เมื่อร่างสูงสง่าขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง สายตาของหลี่หยวนเจ๋อก็พบกับร่างของฮ่องเต้ผู้ทรงเกียรติที่ประทับอยู่บนบัลลังก์สีทอง ภายในห้องโถงมีบรรดาข้าราชการและราชสำนักนั่งอยู่โดยรอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
“องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อลูกข้า” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นทันทีที่เขาเดินเข้ามา น้ำเสียงของพระองค์สงบนิ่งและหนักแน่น “เจ้าเตรียมตัวสำหรับการหมั้นหมายแล้วหรือไม่” องค์ชายค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ แต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง “กระหม่อมเตรียมพร้อมตามพระบัญชาของฝ่าบาทพะยะค่ะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าเล็กน้อย แววตาเข้มขรึมของพระองค์มองตรงไปที่บุตรชายของตน “นี่ไม่ใช่เรื่องของความรักหรือความต้องการส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงในราชวงศ์และแคว้น เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งนี้ในฐานะองค์ชาย” องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อรู้ดีว่าพระบิดาไม่เคยใส่ใจเรื่องความรู้สึกส่วนตัวของเขา แต่ในขณะที่เขาเงียบและยอมรับคำสั่งนี้ ส่วนลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความต่อต้าน แม้จะเป็นองค์ชาย เขาก็ยังมีความฝันและความต้องการของตัวเอง “ฝ่าบาท กระหม่อมเข้าใจถึงความสำคัญของการหมั้นหมายครั้งนี้” เขาพูดอย่างระมัดระวัง “แต่กระหม่อมเพียงขอเวลาสักหน่อย เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น” ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้ามีเวลามากพอแล้วหยวนเจ๋อ อีกไม่นานพิธีหมั้นจะเกิดขึ้น เจ้าต้องยอมรับมันและทำหน้าที่ของเจ้า” “แต่ถ้ากระหม่อมไม่เต็มใจล่ะพ่ะย่ะค่ะ” คำถามนี้หลุดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็ไม่สามารถดึงมันกลับไปได้ ทั้งห้องโถงเงียบกริบ ข้าราชบริพารหลายคนต่างเงยหน้าขึ้นมององค์ชายอย่างตกใจ ฮ่องเต้จ้องมองบุตรชายของตนด้วยสายตาที่เย็นเยียบ “เจ้าคิดว่าเจ้ามีทางเลือกหรืออย่างไร” พระสุรเสียงของฮ่องเต้กดดันและเต็มไปด้วยอำนาจ "การที่เจ้าเป็นองค์ชาย เจ้าต้องเสียสละเพื่อแคว้นและราชวงศ์ เรื่องส่วนตัวของเจ้าไม่มีความหมายเมื่อเทียบกับความมั่นคงของประเทศนี้" คำพูดนั้นทำให้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกหนาวสะท้าน แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่อาจขัดพระบิดาได้ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเงยหน้ามองพระบิดาด้วยแววตาที่หนักแน่น แม้ภายในจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่เขารู้ว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่มีทางเลือกอื่น นี่คือหน้าที่ที่ถูกวางไว้สำหรับเขาตั้งแต่วันแรกที่เขาเกิดมา สายตาคมมองแม้กระทั่งฮองเฮาผู้เป็นพระมารดาที่นั่งอยู่เบื้องบนข้างกายพระบิดายังไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ “กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” องค์ชายตอบด้วยน้ำเสียงที่สงบ แต่ในใจกลับรู้สึกกดดันและเหนื่อยล้า “กระหม่อมจะทำตามพระบัญชาของฝ่าบาท” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพอใจ “ดีแล้ว เจ้าต้องจดจำว่าเจ้าไม่ใช่เพียงลูกชายของข้า แต่เจ้าเป็นตัวแทนของราชวงศ์หลี่ หญิงจากตระกูลเหวิ่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างพันธมิตร เจ้าไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ล้มเหลว” หลี่หยวนเจ๋อรับฟังด้วยความเคารพ แม้ใจลึกๆ จะรู้สึกขมขื่น เขาไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าตระกูลเหวิ่นนั้นมีอำนาจมาก การหมั้นหมายกับเหวิ่นจือหยูไม่เพียงแต่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แต่มันเป็นการผูกมัดราชวงศ์เข้ากับผู้สนับสนุนที่สำคัญในยามที่แคว้นต้องเผชิญกับศัตรูจากภายนอก “อีกสามวันจะเป็นพิธีหมั้น” ฮ่องเต้กล่าวสรุป “เจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อม อย่าให้มีเรื่องผิดพลาดที่ไม่งามเกิดขึ้นเด็ดขาด” “รับบัญชาพะยะค่ะฝ่าบาท” องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อค้อมศีรษะรับคำสั่ง จากนั้นก็หันหลังกลับเดินออกจากห้องโถงใหญ่ ความกดดันที่หนักหน่วงตามเขาออกมาเหมือนเงาที่หลีกหนีไม่พ้น ทุกย่างก้าวของเขาหนักอึ้ง ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะเขารู้ว่าเขาต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่ได้มาจากหัวใจของตัวเอง เมื่อกลับมาถึงตำหนักของเขา หลี่หยวนเจ๋อนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ เสียงรองเท้ากระทบพื้นทำให้ห้องที่เงียบสงัดมีเสียงสะท้อนเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องมองไปยังภาพวาดภูเขาที่แขวนอยู่บนผนัง ราวกับจะหาเส้นทางที่จะหลบหนีจากสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น “ข้าจะทำยังไงดี”เขาพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกที่ถูกกดดันมานานทำให้เขาอยากจะปลดปล่อยความคิดในใจออกมา เสียงขององครักษ์ส่วนตัวดังขึ้นจากนอกประตู “องค์ชายพะยะค่ะ คุณหนูเหวิ่นจือหยูได้ส่งสารขอเข้าพบพระองค์พะยะค่ะ” หลี่หยวนเจ๋อหันมองประตูด้วยแววตาสงสัย เขาไม่เคยได้ยินเหวิ่นจือหยูขอเข้าพบเขาเองมาก่อน นางมักจะทำให้บิดาของนางพามาตลอดหรือไม่ก็ดักพบเขาข้างนอกและไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขา “ให้นางเข้ามา” เขาออกคำสั่งแม้จะไม่แน่ใจว่านางต้องการอะไร ไม่นานนัก เหวิ่นจือหยูก้าวเข้ามาในห้อง นางสวมชุดผ้าไหมเรียบง่าย สีขาวอ่อนประดับด้วยลวดลายปักด้วยมือที่งดงาม ท่าทางของนางยังคงเรียบเฉยและสงบเสงี่ยมเช่นเดิม แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ถวายบังคมองค์ชายเพคะ” วาดรวีในร่างของเหวิ่นจือหยูกล่าวพร้อมคำนับอย่างนอบน้อม “ลุกขึ้นเถิด เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้า” เขาถามตรงไปตรงมา ไม่ได้แสดงท่าทางเป็นมิตรหรือเย็นชา เหวิ่นจือหยูยืนขึ้นตรง นางมองตรงไปที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อด้วยดวงตาที่แน่วแน่ “ข้าแค่อยากถามองค์ชายเพคะ... ท่านต้องการการหมั้นหมายครั้งนี้จริงๆ หรือไม่” คำถามตรงๆของเหวิ่นจือหยูทำให้องค์ชายผู้หยิ่งและเย็นชาอย่างหลี่หยวนเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่คาดคิดว่านางจะกล้าถามเรื่องนี้ตรงๆ ขนาดนี้ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจที่เห็นเหวิ่นจือหยูไม่ใช่หญิงสาวที่เคยทำตัวอ่อนแอใช้มารยาหญิงเก่งและไม่กล้าหาญต่อหน้าเขาเหมือนที่เขาเคยเข้าใจ “เจ้าถามเพราะเหตุใด สมใจเจ้าแล้วนี่” เขาย้อนถาม นัยน์ตาเขาสำรวจนางอย่างลึกซึ้ง เหวิ่นจือหยูสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างต้องการที่จะระงับอารมณ์ก่อนตอบ “ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ต้องการข้า ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการการหมั้นหมายนี้เช่นกัน มันเป็นเพียงข้อบังคับทางการเมือง แต่ข้าคิดว่าเราอาจจะหาทางออกที่เหมาะสมกว่านี้ได้” คำพูดนั้นทำให้หลี่หยวนเจ๋อต้องคิดลึกขึ้นอีกครั้ง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เหวิ่นจือหยูมองเขาด้วยความตั้งใจ “ข้าเพียงอยากจะบอกท่านว่า หากท่านต้องการหาทางออก ข้ายินดีที่จะช่วยเหลือ เราอาจจะสามารถทำบางสิ่งเพื่อให้การหมั้นนี้ล้มเหลว โดยไม่ทำให้ตระกูลของเราถูกตำหนิได้ ข้าไปล่ะ”พูดจบเหวิ่นจือหยูก็เดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อมองตามนางด้วยความประหลาดใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิด นางไม่ใช่หญิงสาวที่เขาเคยรู้จัก เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในตระกูลเหวิ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดในแคว้น ตระกูลนี้มีลูกสาวสองคนจากแม่ต่างฐานะ ลูกสาวคนโตคือ เหวิ่นจือหยู ซึ่งเป็นบุตรสาวของภรรยาเอก ส่วนลูกสาวคนเล็กคือ "เหวิ่นลี่หยา" ซึ่งเกิดจากภรรยารอง แม้ทั้งสองจะเป็นพี่น้อง แต่ความสัมพันธ์ของพวกนางกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งและความริษยา โดยเฉพาะเรื่องขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ ผู้เป็นคู่หมั้นของเหวิ่นจือหยู เหวิ่นจือหยู แม้จะเป็นบุตรสาวคนโต แต่กลับมีนิสัยเย่อหยิ่ง อวดดี และไม่ค่อยเคารพใคร บางครั้งก็เกรี้ยวกราดโมโหร้ายเวลาโดนขัดใจ เหวิ่นจือหยูชอบการแต่งตัวสวยงดงาม ไม่ชอบเล่าเรียนหาความรู้ ไม่ชอบการทำงานบ้านงานเรือนเยี่ยงสตรีชั้นสูงต้องทำ นางได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีในฐานะบุตรสาวของภรรยาเอก ทำให้นางเชื่อว่าตัวเองเหนือกว่าน้องสาวคนเล็กที่เกิดจากภรรยารองเสมอ นางถูกกำหนดให้เป็นคู่หมั้นขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นและการไม่ใส่ใจต่อความรู้สึกของผู้อื่น หลี่หยวนเจ๋อจึงไม่เคยชื่นชอบนาง แต่นางก็ชอบที่จะหาเรื่องมาคลอเคลียเขาเพื่อที่จะเขาชนะน้องสาวเสมอ เหวิ่นลี่หยา น้องสาวของเหวิ่นจือหยู กลับตรงกันข้ามกับพี่สาวโดยสิ้นเชิง นางเป็นหญิงสาวที่มีลักษณะเป็นกุลสตรีอย่างแท้จริง มีความอ่อนโยนและเรียบร้อยเสมอ การกระทำทุกอย่างของเหวิ่นลี่หยาถูกควบคุมและจัดการด้วยความระมัดระวัง นางรู้วิธีทำให้ทุกคนรอบตัวประทับใจ โดยเฉพาะองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ แม้เหวิ่นลี่หยาจะไม่ใช่คู่หมั้นอย่างเป็นทางการ แต่เธอกลับมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับองค์ชายมากกว่าเหวิ่นจือหยูด้วยความที่นางมักจะอยู่ใกล้ชิดและพยายามเข้าหาองค์ชายเสมอ ทำให้หลายครั้งองค์ชายรู้สึกว่านางมีความน่าชื่นชมในแบบที่เหวิ่นจือหยูไม่เคยมี การที่นางทำตัวเป็นกุลสตรีอย่างเคร่งครัดและพูดคุยด้วยความอ่อนโยน ทำให้หลี่หยวนเจ๋อเริ่มสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องถูกบังคับให้หมั้นหมายกับพี่สาวที่เขาไม่ชอบ ขณะเดียวกัน เหวิ่นลี่หยาก็มักจะใช้โอกาสนี้เข้าหาองค์ชายหลี่หยวนเจ๋ออย่างสุภาพ นางพูดจาด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวลและแสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อเขาเสมอ ทำให้หลายครั้งหลี่หยวนเจ๋ออดเปรียบเทียบระหว่างพี่น้องคู่นี้ไม่ได้ น้องสาวผู้เรียบร้อยและอ่อนโยน กับพี่สาวที่หยิ่งผยองและไม่เคยเห็นหัวใคร ทำไมไม่ให้เขาหมั้นกับเหวิ่นลี่หยาแทน แต่คำพูดเหลิ่นจือหยูเมื่อครู่เหมือนไม่เเคร์ไม่อยากจะหมั้นหมายกับเขาทำเอาองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อตั้งตัวไม่ทัน นางสมองกลับแล้วหรือไร ปกติแข่งขันกับน้องสาวแทบเป็นเเทบตายที่จะได้อยู่ใกล้เขา แต่วันนี้นางพูดเหมือนกับว่าไม่อยากหมั้นกับเขาแล้วนี่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงแสดงท่าทางที่เย่อหยิ่ง ไม่แยแสให้เขาสนใจอีกเป็นแน่ในช่วงเช้า ขณะที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อกำลังเดินอยู่ในสวนของวัง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม สายตาจับจ้องไปยังดอกไม้ที่ผลิบาน ทว่าในใจกลับว้าวุ่นด้วยความคิดถึงเรื่องงานหมั้นและคำพูดของว่าที่คู่หมั้นเหวิ่นลี่หยาได้เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ นางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนจะกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“ถวายบังคมองค์ชายเพคะ ท่านพี่จือหยูมาเข้าเฝ้าที่ตำหนักหรือไม่เพคะ” นางถามด้วยแววตาที่แสดงถึงความห่วงใยหลี่หยวนเจ๋อเหลือบตามองนางเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะ “นางไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าไม่ได้พบเหวิ่นจือหยูมาหลายวันแล้ว”เหวิ่นลี่หยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “หม่อมฉันคิดว่านางอาจจะยุ่งกับการเตรียมตัวสำหรับพิธีหมั้น หม่อมฉันเองก็ไม่ค่อยได้พบพี่จือหยูเช่นกัน หม่อมฉันหวังว่านางจะมาเข้าเฝ้าองค์ชายที่นี่ เลยลองตามมาเพคะ แม้ไม่ได้เจอกันนานหวังว่านางจะสบายดี”คำพูดของนางจะเต็มไปด้วยความห่วงใยต่อพี่สาว หลี่หยวนเจ๋อรับรู้ได้ถึงความต่างกันในน้ำเสียงของนาง เหวิ่นลี่หยาเป็นคนที่พูดจาอ่อนหวานอ่อนโยน และมีท่าทีที่แสดงออกถึงความอ่อนน้อมเสมอ ต่างจากเหวิ่นจือหยูที่มักจะทำตัวแข็งกระด้างราวกับไม่ยินดียินร้ายกับใคร และไม่เค
“ข้าคิดว่าถ้าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้าแทนเหวิ่นจือหยู ทุกอย่างคงจะง่ายขึ้นมาก…”เพียงคำพูดเดียวนี้ หัวใจของวาดรวีก็ปั่นป่วนทันที ความเสียใจผสมปนเปกับความรู้สึกหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี เธอรู้ดีว่าองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อไม่เคยมีใจให้เหวิ่นจือหยูเลยตั้งแต่ต้น แต่การได้ยินเขาชื่นชมเหวิ่นลี่หยาน้องสาวต่างมารดาของเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความสนิทสนม กลับทำให้วาดรวีในร่างนี้รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เธออยากหนีออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้านี้ อยากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับองค์ชายและเหวิ่นลี่หยา เธอคิดอยากจะถือในศักดิ์ศรียกเลิกงานหมั้นงานแต่งนี้เสียเองก็คงดี แต่ในขณะเดียวกัน เธอรู้ว่าตนเองหนีไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ วาดรวีคือเหวิ่นจือหยู คู่หมั้นที่ถูกกำหนดมาแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าจะหลีกทางให้เหวิ่นลี่หยาที่ดูท่าแล้วอยากได้ตำแหน่งนี้ ก็คงสมใจนางและเฉียนอี้หรงผู้เป็นมารดาที่คอยยุยงให้ลูกสาวแก่งแย่งทุกอย่างจากเหวิ่นจือหยู คอยใส่ร้ายให้คิดอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเหวิ่นจือหยูร้ายกาจ ในขณะที่เหวิ่นลี่หยาสวมบทคุณหนูรองผู้ใสซื่อและอ่อนโยนโดนเธอกระทำเมื่อกลับถึงจวนด้วยความรู้สึกหน่วงในหัวใจ วาดรวีในร
เย็นวันนั้น เหวิ่นลี่หยาตัดสินใจครั้งใหญ่ นางตรงไปยังตำหนักขององค์ชาย หลี่หยวนเจ๋อ ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ในใจนางหวังเพียงว่า การแสดงออกถึงความใส่ใจและความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม จะทำให้พระองค์เห็นว่านางเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นคู่หมั้นอย่างที่องค์ชายเคยหลุดปากอยากเปลี่ยนคู่หมั้นออกมาตอนคุยกัน และเหมาะสมเพียงใดสำหรับตำแหน่งพระชายาเมื่อไปถึงเพียงแต่นางก้าวถึงหน้าประตูตำหนัก เสียงสนทนาภายในขององค์ชายกับท่านกงกงผู้รับใช้ใกล้ชิด ก็สะกิดให้หัวใจของเหวิ่นลี่หยาสะท้าน นางหยุดยืนฟังอย่างเงียบเชียบที่หน้าประตูโดยไม่ให้ใครรู้ตัว“องค์ชาย ท่านมีความเห็นอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงของคุณหนูเหวิ่นจือหยูที่ได้รับฟังมา” เสียงของ กงกง ผู้รับใช้ใกล้ชิดดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจนัก” หลี่หยวนเจ๋อตอบเสียงเบาที่ฟังดูครุ่นคิด “นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ หลังจากอุบัติเหตุ ข้าไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใด แต่ข้ารู้สึกว่าเหวิ่นจือหยูในตอนนี้แตกต่างจากนางในอดีตอย่างสิ้นเชิง นางสงบและอ่อนโยนขึ้น ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจที่จะอยู่ใกล้นาง”คำว่า “สบายใจ” คำนี้ทำให้หัวใจของเหวิ่นลี่หยาสั่นไหว
“พี่จือหยู ข้าขอสารภาพบางอย่างกับท่าน...” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่มีนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าท่านจะพยายามมากแค่ไหน บางคนก็ไม่อาจลบความรู้สึกไม่ชอบในอดีตไปได้” วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูนั้นชะงักเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวด้วยความงุนงง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ลี่หยา” เหวิ่นลี่หยาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะขยับเข้าใกล้พี่สาว “องค์ชายหลี่หยวนเจ๋ออย่างไรล่ะ ข้าไม่อยากบอกท่านหรอกนะ แต่ข้าเคยได้ยินองค์ชายพูดกับท่านกงกงหลี่ซือ ท่านอยากฟังไหมว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร” วาดรวีขมวดคิ้วแน่น นางรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยามีแผนการซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดนี้ แต่ไม่อาจหักห้ามความอยากรู้ได้ “เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่ บอกมาให้ชัด” “พระองค์ตรัสว่า แม้ท่านจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองแค่ไหน พระองค์ยังคงไม่ชอบท่าน และยังมองว่าท่านเป็นคนร้ายกาจ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม”วาดรวีรู้สึกว่าคำพูดนั้นทำให้หัวใจนางกระตุกขึ้นมา แม้ว่านางจะเป็นคนที่มั่นคงและใจเย็นกว่าเหวิ่นจือหยูเดิม แม้จะรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยามีเจตนา
“ถ้าเช่นนั้น ก็เชิญองค์ชายไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลฝ่าบาทเพื่อขอเปลี่ยนตัวคู่หมั้นให้เป็นตามที่ท่านต้องการเถิด”เหวิ่นจือหยูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา “ขะ ข้าต้องการใครเจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร”องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยทันที วาดรวีลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะพูดต่อ “อ้าว ทำไมองค์ชายถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ แบบนี้น้องลี่หยาของหม่อมฉันก็จะเสียใจแย่เลยนะเพคะ อุตส่าห์วาดหวังไว้ อีกอย่างก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสตรีที่พระองค์ต้องการเป็นคู่หมั้นคงไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นน้องลี่หยาของหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “พี่จือหยู ทำไมท่านพูดเช่นนี้ น้องไม่ได้จะแย่งองค์ชายจากพี่ น้องเสียใจ” เหวิ่นลี่หยาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ทำเสียงสั่นเครือ เหมือนจะร้องไห้ แต่ทว่าดวงตาของนางกลับฉายแววพึงพอใจลึกๆ ในใจนั้นแอบดีใจที่เหวิ่นจือหยูผู้หญิงที่เก็บอารมณ์ไม่ได้ ประกาศออกมาชัดเจนต่อหน้าองค์ชายว่าไม่อยากหมั้นหมาย คำพูดนั้นทำให้องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อถึงกับนิ่งงัน ก่อนที่เหวิ่นจือหยูจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “เชิญองค์ชายกับน้องลี่หย
พิธีหมั้นจัดขึ้นในพระราชวังอย่างสมพระเกียรติ บรรยากาศเต็มไปด้วยความหรูหราและกลิ่นอายแห่งอำนาจ เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงจากทั่วทั้งราชสำนักต่างมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานสำคัญนี้ เหวิ่นจือหยูนั่งเคียงข้างองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ รู้สึกเหมือนตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในห้องโถงใหญ่ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อนั่งนิ่งขรึม ราวกับกำแพงน้ำแข็งที่ไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกซึมผ่านได้ ดวงตาเย็นชาของพระองค์มองทอดไกล ไม่แยแสกับทุกสิ่งรอบตัว ท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งขรึมนี้ เหวิ่นจือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับบนบ่า โดยเฉพาะสายตาของเหวิ่นลี่หยาที่นั่งอยู่ไม่ไกล ส่งผ่านความหมายบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อมองมาที่เหวิ่นจือหยูผ่านหางตา เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ความเย็นชาแผ่กระจายออกมาจากร่างสูง ทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอึดอัดอย่างมาก เหมือนถูกทิ้งไว้กลางพายุหิมะ พิธีหมั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นตามแผนราชประเพณีที่ถูกกำหนดไว้ แต่ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น เหวิ่นลี่หยาลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ บรรยากาศเงียบงันลงอย่างกะทันหัน เหวิ่นลี่หยายิ้มหวานและ
“ทำไมทุกอย่างถึงกลับตาลปัตรไปเช่นนี้” เหวิ่นลี่หยาคิดในใจอย่างเคียดแค้น ปลายนิ้วจิกลงในฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ ความไม่พอใจและความริษยาแล่นพล่านไปทั่วร่างราวกับเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ นางไม่เคยคิดเลยว่าพี่สาวอย่าง เหวิ่นจือหยู จะได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้แต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ เหวิ่นลี่หยามั่นใจว่านิสัยเกรี้ยวกราดและเอาแต่ใจของพี่สาวจะทำลายโอกาสนี้ไปเอง แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไม่เพียงแค่การหมั้นหมายสำเร็จเท่านั้น แต่ยังมีพระราชโองการให้เร่งจัดงานแต่งงานให้เร็วขึ้นอีก ทุกอย่างราวฟ้าผ่าลงมากลางใจ เหวิ่นลี่หยาก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่ควรเป็นของนางถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตา นางเดินวนไปมาภายในเรือนพัก ริมฝีปากบางกัดแน่นเพื่อต้องการสะกดกลั้นความคับแค้นใจ “ทำไมถึงต้องเป็นเหวิ่นจือหยู ทำไมนางถึงได้รับทุกอย่าง ทั้งๆ ที่นางไม่สมควรได้รับ เพียงเพราะนางเป็นลูกภริยาเอกเท่านั้นเองหรือ” ความริษยาเกาะกินใจจนใบหน้าที่เคยอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว นางพึมพำต่อหน้ากระจกบานสูง “นางไม่สมควรได้เป็นพระชายา ไม่สมควรได้ครอบครององค์ชายแม้แต่น้อย” เสียงของนาง
ในอีกด้านหนึ่ง เหวิ่นจือหยูยังคงรู้สึกกังวลกับพระบรมราชโองการที่ทรงมีคำสั่งให้จัดงานแต่งงานอย่างเร่งด่วน นางพยายามหาทางออกจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ทางเลือกของนางก็ยิ่งแคบลง เหวิ่นจือหยูต้องเผชิญกับความกดดันจากองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ พระคู่หมั้นที่ประกาศออกมาชัดเจนว่าไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับนาง แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธรับสั่งของฮ่องเต้ได้ ในขณะที่ทั้งคู่ต่างต้องทรมานจากการแต่งงานที่ไม่เต็มใจ และทุกข์ทรมานจากการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ตัวเหวิ่นจือหยูไม่เท่าไหร่เพราะวาดรวีรู้ว่าจือหยูคนเดิมแอบชอบพอองค์ชายอยู่ แต่องค์ชายนี่ซินอกจากจะไม่ได้ชอบพอกับจือหยูคนเดิมเเล้วยังบอกว่าเกลียดคนนิสัยเช่นนางด้วยซ้ำ เหวิ่นจือหยูถอนหายใจยาว ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ นางหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา เขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นตัวอักษรจีนที่สง่างาม ราวกับกำลังใช้การเขียนเป็นวิธีการระบายความเครียดและความกังวลที่ทับถมอยู่ในใจ “ข้าควรทำอย่างไรต่อไป” นางพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะที่มองตัวอักษรที่เขียนเสร็จแล้ว ในขณะที่เหวิ่นจือหยูครุ่นคิด เสียงเคาะประต
เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างฮองเฮากับเหวิ่นจือหยูยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ฮองเฮาค่อยๆ สอนเหวิ่นจือหยูในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่การปักผ้า การทำอาหาร การบ้านการเมือง ไปจนถึงการปฏิบัติตัวในฐานะพระชายาที่ดี เหวิ่นจือหยูซึมซับบทเรียนเหล่านี้อย่างตั้งใจ แม้บางครั้งจะรู้สึกกดดันแต่หัวใจของนางกลับอบอุ่นขึ้น นางไม่เคยได้รับความรักและคำแนะนำเช่นนี้จากใครมาก่อนในช่วงเวลาที่นั่งเรียนรู้ข้างๆ ฮองเฮา บางครั้งผู้เป็นหวงโฮ่วก็จะตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้ามีเจ้าก็เหมือนมีลูกสาวเพิ่มอีกคน ข้าดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นไท่จื่อเฟย”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอบอุ่น นางโค้งศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันจะพยายามให้มากกว่านี้เพคะ”ฮองเฮามองนางด้วยสายตาเอ็นดู นางเอื้อมมือจับมือของเหวิ่นจือหยูเบาๆ ก่อนพูดต่อ“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าทำได้ดีแล้ว และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง สิ่งสำคัญคือความอดทนและความตั้งใจ”คำพูดนั้นกระทบใจเหวิ่นจือหยู นางไม่เคยคิดว่าผู้สง่างามและสมบูรณ์แบบเช่นฮองเฮาเคยผ่านความยากลำบากและช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้เช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกถึงความหวังและกำลังใจที่ฮองเฮามอ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร นางอ่านตำรา ขีดเขียนจดบันทึกถึงสิ่งที่นางได้ศึกษาจากตำราด้วยความตั้งใจ แม้ดวงตาจะเริ่มล้า แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่นางกำนัลประจำตำหนักเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับค้อมตัวโค้งคำนับ“พระชายาเพคะ ฮองเฮามีรับสั่งให้ท่านไปพบที่ตำหนักหลินเฟยเพคะ”เหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ แม้จะอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจึงถูกเรียกตัวแต่เช้า แต่ก็มิได้แสดงท่าทีกระวนกระวาย นางรวบรวมตำราให้เป็นระเบียบก่อนจะพยักหน้าให้สาวใช้เตรียมชุดให้เรียบร้อยตำหนักหลินเฟยของฮองเฮา ภายในตำหนักหลวงโอ่อ่า สง่างาม แต่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่กดดันเพียงเล็กน้อย เหวิ่นจือหยูสูดลมหายใจเข้า พยายามรักษาท่าทีสงบ ขณะเดินตามนางกำนัลไปยังห้องรับรองที่ฮองเฮารออยู่ฮองเฮาประทับอยู่บนตั่ง ในท่วงท่าสง่างาม ดวงเนตรคมกริบทอดมองมายังเหวิ่นจือหยู แต่ภายในกลับเต็มไว้ด้วยความอ่อนโยน รอยแย้มสรวลเล็กน้อยปรากฏบนพระพักตร์“มาเถิด พระชายา มานั่งกับข้านี่มา” เสียงตรัสอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้เหวิ
“ข้าไม่เคยถามเจ้ามาก่อน แต่ข้าอยากรู้ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับการที่พี่สาวของเจ้ากลายมาเป็นพระชายาของข้า”เสียงขององค์รัชทายาทดังขึ้นอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ลึกซึ้งแฝงไปด้วยความหมาย คำถามที่เหมือนจะแค่ไถ่ถามทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไรเหวิ่นลี่หยาเผลอเบิกตากว้างไปชั่วขณะ แต่ก็รีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกที่ตื่นตระหนกของตน นางบังคับตัวเองให้ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทด้วยแววตาอ่อนหวาน“หม่อมฉันยินดีกับพี่จือหยู เพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปั้นให้จริงใจ และเต็มไปด้วยความยินดีนางทอดถอนใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “พี่จือหยูนั้น ถึงแม้นางจะนิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ แต่นางก็สมควรได้รับมันอยู่แล้วเพคะ เพราะนางเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ ต่างจากหม่อมฉัน ที่เป็นเพียงลูกอนุภรรยา”คำพูดของนางเต็มไปด้วยความน้อยใจ รู้สึกว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรมกับตนเอง หลี่หยวนเจ๋อจ้องมองนางนิ่งไม่พูดแทรกแม้แต่น้อยเหวิ่นลี่หยาเห็นเขาเงียบไป นางเข้าใจว่าเขากำลังครุ่นและคิดตามที่ตนต้องการ จึงก้าวเข้าไปใกล้ น้ำเสียงของนางอ่อนหวานลง“องค์รัชทายาทเพคะ ท่านเองก็ทรงทราบดีมิใช่หรือเพคะ ว่าพี่จือหย
ยามบ่ายนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงขนนกกระเรียนขีดเขียนลงบนกระดาษ เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร ท่ามกลางตำราโบราณที่เปิดกางอยู่เต็มโต๊ะ นางก้มหน้าจดจ่อกับตัวอักษรจีนโบราณที่เรียงรายอยู่บนกระดาษ ขณะวาดแบบแผนของสถาปัตยกรรมจีนยุคโบราณอย่างพิถีพิถันแม้การออกแบบและคำนวณเชิงโครงสร้างจะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับตอนเป็นวาดรวี แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ นางสามารถอ่านและเขียนภาษาจีนโบราณได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นางไม่มีพื้นฐานความรู้นี้เลยแม้แต่น้อย“หรือว่านี่จะเป็นพรจากการที่ข้ามาอยู่ในร่างนี้” เหวิ่นจือหยูพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ลากเส้นบาง ๆ ลงบนกระดาษอย่างไตร่ตรอง ในขณะเดียวกัน นางก็ใช้ภาษาที่คุ้นเคยที่สุด ภาษาอังกฤษ จารึกตัวอักษรเล็ก ๆ กำกับลงไปในจุดสำคัญของแผนผัง เพื่อให้มั่นใจว่าความคิดของตนจะปลอดภัยจากสายตาผู้อื่นความปรารถนาที่จะใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและการออกแบบของตนเพื่อปรับปรุงตำหนักหรืออาคารบางแห่งในวังให้ดีขึ้น ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงนางเข้ากับโลกเดิม และอาจเป็นก้าวแรกที่ทำให้นางสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกใบใหม่นี้ได้โดยไม่สูญเสีย
“แล้วเจ้าได้เรียนรู้เรื่องการทำอาหารหรือการบ้านการเรือนไปบ้างหรือไม่”คำถามของฮองเฮาทำให้เหวิ่นจือหยูนิ่งไปชั่วขณะ ในนามของวาดรวี นางเป็นวิศวกรที่เคยชินกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ ไม่เคยสนใจเรื่องงานบ้านหรือการทำอาหารมาก่อน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ในสถานะพระชายาในราชสำนักทำให้นางรู้ดีว่านี่เป็นคุณสมบัติสำคัญของสตรีในราชวงศ์“เอ่อ หม่อมฉันยังคงเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นอยู่เพคะ” เหวิ่นจือหยูตอบอย่างระมัดระวัง พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุดฮองเฮาทรงยิ้มบาง รอยยิ้มของพระนางเต็มไปด้วยความเมตตา “ไม่ต้องกังวลไป การเป็นพระชายาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ หากเจ้าต้องการ ข้าก็ยินดีจะช่วยสอน”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้ภายในใจยังรู้สึกประหม่าก็ตาม “ขอบพระทัย ที่เมตตาหม่อมฉันเพคะ”ฮองเฮาทรงยิ้มก่อนที่จะหันไปทางข้าหลวงและสั่งให้จัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร “ข้าคิดว่าเรามาเริ่มเรียนรู้จากสิ่งเล็ก ๆ ก่อนแล้วกัน วันนี้เราจะทำอาหารกัน ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีการทำอาหารบางอย่างที่ง่าย ๆ แต่เหมาะสมสำหรับการเป็นแม่ศรีเรือน อาจช่วยให้เจ้าเข้าใจความสำคัญของการดูแลบ้านเรือนยิ่งข
หวิ่นจือหยูใช้เวลาหมกตัวอยู่ในห้องอักษรแทบทุกวัน นางจมอยู่กับตำราจีนโบราณที่กองสูงเต็มโต๊ะ เสียงแผ่วเบาของกระดาษที่ถูกพลิก และเสียงพู่กันลากไปบนกระดาษคือเพียงสิ่งเดียวที่ขับกล่อมห้องที่เงียบสงบนี้“ถ้าจะอยู่ที่นี่ เราต้องเข้าใจมันให้มากที่สุด” นางพึมพำกับตัวเอง พลางจรดพู่กันลงบันทึกข้อสังเกตเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ไม่มีใครอ่านออก นางไม่ได้ศึกษาเพียงเพื่อความรู้ แต่กำลังวิเคราะห์กลไกสังคมยุคนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดและอาจพลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ในอนาคตแม้จะมีหน้าที่ในฐานะพระชายาที่ต้องรับผิดชอบ แต่ในแต่ละวันเหวิ่นจือหยูกลับเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ในห้องอักษร มากกว่าจะไปปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นหลี่หยวนเจ๋อหรือเหล่าข้ารับใช้คนอื่นๆหลี่หยวนเจ๋อเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพระชายา นางไม่เอาแต่ติดตามเขาเหมือนแต่ก่อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจ และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่นางสมควรอยู่เคียงข้างเขา“แปลกจริง นางกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่” เขาครุ่นคิดในใจ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่นัยน์ตาของเขาแฝงความระแวงอยู่เสมอ แม้จะไม่เชื่อว่านางจะเปลี่ยนไปโดยไม่มีเหตุผล แต่เขาก็เลือกที่จะเ
ภาพของ เหวิ่นจือหยู ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจ ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาเคยบอกเขาไว้โดยสิ้นเชิง นางไม่ได้ดูเป็นคนที่ใส่ใจแต่เรื่องการแต่งกายหรือหลงใหลในความหรูหราอย่างที่เขาเคยได้ยินมาเลยหลี่หยวนเจ๋อ นึกถึงคำพูดของเหวิ่นลี่หยาที่เคยบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า“พี่จือหยูของข้า นิสัยหยิ่งยโส สนใจแต่ความงามของตนเอง ไม่เคยสนใจการบ้านการเรือน องค์ชายคงไม่ชอบหรอก หากต้องอยู่กับนาง”เหวิ่นลี่หยาพูดเหมือนรู้จักพี่สาวของนางดี แต่สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเหวิ่นจือหยูที่นั่งตรงหน้าดูสงบนิ่ง เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้หยิ่งผยอง เกรี้ยวกราด หรือสนใจแต่เปลือกนอกอย่างที่เหวิ่นลี่หยาเล่าให้ฟัง ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขาหรือเขาอาจเข้าใจนางผิดไปโดยสิ้นเชิง“เจ้าชอบอ่านตำราหรือ” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความสงสัยเหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาคู่นั้นมองตรงมาราวกับท้าทายให้เขาคิดให้ถี่ถ้วน“ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ ได้ยินอะไรมาล่ะ”คำถามกลับยิ่งทำให้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกสะอึกเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ค
ในช่วงเวลาที่ เหวิ่นจือหยู เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในตำหนักรัชทายาท ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่หยวนเจ๋อ ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน รัชทายาทหนุ่มยังสร้างระยะห่างโดยมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องงานเพื่อหลบหน้านาง ทั้งทำงานจนดึก หรือบางครั้งกลับมาตำหนักก็หลับไปโดยไม่สนใจถามไถ่พระชายาเลย เหวิ่นจือหยูกลายเป็นเพียงเงาในชีวิตของเขา ความเฉยเมยนั้นค่อย ๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆแม้ไม่มีความอบอุ่นจากสามี แต่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของพระชายาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับในราชสำนัก โดยการเข้าร่วมงานพิธีตามหน้าที่ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา หยางซูเจิน ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อผู้เป็นพระสวามีฮองเฮาหยางซูเจินเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีอำนาจและบทบาทสำคัญในราชสำนัก แม้ในตอนแรกนางจะจับตามองเหวิ่นจือหยูด้วยความสงสัย เพราะรู้ว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่พอใจพระชายา แต่เมื่อได้พบปะพูดคุย ฮองเฮากลับพบความจริงที่แตกต่างออกไป นางสังเกตเห็นถึงความสงบเสงี่ยม ความอดทน และความอ่อนโยนในตัวลูกสะใภ้ ซึ่งไม่เหมือนกับคำกล่าวหาที่เคยได้ยิน
งานเลี้ยงต้อนรับพระชายาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท้องพระโรงหลวง แขกเหรื่อมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานต่อจากการเข้าพิธีสมรสขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและพระชายาเหวิ่นจือหยู บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมและเสียงสนทนาเจือจางเมื่อร่างสูงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงพร้อมพระชายา ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่ทันที ความสง่างามของหลี่หยวนเจ๋อที่แผ่รัศมีความเยือกเย็น น่าเกรงขามดุจเพทพเจ้า ในขณะที่พระชายาเหวิ่นจือหยูก็ไม่ได้น้อยหน้า นางสวมอาภรณ์สีอ่อนปักลวดลายอย่างวิจิตร บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง ทุกย่างก้าวของนางเปี่ยมไปด้วยความสง่างามราวกับเทพธิดาท่ามกลางสายตาของแขกผู้ใหญ่และข้าราชบริพารที่มองมายังทั้งคู่ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะเหวิ่นจือหยูที่เป็นที่จับจ้องมากกว่าตาราวกับทุกสายกำลังประเมินพระชายาขององค์ชาย เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระลอก“พระชายาช่างงามล่มเมืองจริง ๆ”“ดูเถิด นางงามสมฐานะองค์ชายยิ่งนัก”เหวิ่นจือหยูยิ้มรับทุกคำชมอย่างสงบนิ่ง นางรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวต้อนรับ มิใช่สิ่งที่จริงใจเสมอไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังต้องรักษาท่า