ไป๋เฉินเซียงกระชับห่อผ้าแน่นเมื่อถูกหลีซงไต่สวน นางคว้าเอาข้อแก้ต่างที่คิดได้ออกมาจนหมด “พี่ชายทั้งสอง เช่นนั้นบอกตามตรงว่าข้าน้อยไม่มีเงิน ฐานะบ้านข้าน้อยยากจนข้นแค้นยิ่งนัก เพราะข้าน้อยต้องเร่งเดินทางระยะไกลมากหากให้เช่ารถม้าเองเงินก็ไม่พอ ดังนั้นข้าน้อยเห็นรถม้าของพวกท่านทั้งวิ่งเร็วและน่าค้นหา ซ้ำยังออกจากเมืองเป็นคันแรก ก็เลยคิดว่าอยากลองขอความช่วยเหลือดูสักหน่อย บางที่พวกท่านอาจมีน้ำใจให้ข้าน้อยติดรถไปสักครึ่งทางเผื่อได้ทุ่นแรง แต่หากพวกท่านไม่สะดวก...เช่นนั้นข้าน้อยจะไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าน้อยจะเร่งลงไปบัดเดี๋ยวนี้”
ไป๋เฉินเซียงโกหกหน้าไม่เปลี่ยนสี พลางขยับร่างเพื่อออกจากความอึดอัด แต่แล้วเมื่อแหงนหน้าก็ถึงกับตาถลนเพราะกระบี่ดันพาดใกล้ลำคอเข้ามามากกว่าเก่า
“เจ้าคิดอยากมาก็มา คิดอยากไปก็ไปง่ายดายเพียงนี้เชียวรึ” หลีซงขบฟันแน่น
แสงสะท้อนจากกระบี่สาดประกายวาววับปะทะเข้าดวงตาจนเกือบมืดบอด
“หลีซง อย่าเสียมารยาท” บุรุษผู้น่าเกรงขามยังสาดน้ำเสียงใจเย็นประหนึ่งหุบเขาน้ำแข็งออกมา
“แต่หากคนผู้นี้มีปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไรขอรับ”
“จากที่เขาพูด เขาคงเป็นเพียงหนุ่มน้อยบ้านยากจนจริง ๆ ดูเหมือนว่าเสียงยังไม่แตกหนุ่มเสียด้วย จริงหรือไม่น้องชาย น้ำเสียงของเจ้าแปลกพิกลไปหน่อยกระมัง”
ไป๋เฉินเซียงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ถึงตาจะบอดทว่าหูอีกฝ่ายกลับจับพิรุธผู้อื่นได้ดุจตาเห็น “คุณชาย ท่านช่างหลักแหลมยิ่งนัก แท้จริงข้าน้อยป่วยเป็นโรคกล่องเสียงไม่สมบูรณ์แต่เด็ก เลยทำให้เสียงของข้าน้อยแปร่ง ๆ เช่นนี้ แม้ข้าน้อยอายุสิบห้าปีมันก็ไม่ยอมพัฒนาการตามตัวข้าน้อยเลย ข้าน้อยก็เลย…เอ่อ…อยากไปรักษาตัว ข้าน้อยรู้มาว่าที่วัดเฉินหลิงมีหมอหัตถ์เทวดาอยู่ เห็นว่าเขารับรักษาผู้ป่วยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ก็เลยอยากกลองไปที่นั่นขอรับ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นั่นมีหมอ” ชายหนุ่มข้องใจ อยากฟังอีกฝ่ายแถไถต่อ
คาดไม่ถึงว่าคนที่อายุน้อยปานนี้จะรู้จักวัดเฉินหลิง นานมาแล้วผู้คนล้วนโจษจันว่าที่นั่นเป็นวัดผีสิงในตำนาน เพราะวันดีคืนดีหากมีชาวบ้านหลงไปเก็บของป่าใกล้ ๆ บริเวณนั้น วัดก็โผล่ให้เห็นไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่วนใหญ่ก็วิ่งกันป่าราบเพราะคิดว่าถูกผีหลอก เนื่องจากพอเห็นแล้ววัดก็อันตรธานหายวับไปในพริบตา ชาวบ้านในพื้นที่รวมถึงคนต่างถิ่นล้วนเล่าลือเป็นเสียงเดียวกันว่าหมอหัตถ์เทวดาที่สืบทอดกันมาร้อยชั่วอายุก็เป็นเพียงนิทานหลอกเด็กเรื่องหนึ่ง
“ไม่ขอปิดบัง อันที่จริงข้าน้อยอยากไปเรียนวิชาการแพทย์ที่วัดเฉินหลิง ข้าน้อยว่าหากดวงตาคุณชายมองไม่เห็น ลองไปที่นั่นดูหรือไม่ขอรับ อ้อ…”
ไป๋เฉินเซียงควานหาบางอย่าง
“เจ้าจะทำอะไร” หลีซงไม่วางใจ เขากระชับกระบี่ในมือแน่น
“พี่ชาย ท่านระแวงเกินไปแล้ว เดิมทีข้าน้อยก็เคยศึกษาการแพทย์มาบ้าง นี่เป็นเครื่องหอมที่ข้าน้อยทำเอง ลายบนผ้าก็เป็นฝีมือของ…” ไป๋เฉินเซียงเกือบหลุดปากว่าเป็นฝีมือของตน ในเมื่อนางยังพรางตัวเป็นบุรุษ งานของสตรีเช่นนี้จะเรียกว่าทำเองได้อย่างไร
ไป๋เฉินเซียงกระแอมเบา “...ลายบนผ้างดงามประณีต ข้าน้อยรับรองมีเพียงชิ้นเดียวในโลก แม่ของข้าน้อยเป็นคนปักเองกับมือ ข้าน้อยขอมอบมันให้คุณชายท่านนี้เป็นการตอบแทนที่ไว้ชีวิต แม้ไม่อาจรักษาดวงตาของท่านได้ แต่ในยามค่ำคืน ถุงหอมใบนี้จะช่วยให้ท่านผ่อนคลาย และหลับสบายไร้กังวล”
หลีซงโพล่ง “ใครจะรู้ว่าในนี้มียาพิษหรือไม่ อย่ารับนะขอรับ”
ชายหนุ่มขยับยิ้มพราย “ข้าจะรับไว้”
ไป๋เฉินเซียงโล่งอก ดีใจไม่นานก็ถูกดับฝัน เมื่อคนที่นางคิดว่ามากน้ำใจเปล่งเสียงเข้มหนาวยะเยือกออกมาขู่ขวัญ “แต่หากของที่เจ้าให้ข้านั้นเป็นยาพิษ ข้าจะปลิดชีพเจ้าโดยไม่ทันได้ส่งเสียง”
ไป๋เฉินเซียงมองเขาตาค้าง
อำมหิต คนผู้นี้อำมหิตเกินกว่าที่ข้าจินตนาการนัก
ไป๋เฉินเซียงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เช่นนั้นข้าน้อยจะพิสูจน์ให้พวกท่านดู” มือเรียวคว้าถุงหอมที่มอบให้เขาขึ้นมาสูดดมเสียงดังฟอด
หลีซงเกิดแขยงขึ้นมา “เจ้าบอกจะมอบให้นายท่านของข้า แต่เจ้าดันดมมันไปแล้ว นี่เจ้าจงใจใช่หรือไม่”
ไป๋เฉินเซียงอยากผ่ากบาลชายหนุ่มนามว่าหลีซงดูเสียจริง ไม่รู้ว่าในศีรษะของเขาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงหรืออย่างไร จับผิดนางประหนึ่งนักโทษเดนตาย
“เช่นนั้นข้าน้อยจะเปลี่ยนให้”
“ไม่ต้อง” มือหยาบระคายแย่งถุงหอมไปจากนางดุจตาเห็น
ไป๋เฉินเซียงตะลึงลานมือแข็งค้างกลางอากาศ ความรู้สึกที่ปลายนิ้วอีกฝ่ายแตะถูกร่างมันรู้สึกแปลบปลาบไปทั่วสรรพางค์ดุจดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม
ไป๋เฉินเซียงส่ายหน้าเรียกสติ “ขออภัยที่ข้าน้อยเสียมารยาท เช่นนั้นหากข้าน้อยสำเร็จการศึกษาเป็นแพทย์ผู้เก่งกาจเมื่อใด ข้าน้อยสัญญาจะต้องรักษาดวงตาของท่านให้หายขาดเป็นแน่ ขอเพียงแค่พวกเรามีวาสนาต่อกันก็พอ ขอบคุณคุณชายที่เมตตาขอรับ”
เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ไป๋เฉินเซียงเล็งเห็นจังหวะเหมาะก็กระโดดลงทางหน้าต่าง ร่างบอบบางกลิ้งหลุน ๆ ลงไปยังพื้นสกปรกจนเนื้อตัวถลอกปอกเปิก
หลีซงสบถหัวเสีย เขาตั้งท่ากระโจนตามลงไป
“ไม่ต้องตาม”
“แต่หนุ่มน้อยนั่นอาจเป็นมือสังหารนะขอรับ”
“อย่าใจร้อน เอาของสิ่งนี้ไปตรวจสอบ เดี๋ยวก็ได้รู้ว่าเขามีปัญหาหรือไม่”
ชายหนุ่มโยนถุงหอมที่รับมาจากไป๋เฉินเซียงส่งให้หลีซง แม้เขามองไม่เห็น แต่จากน้ำเสียงและกลิ่นเครื่องหอมกระทั่งมือที่เขาสัมผัสโดนอีกฝ่ายก็แทบไม่ต้องบอกว่าหนุ่มน้อยนักต้มตุ๋นคนเมื่อครู่มิใช่บุรุษ...
หอบรรพชนตระกูลหลานควันจากธูปลอยโขมงประหนึ่งหมอกขาว ด้านหน้าเป็นที่ตั้งป้ายวิญญาณของฮูหยินสกุลหลาน“ที่แท้ท่านแม่ของท่านพี่ก็จากไปนานแล้ว ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”ในชาติก่อนไป๋เฉินเซียงเคยเป็นอนุของหลานจิ้นถงก็จริงทว่าเขาไม่เคยพูดถึงมารดาสักครั้ง หนำซ้ำยังสั่งห้ามเหล่าอนุเข้าใกล้ศาลบรรพชนอีกด้วย อาจเพราะเป็นพื้นที่หวงห้ามที่หลานอี้ซินไว้ใช้สงบใจหลานอี้ซินยิ้มขมขื่น “ท่านแม่จากไปในตอนที่ข้าเพิ่งเข้ารับราชการทหารใหม่ ๆ ในตอนนั้นข้าอายุได้สิบห้าหนาว นางป่วยหนัก ท่านพ่อก็งานยุ่งมาก ข้าได้ยินมาว่าบนหุบเขาเป็นที่ตั้งของวัดเฉินหลิงในตำนาน จึงพาท่านแม่ไปรักษาตัวที่นั่น”“แต่ที่วัดเฉินหลิงวางค่ายกลไว้แน่นหนา ท่านเข้าไปได้อย่างไร”หลานอี้ซินยิ้ม มือหยาบกร้านลูบศีรษะภรรยารักอย่างทะนุถนอม “เพราะแม่ของเจ้า”ไป๋เฉินเซียงแทบไม่อยากเชื่อหูตนเองหลานอี้ซินเล่าต่อ “ข้าเห็นรถม้าของนางจอดอยู่กลางหุบเขา ทั้งยังมีลูกน้อยที่หลับสนิทในอ้อมแขน เดิมทีนางลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าแม่ของเจ้าคุณธรรมสูงส่งเช่นเจ้าไม่มีผิด”ไป๋เฉินเซียงยิ้ม “ต้องบอกว่าข้า
ณ จวนสกุลเว่ย“เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าทั้งสองปั่นหัวข้าหรือ” เว่ยเสี่ยวเฉินหน้างอ เขาชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างหลานอี้ซินและไป๋เฉินเซียง ทั้งยังแหงนหน้ามองฟ้าดั่งหมดอาลัยตายอยาก“สวรรค์! นี่ท่านรังแกข้ามากเกินไปหน่อยแล้ว ทั้งที่ข้าพบนางในฝันก่อนเขาแท้ ๆ ทว่านางกลับเป็นฮูหยินสหายของข้า ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”หลานอี้ซินถอนหายใจ ทั้งยังกระชับอ้อมกอดบริเวณไหล่แคบแน่นขึ้น “เจ้าพล่ามพอแล้วหรือยัง ใครบอกว่าเจ้าพบนางก่อนข้า”เว่ยเสี่ยวเฉินสะบัดแขนพร้อมทำหน้าบูด “ชิ เจ้าก็พูดได้ มีฮูหยินทั้งสวยทั้งเก่ง แล้วดูข้า ต้องตาเทพธิดาคนหนึ่งทว่าเขาไม่ใช่ของเรา”“เจ้าพูดให้น้อยหน่อย เทพธิดาที่เจ้าว่านั่นฮูหยินของข้ามิใช่หรือ หากเจ้าตัดใจไม่ได้ ข้าจะพานางกลับและจะไม่มาเหยียบเรือนเจ้าอีก” เอ่ยจบหลานอี้ซินก็พยุงไป๋เฉินเซียงลุกขึ้น “ไปเถิดฮูหยิน เช่นนั้นเราไปให้คุณชายถังวาดดีกว่า ดูอารมณ์ของเขาแล้ว คงไม่อาจวาดภาพให้งดงามได้”ไป๋เฉินเซียงหัวเราะคิกคัก สามีของนางกำลังเย้าแหย่สหายไป๋เฉินเซียงกระซิบ “ท่านพี่เล่นแรงไปหน่อยกระมัง”เว่ยเสี่ยวเฉินละล้าละลัง “อย่า อ
ขุนนางในท้องพระโรงตะลึงพรึงเพริดไปตามกัน ต่างก็เหลียวมองไปยังใต้เท้าวูที่ยืนหน้าถอดสีอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เอ่ย “ท่านแม่ทัพ ไยต้องการหนังสือหย่า หากเจ้าทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเอาเปรียบสตรีตัวเล็ก ๆ หรือ นางทำเรื่องใดให้เจ้าไม่พอใจกันเล่า”หลานอี้ซินยังมีสีหน้าสงบนิ่งไร้ซึ่งท่าทางตื่นกลัว ทว่าไป๋เฉินเซียงกลับรู้สึกใจเสียไปแล้ว หากเขาต้องการหย่ากับนางไม่จำเป็นต้องทำขั้นนี้ก็ได้บรรยากาศเข้าสู่ความอึมครึม ยามนี้อารมณ์แต่ละคนต่างรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ใต้เท้าวูเองก็สนิทชิดเชื้อกับฮ่องเต้ไม่น้อย แม่ทัพไป๋หู่กำลังทำเรื่องหยามหน้าขุนนางที่ฮ่องเต้โปรดปรานเข้าให้แล้ว เกรงว่าจากที่ถูกละเว้นโทษตาย กำลังจะเกิดสถานการณ์พลิกกลับไป๋เฉินเซียงกำลังคิดเอ่ยปาก กระนั้นกลับมีเสียงทุ้มดังตัดบท “ทูลฝ่าบาท อันที่จริงเป็นความผิดของลูกสาวกระหม่อมเอง ตระกูลวูขอยอมรับเรื่องการหย่าร้างจากท่านแม่ทัพไป๋หู่พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ประหลาดใจ “ใต้เท้าวู แต่เดิมท่านเป็นคนรักศักดิ์ศรี และมีเหตุผลอยู่เสมอ ไยตอนนี้ท่านจึงยินยอมให้บุตรสาวถูกหย่าร้าง มิกลัวถูกผู้อื่นครหาหรือ”
ท้องพระโรงอันโอ่โถงของแคว้นจื่อโจววันนี้ฮ่องเต้เรียกให้ขุนนางทุกลำดับขั้นเข้าเฝ้าเพื่อร่วมยินดีกับชัยชนะจากสงครามหั่วหมิง“ใต้เท้าหลาน” เสียงครั่นคร้ามของโอรสสวรรค์ดังขึ้นหลานหมิ่นฉีสาวเท้าออกมาพลางประสานฝ่ามือและค้อมศีรษะลง “พ่ะย่ะค่ะ”“ที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้เจ้าคงทราบดี ว่าเป็นเรื่องใด”หลานหมิ่นฉีเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ยามนี้ภายในใจของเขาล้วนเต็มไปด้วยหมอกขาว กลับกลายเป็นการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เอ่ยต่อ “บุตรชายของเจ้าทั้งสองล้วนมีฝีมือ ทั้งยังสร้างผลงานอันโดดเด่นไว้มาก แต่น่าเสียดาย…”ไป๋จื่อเหิงและเหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างก้มหน้างุดแทบลืมหายใจ ถึงอย่างไรบุตรสาวคนโตของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสกุลหลาน การที่สามีอย่างแม่ทัพชิงหลงก่อกบฏ ย่อมต้องสร้างความสั่นคลอนต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เดิมไป๋จื่อเหิงหวังเกาะตำแหน่งและอำนาจของหลานจิ้นถงเพื่อขึ้นสู่ที่สูง แต่ดูเหมือนเขากำลังถูกผลักให้จมลงบ่อโคลนจนไม่อาจโผล่ศีรษะเพื่อหายใจ“ถึงอย่างไรผู้ก่อกบฏก็ได้รับกรรมตามสมควร” ฮ่องเต้ถอนหายใจ
“สรุปแล้วท่านอยากหย่าสินะเจ้าคะ แต่ก็นั่นแหละ ชะตานี้ข้าช่วงชิงมาจากผู้อื่น ย่อมสมควรที่มันจะกลับไปยังเจ้าของเดิม”หลานอี้ซินกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จมูกโด่งเป็นสันโน้มลงจรดลงบนปรางแก้มหอมกรุ่น ไป๋เฉินเซียงตะลึงลาน“เด็กโง่ คิดอะไรของเจ้า ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าลำบาก หากข้าตายไปเจ้าจะต้องอยู่เป็นหม้าย ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ ต่อไปเจ้าจะใช้ชีวิตอิสระได้อย่างไร”ไป๋เฉินเซียงกระเง้ากระงอด พลางบ่นกระปอดกระแปด “ท่านไม่ต้องมาคิดแทนข้า ชิ”“อีกอย่าง ชื่อนั่นก็ไม่ใช่เจ้ามิใช่หรือ”ในหนังสือหย่าเป็นชื่อผู้อื่นก็จริง ทว่าการแบ่งปันทรัพย์สินกลับเป็นชื่อของไป๋เฉินเซียงโดยตรง หากคนอื่นไม่รู้คงได้คิดว่านางเป็นภรรยาลับของเขาแน่แท้ไป๋เฉินเซียงสงบลง กล่าวเสียงค่อย “ก็จริง”“เจ้าลงนามแล้วหรือไม่” หลานอี้ซินถาม“แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”นางอยากจะกลั่นแกล้งเขานักว่าลงไปแล้ว อันที่จริงนางแทบเผาหนังสือหย่าเล่มนั้นทิ้งเลยต่างหาก“จะลงหรือไม่ลงก็ย่อมไม่ต่าง”ไป๋เฉินเซียงขมวดคิ้ว วาจากำกวมเช่นนี้เป็นเหตุให้นางใคร่รู้เป็นอย่างมาก
เพราะศัตรูเพลี่ยงพล้ำทั้งรับมือจากการลอบโจมตี และยังถูกงูมีพิษดาหน้าเข้าทำร้ายตลอดสองวันสองคืน ท้ายที่สุด กองทัพชิงเป่ยก็ปราชัยให้แก่ทัพของแม่ทัพไป๋หู่ แผนการที่ชิงเป่ยวางเอาไว้ตลอดหลายเดือนพังทลายภายในพริบตา เพียงเพราะการย้อนพิษร้ายคืนสนองจากฝีมือท่านหมอหวัง จะกล่าวให้ถูกต้อง ทั้งหมดเป็นแผนการและฝีมือของไป๋เฉินเซียงดูเหมือนความดีความชอบนี้คงไม่ต้องพึ่งบารมีของแม่ทัพเช่นเขาแล้วขบวนทัพเดินทางกลับแคว้นด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แคว้นชิงเป่ยยินดีทำสัญญาสงบศึกและเป็นพันธมิตรร่วมกันตลอดไป ทางแคว้นชิงเป่ยยังจะส่งของบรรณาการให้กับแคว้นจื่อโจวในทุกปีอีกด้วย“เซียงเซียง” เสียงทุ้มกระซิบเบาที่เบื้องหลังใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีชมพูระเรื่อ “เจ้าคะ”ทั้งสองนั่งอยู่บนอาชาศึกเจียวซิ่ง ขบวนเดินทางกำลังมุ่งหน้ากลับวังหลวง เหล่าทหารหลายนายเห็นภาพแม่ทัพโอบภรรยาล้วนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบางคนหน้าเผือดสีเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกแม่ทัพลงโทษที่ริอ่านไปแตะเนื้อต้องตัวฮูหยินของเขา ทั้งจับทั้งโยนเป็นว่าเล่น เกรงว่าคงไม่อาจรักษาศีรษะให้ตั้งตรงบนบ่าได้แล้วหลานอี้ซ