้นจ

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 34 ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุก (1)

    “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร!” เสียงชายวัยกลางคนตวาดลั่นท่ามกลางห้องโถงสองสตรีหนึ่งบุรุษนั่งคุกเข่าก้มหน้างุดสะดุ้งตัวโยน ส่วนฮูหยินวูเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง“ท่านพ่อ ท่านแม่…” วูหลิงอีเอ่ยเสียงสั่น“เจ้ายังกล้าเรียกท่านพ่อท่านแม่อีกรึ!” ใต้เท้าวูกัดฟันกรอด“ใต้เท้าวู ท่านอย่าได้ตำหนินางเลย แผนการนี้เป็นข้าที่คิดขึ้นมาเอง” ไป๋เฉินเซียงรวบรวมความกล้า จากนั้นยืดอกเพื่อยอมรับการกระทำของตนอย่างองอาจถึงอย่างไรนางก็ได้สะสางหนี้แค้นกับจูจวิ้นอี๋ไปแล้ว ส่วนหลานจิ้นถงไป๋เฉินเซียงรู้ดีว่าตนกำลังน้อยนิดจะต่อกรกับเขาอย่างไร คงต้องหวังพึ่งกฎแห่งกรรมและความยุติธรรมเสียแล้ว หากวันนี้นางต้องถูกส่งตัวเข้าคุกและโดนกุดหัวจนตายก็ไม่นึกเสียดายชีวิตอีกต่อไป“หึ!” วูจื่อหานสะบัดชายอาภรณ์เสียงดังพรึบ จากนั้นก็หย่อนกายลงนั่งด้วยความเดือดดาลฮูหยินวูเอื้อมสัมผัสหลังมือสามีแผ่วเบา ทั้งสองมองสบตากัน ฮูหยินวูส่ายหน้าเล็กน้อยประหนึ่งต้องการบอกว่าให้สามีของตนนั้นใจเย็นกว่านี้เสียหน่อยวูจื่อหานปรายตามองตัวปัญหาทั้งสามคนที่น

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 33 เพราะเหตุใด (2)

    ไป๋เฉินเซียงเห็นอีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้นก็ประหนึ่งฟ้าถล่มลงตรงหน้า “ทะ…ท่านรู้มานานเท่าใดแล้วเจ้าคะ”“ก็สักพัก”ไป๋เฉินเซียงพูดไม่ออก หลินกวางหมิงจึงเอ่ยเพื่อทำลายบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้น “แม่นางไป๋ ไม่สิ ข้าต้องเรียกเจ้าว่าสะใภ้รองหลานสินะ เจ้าทำได้อย่างไร ใบหน้าของเจ้าและอีเอ๋อร์จึงได้เหมือนกันราวกับแกะ”ไป๋เฉินเซียงยิ้มแหย “นี่เรียกวิชาแปลงโฉมเจ้าค่ะ”หลินกวางหมิงตาโต “ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”ไป๋เฉินเซียงไม่อยากพูดพร่ำทำเพลงใดอีก “อยู่เช่นนี้ข้าก็อึดอัดเหมือนกัน”วูหลิงอีเอ่ย “แม่นางไป๋ ลำบากเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า”ไป๋เฉินเซียงพยักหน้าหลานอี้ซิน “หากเจ้าอึดอัดก็ปลดวิชาแปลงโฉมนี้ออกก่อนเถิด”ไป๋เฉินเซียงมองทุกคนสลับไปมา จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง “เจ้าค่ะ”พริบตาใบหน้าจิ้มลิ้มงดงาม ก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าพริ้มเพราสะสวย หลานอี้ซินมองไป๋เฉินเซียงแทบลืมหายใจ ทั้งยังจ้องเขม็งตาไม่กะพริบไป๋เฉินเซียง “แบบนี้คง ไม่อึดอัดกันแล้วกระมัง”วูหลิงอียิ้มบาง สีหน้าของนางสลดลงพลันคว้ามือทั้ง

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 33 เพราะเหตุใด (1)

    ไป๋เฉินเซียงรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนสับสน กระนั้นก็ต้องเหลียวมองบุรุษข้างกายด้วยความฉงนเมื่อรถม้าเคลื่อนมาได้สักพักก็หยุดลง“ยังไม่ถึงจวนสกุลวูนี่เจ้าคะ”“เรามีบางอย่างต้องสะสางให้เรียบร้อยเสียก่อน”หลานอี้ซินคว้าแขนไป๋เฉินเซียงออกจากรถม้าด้วยความรวดเร็วเท้าเล็กเดี๋ยวเดินเดี๋ยววิ่งตามแรงดึง “ช้าก่อนเจ้าค่ะ เราจะไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ”“ไปถึงเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หลานอี้ซินผินหน้าไปยังหลีซงซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็น “เจ้าพาคนนำของกำนัลไปยังจวนสกุลวูก่อน บอกว่าข้ากับฮูหยินจะตามไปโดยเร็ว ฮูหยินของข้าต้องการชมความงามของธรรมชาติชั่วครู่”ไป๋เฉินเซียงกะพริบตาถี่ “ข้าอยากชมตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ ไยท่านจึงคิดเองเออเองเก่งเพียงนี้”หลานอี้ซินแสร้งเมิน “ไปกันเถิดมีเวลาไม่มาก”หลานอี้ซินใช้มือทั้งสองคว้าเอวคอดไว้แน่น จากนั้นยกร่างระหงจนตัวลอยหวือขึ้นนั่งบนหลังม้า ร่างสูงกระโจนตามไปอย่างรวดเร็วพลางโอบแขนรอบเรือนร่างบอบบางเอาไว้ ไป๋เฉินเซียงใจเต้นระรัว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาพลันซับสีแดงระเรื่อ“จับไว้ดี ๆ เล่า” ลมห

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 32 พิสูจน์ความจริงใจ

    ไป๋เฉินเซียงต้องเร่งเตรียมตัวเพื่อกลับบ้านเดิมอย่างกะทันหัน นางพยายามขบคิดหาทางออกให้ตัวเองเพราะยังไม่อยากเผชิญหน้ากับครอบครัวของวูหลิงอีอีกครั้งในยามนี้“หรือข้าต้องส่งจดหมายไปหานางกันนะ” ไป๋เฉินเซียงพึมพำเสียงเบาหลานอี้ซินรับรู้ได้ว่าสตรีข้างกายตนยามนี้กำลังเกิดความกังวล “เจ้าไม่อยากกลับบ้านเดิมหรือ”ไป๋เฉินเซียงสะดุ้ง “…เปล่าเจ้าค่ะ ข้าเอง…ข้าก็คิดถึงท่านพ่อท่านแม่มากเหมือนกัน หลายเดือนมานี้เกิดเรื่องราวมากมายข้าเลยหลงลืมไปชั่วขณะ”หลานอี้ซินพยักหน้า “เช่นนี้เอง ลำบากเจ้าแล้ว”ไป๋เฉินเซียงยิ้มแห้งขอด “ไม่เลยเจ้าค่ะ”“นอนเถิด พรุ่งนี้ต้องเร่งเดินทางแต่เช้า”จากท่วงท่านอนหงายมองเพดาน อยู่ ๆ ร่างระหงก็พลิกกายอย่างรวดเร็ว เดิมทีไป๋เฉินเซียงและหลานอี้ซินเคยนอนร่วมเตียงกันแทบจะนับครั้งได้ จมูกเชิดรั้นยื่นเข้าใกล้หูอีกฝ่ายพลางหรี่ตาลงจนแคบ ลมอุ่น ๆ ที่เป่ารินรดใบหูเป็นเหตุให้หลานอี้ซินใจเต้นระส่ำ“จะ...เจ้าเป็นอะไร”“ท่านเร่งร้อนเกินไปแล้วนะเจ้าคะ คืนนี้ข้ายังไม่รู้จะนอนหลับหรือไม่ ต้องตื่นเร็วเพียงน

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 31 เผยตัวตน

    เหตุการณ์ก่อนเดินทางไปยังเรือนหวังเหล่ย [1] “เจ้าบอกความจริงมา เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร” เสียงทุ้มตวาดลั่น สาวใช้ข้างกายของจูจวิ้นอี๋ตัวสั่น“ท่านแม่ทัพ คือ…”“หากยังอ้ำอึ้งข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้ง!”สาวรับใช้หลับตาแน่น ยามนี้นางกำลังถูกไต่สวนอย่างหนัก ร่างกายโดนทารุณสารพัดจนสภาพดูไม่จืด แขนขาห้อยต่องแต่งเพราะกระดูกแตกละเอียด“…นั่นเพราะสะใภ้ใหญ่อยากวางยาสะใภ้รองเจ้าค่ะ”หลานจิ้นถงตะคอกโกรธเคือง “ไยนางต้องทำเช่นนั้น”“ในงานวิจารณ์ภาพวาดหนก่อน สะใภ้รองทำให้สะใภ้ใหญ่ขายหน้า ครั้งนี้นางอยากเอาคืน แต่ไม่รู้เหตุใดสะใภ้รองจึงมีสติครบถ้วนไม่ถูกพิษ ทว่ากลับเป็นสะใภ้ใหญ่เองที่โดนพิษนั่น เกรงว่า…กาสุราอาจถูกสับเปลี่ยนเจ้าค่ะ”หลานจิ้นถงกำหมัดจนกายสั่นสะท้าน “บัดซบ!”ฉับ!มือหยาบกร้านตวัดดาบหนึ่งหนด้วยความเดือดดาล โลหิตสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะกำแพงเก่าสีลอกล่อน สาวใช้คนสนิทของจูจวิ้นอี๋แต่กาลก่อนถูกปลิดชีพสิ้นลมในที่สุด หากเขาไม่กำจัดนางทิ้ง เ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status