ตอนที่
8
วุ่นวายไม่หยุด
เสียงเครื่องปรับอากาศในห้องประชุมดังแต่ก็ยังไม่ดังเท่าเสียงโต้เถียงที่คุ้นเคย บรรยากาศยังคงมีความตึงเครียดเบา ๆ ระหว่างสองหัวหน้าทีมที่เพิ่งผ่านศึกใหญ่จากงานแฟร์นวัตกรรม
ภาคภูมิยืนอยู่หน้าจอฉายภาพกราฟและตารางข้อมูล เขาชี้ไปที่ตัวเลขแสดงสถิติผู้เข้าชมและผลตอบรับทางเทคนิคอย่างจริงจัง
“จากข้อมูลที่รวบรวมมา ผู้เข้าชมสนใจในนวัตกรรมอย่างชัดเจนนะครับ ซึ่งเป็นผลมาจากประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของผลงาน” น้ำเสียงของภาคภูมินิ่งจริงจัง
ปรายฟ้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างขัดใจ เธอรอให้ภาคภูมิพูดจบแล้วลุกขึ้นพร้อมนำเสนอภาพถ่ายบูธที่เต็มไปด้วยผู้คนและข้อความชื่นชมจากโซเชียลมีเดีย”
“สำหรับการออกแบบและประชาสัมพันธ์เราก็ประสบความสำเร็จเช่นกันค่ะ จากผลสำรวจก็พบว่าผู้เข้าชมส่วนใหญ่ประทับใจบรรยากาศของงานและบอกว่าบูธสวยงามดึงดูดสายตา ทำให้อยากเดินเข้าไปที่บูธไ
เมื่อนำเสนอจบทั้งคู่ก็จ้องมองตากันเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
“ถ้าไม่มีนวัตกรรมที่ดีแล้วจะเข้ามาดูอะไรครับ” ภาคภูมิเปิดประเด็นขึ้นมา
“แต่มีแต่นวัตกรรมแต่บูธจืดชืดใครจะเดินเข้ามาดูล่ะคะ” ปรายฟ้าสวนกลับทันควัน
ทั้งสองกำลังเริ่มเปิดประเด็นโต้เถียงกันอีกครั้งและดูเหมือนว่าจะไม่มีท่าทีจะลดน้อยลงและก่อนที่เสียงโต้เถียงจะดังลั่นกว่าเดิม อาจาย์ก็รีบเข้ามาขัดจังหวะด้วยรอยยิ้มกว้างแต่แววตานั้นจริงจังมาก ๆ
“เอาล่ะ ๆ ทุกคนต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันแต่อย่างน้อย ๆ ผลงานเมื่อรวมกันแล้วมันก็ยอดเยี่ยม” อาจารย์กล่าวพลางมองหน้าของภาคภูมิสลับกับปรายฟ้า
“ด้วยเหตุนี้ทางมหาวิทยาลัยจึงมีโปรเจกต์ใหม่ที่สำคัญยิ่งกว่าเดิม และจำเป็นต้องใช้ความสามารถของพวกคุณทั้งสองคนมาร่วมทำงานกันอีกครั้ง”
ปรายฟ้าอ้าปากค้างส่วนภาคภูมิถึงกับนิ่งไป ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาบ่งบอกถึงความรู้สึกหนักใจ
“หมายความว่าอย่างไรคะอาจารย์” ปรายฟ้าถามเสียงเบา ๆ อย่างสงสัย
“เราจะจัดทำโปรเจกต์ ‘มหาวิทยาลัยสีเขียว’ ขึ้นมา ซึ่งจะรวมการนำเสนอนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” อาจารย์เริ่มอธิบายในสิ่งที่ปรายฟ้าสงสัย
“และอาจารย์ก็อยากให้ภาคภูมิกับปรายฟ้าร่วมกันทำโปรเจกต์นี้ในฐานะหัวหน้าโปรเจกต์ร่วมกัน”
“นี่อาจารย์ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมคะ” ปรายฟ้าถามย้ำใบหน้าบ่งบอกถึงหายนะที่กำลังจะมาถึง
“อาจารย์ไม่มีเหตุผลใดต้องล้อเล่น แต่อาจารย์คิดว่านี่คือโอกาสที่ดีที่พวกคุณทั้งสองจะได้ทำงานด้วยกันอย่างแท้จริง”
ทั้งภาคภูมิและปรายฟ้าหันมาสบตากันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างเห็นความรู้สึกเดียวกันในดวงตาของอีกฝ่าย คือความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ราวกับโชคชะตากำลังเล่นตลกที่จะต้องวนเวียนอยู่กับคนที่ไม่เข้าใจกันสุด ๆ อีกครั้ง
หลังเลิกประชุมปรายฟ้ารีบเดินออกมาระบายอารมณ์กับมีนาและกัสที่รออยู่หน้าห้อง ใบหน้าของเธอบ่งบอกถึงความปวดหัวอย่างรุนแรง
“แกเชื่อไหมว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการชนกับมนุษย์น้ำแข็งนั่นอีก แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือการที่ต้องทำงานด้วยกัน นี่มันฝันร้ายชัด ๆ” ปรายฟ้าพูดขึ้นมาอย่างใช้อารมณ์เพราะเธอไม่ชอบภาคภูมิเอาซะเลยยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งไม่ชอบมากขึ้นเท่านั้น
“ใจเย็น ๆ ก่อนปราย” มีนาพยายามบอกให้เพื่อนใจเย็น ๆ และมีสติ
“ก็คงไม่แย่ไปกว่าเดิมมั้งแก” กัสเอ่ยขึ้นมาอีกคน
“ไม่แย่กว่าเดิมอะไร แค่รายงานผลงานแฟร์นายนั่นยังเอาแต่อวยตัวเองอยู่ได้” ปรายฟ้าบ่นไม่หยุดด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดมาก ๆ
“แต่ก็ดีนะปราย แกจะได้ฝึกความอดทนไง” กัสแซวขำ ๆ
“แกน่ะอยู่ฝั่งใครกันแน่กัส”
“ก็ต้องอยู่ฝ่ายแกสิเพื่อนแต่ก็แค่แซว ๆ อ่ะไม่อยากให้แกต้องคิดมาก” กัสพูดแล้วก็ทำหน้าหงอย ๆ เมื่อเพื่อนของเธอไม่ได้อารมณ์ดีไปด้วย
ในเวลาเดียวกันภาคภูมิที่เดินออกมาจากห้องประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก็ถูกชัยวัฒน์และณัฐพลเดินเข้าตบไหล่ปลอบใจปนแซว
“โอ๊ย!!! ไอ้ภูมิโดนจับคู่กับสาวสวยอีกแล้วเหรอวะ” ชัยวัฒน์แซวเพื่อน
“งานนี้คงมีเรื่องให้แกปวดหัวแน่นอนภูมิ”
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าอาจารย์คิดอะไรอยู่” ภาคภูมิพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“ทำไมต้องเป็นปรายฟ้าปรายดินอะไรนั่นด้วย”
“ก็เขาว่าน้ำกับไฟรวมกันมันก็ระเบิดไงภูมิ” ณัฐพลพูดติดตลก “แต่ถ้าควบคุมได้มันก็สร้างพลังงานนะ”
ภาคภูมิถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ระเบิดแน่นอนงานนี้” เขาก้มมองเอกสารโปรเจกต์ใหม่ในมืออย่างไม่สบอารมณ์ เขายังคงมองว่าปรายฟ้าความวุ่นวายที่เขาต้องเจอในชีวิตและมันทำลายพลังงานในตัวของเขามาก ๆ
เย็นวันนั้นปรายฟ้า เดินออกมาจากห้องสมุดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด มือถือเอกสารโปรเจกต์ใหม่ เธอพยายามทำความเข้าใจกับโปรเจกต์ใหม่นี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอไม่ถนัดเอาเสียเลย เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับขยี้ผมอย่างหงุดหงิด
“โอ๊ย!!! ทำไมมันซับซ้อนขนาดนี้นะ แค่เรื่องต้นไม้”
ในจังหวะเดียวกันนั้น ภาคภูมิก็เดินสวนมาพอดี เขาก็เพิ่งออกมาจากห้องสมุดเช่นกัน มือถือหนังสือวิชาการเล่มหนาหลายเล่ม และดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอย่างหนักจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว
สายตาของทั้งคู่ประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ปรายฟ้ารีบหลบตา ส่วนภาคภูมิก็ทำเป็นไม่เห็น เดินเลยไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุ
แต่แล้วภาคภูมิ ก็หยุดชะงักฝีเท้า เขาเหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ ที่มีรูปการ์ตูนต้นไม้ยิ้มแฉ่งวาดอยู่ พร้อมสูตรเคมีเกี่ยวกับดินที่เขียนโย้เย้หล่นอยู่ตรงทางเดินที่ปรายฟ้าเพิ่งเดินผ่านไปเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้มลงหยิบมันขึ้นมา
เขามองกระดาษแผ่นนั้นครู่หนึ่ง แววตาแฝงความไม่เข้าใจในความวุ่นวายของเธอ แต่ริมฝีปากก็แอบกระตุกยิ้มบางๆ อย่างไม่มีใครเห็น ราวกับว่าความวุ่นวายเล็กๆ นี้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย
“เขาจะรู้ไหมนะว่าฉันกำลังปวดหัวกับเรื่องของเขาอยู่เนี่ย!” ปรายฟ้า คิดในใจพลางถอนหายใจแรง ๆ เธอหันกลับไปมองแผ่นหลังของ ภาคภูมิที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ
ส่วนภาคภูมิเมื่อเดินพ้นจากปรายฟ้าไปไม่กี่ก้าวเขาก็แอบเหลียวหลังกลับไปมองเธอเล็กน้อย เห็นเธอยังคงยืนขยี้ผมตัวเองและบ่นงึมงำกับหนังสือในมือ เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“วุ่นวายไม่หยุดจริง ๆ ยัยคนนี้” แต่เขาก็กำกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่มีรูปต้นไม้ยิ้มแฉ่งในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
การต้องมาเป็นหัวหน้าโปรเจกต์ร่วมกัน ทำให้ทั้งภาคภูมิและ ปรายฟ้า ต้องเข้ามาพัวพันในชีวิตของกันและกันมากกว่าที่เคยเป็นมา และนั่นก็หมายถึงความวุ่นวายที่ยังคงจะดำเนินต่อไป พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่อาจจะก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ โดยที่พวกเขาไม่ทันได้รู้ตัว
ตอนที่15ความห่วงใยที่ซ่อนอยู่ ช่วงบ่ายแก่ ๆ หลังเลิกเรียนภาคภูมิและปรายฟ้ากำลังช่วยกันขนอุปกรณ์และเอกสารเข้าห้องทำโปรเจกต์ ลมพัดแรงมาก ๆ และพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ท้องฟ้าที่เคยสดใสเมื่อเช้าตอนนี้กลับมืดครึ้มอย่างรวดเร็ว“โอ๊ย!!! ทำไมอากาศมันเปลี่ยนเร็วอย่างนี้เนี่ย” ปรายฟ้าบ่นอุบเงยหน้ามองท้องฟ้า“ท่าทางฝนจะตกแน่เลย”“รีบขนของดีกว่าครับ” ภาคภูมิพูดเสียงเรียบแต่ก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เขาช่วยเธอถือกล่องอุปกรณ์หนัก ๆ โดยไม่บ่นไม่ทันที่ทั้งคู่จะไปตึกทำงานเม็ดฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มโปรยปรายลงมา ก่อนจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นพายุฝนกระหน่ำอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าร้องครืน ๆ ดังสนั่น“กรี๊ด!!! ฝนตกหนักเลย” ปรายฟ้าร้องเสียงดัง เธอพยายามวิ่งหลบฝนแต่ไม่ทัน เสื้อผ้าเปียกปอนไปหมดในพริบตาภาคภูมิเองก็เปียกไปทั้งตัวเช่นกัน เขาไม่ได้บ่นอะไรเพียงแต่ใช้ตัวบังปรายฟ้าไว้เล็กน้อย พยายามให้เธอเปียกน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขารีบดึงมือของปรายฟ้าให้เข้าไปในอาคารด้วยกันเพื่อหลบฝนทั้งคู่ยืนสั่นเทาด้วยความหนาวอยู่ใต้อาคาร สายตาของปรายฟ้ามองไปที่ภาคภูมิที่ยืนเปียกโชกไปทั้งตัวเช่นกัน ผมของเขาเปียกแนบใบหน้า เสื้อเชิ้ตส
ตอนที่14ตัวแปรความรู้สึก ช่วงบ่ายที่คณะนิเทศศาสตร์เสียงหัวเราะสดใสของปรายฟ้าดังคลอเคลียไปกับเสียงของรุ่นพี่ภูมิพัฒน์ รุ่นพี่สุดฮอตจากภาควิชาศิลปะการแสดงที่แอบชอบปรายฟ้ามานาน เขากำลังยืนเท้าแขนกับโต๊ะที่ปรายฟ้านั่งทำงานใต้ร่มไม้พลางยื่นถุงขนมให้กับเธอ“ปรายฟ้าเหนื่อยไหมครับ พักกินขนมก่อนนะ นี่ขนมร้านโปรดพี่เลยนะ” ภูมิพัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล รอยยิ้มละลายใจสาวทำให้เพื่อน ๆ ที่อยู่บริเวณนั้นแอบมองกันเป็นตาเดียว“โอ๊ย!!! พี่พัฒน์ขอบคุณมากเลยค่ะ ไม่น่าลำบากเลย” ปรายฟ้ารับถุงขนมมาด้วยรอยยิ้มสดใส“ไม่ลำบากเลยครับ ถ้าเป็นปรายฟ้าพี่เต็มใจเสมอ” ภูมิพัฒน์พูดพลางยื่นมือไปปัดเศษผมที่ปรกหน้าปรายฟ้าอย่างอ่อนโยน“ว่าแต่ช่วงนี้เห็นปรายฟ้าทำงานโปรเจกต์หนักจังพักผ่อนบ้างนะพี่เป็นห่วง”ในจังหวะนั้นเอง ภาคภูมิที่เดินถือเอกสารเข้ามาในห้องทำงานพอดี สายตาของเขาเหลือบไปเห็นภาพตรงหน้าเข้า สายตาที่เคยเรียบเฉยตอนนี้มีความไม่พอใจเล็กน้ย เขากระแอมเบา ๆ เพื่อให้ภูมิพัฒน์และปรายฟ้าหันมามองเขา“เอกสาร” ภาคภูมิพูดเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับวางเอกสารบนโต๊ะแรงกว่าปกติเล็กน้อย“โอเค” ปรายฟ้าตอบภาคภูมิพร้อมกับหันไปมองเล็ก
ตอนที่ 13 วันหยุดแต่ไม่หยุดใกล้กันเช้าวันเสาร์ที่เงียบสงบผิดปกติของมหาวิทยาลัย ปรายฟ้าลากสังขารมายังห้องทำงานโปรเจกต์ ใบหน้ายังคงงัวเงียเล็กน้อย แต่พอเห็นกองเอกสารและอุปกรณ์วางรออยู่บนโต๊ะก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่“โอ๊ยวันหยุดทั้งทีทำไมไม่หยุดพักนะ” เธอพึมพำกับตัวเองไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออกภาคภูมิเดินเข้ามาพร้อมกองเอกสารอีกปึกใหญ่ ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยตามปกติ แต่ในมือมีแก้วกาแฟร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น“มาเช้าเหมือนกันนะครับ” ภาคภูมิพูดขึ้นเบาๆ วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ“ก็งานมันเยอะนี่นา” ปรายฟ้าตอบ“แถมยังต้องเตรียมงานสำหรับกิจกรรมใหญ่เดือนหน้าอีก”บรรยากาศในห้องเงียบกว่าปกติ มีเพียงเสียงพลิกกระดาษและเสียงกดปากกาเบา ๆ ปรายฟ้า รู้สึกได้ว่ามันไม่เหมือนตอนที่เพื่อน ๆ อยู่กันพร้อมหน้า เธอเงยหน้าขึ้นมองภาคภูมิที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ“นี่ นายไม่เบื่อบ้างเหรอ” ปรายฟ้าเอ่ยขึ้น“ทำแต่งานทำแต่ตัวเลข”ภาคภูมิเงยหน้าขึ้นมอง “ไม่เบื่อ”“โหชีวิต” ปรายฟ้าส่ายหน้า“ฉันล่ะเบื่อแทน”“แล้วปกตินายทำอะไรตอนวันหยุด” ภาคภูมิถามกลับอย่างไม่คิดอะไร“ก็ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวกับเพื่อน ช็อปป
ตอนที่12กิจกรรมที่วุ่นวายแต่สนุก เช้าวันเสาร์แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาปลุก ปรายฟ้าให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวตุบ ๆ เธอพยายามลืมตาก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเอง“โอ๊ย ปวดหัวจัง” เธอพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างหงุดหงิด ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผับค่อย ๆ ฉายชัดขึ้นในหัว โดยเฉพาะภาพที่ภาคภูมิกับหญิงสาวคนนั้นที่เข้ามาเกาะแกะ ความรู้สึกไม่ชอบใจยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจอย่างประหลาดมือถือของเธอสั่นครืด ชื่อมีนาเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ“ฮัลโหล” ปรายฟ้ารับสายด้วยเสียงงัวเงีย“ปรายแกตื่นยังเนี่ย ปวดหัวเหมือนกันเลยใช่ไหม” เสียงมีนาเจื้อยแจ้วมาตามสาย“เมื่อคืนสนุกมากเลยนะ โดยเฉพาะตอนที่แกทำหน้าบูดใส่ใครบางคนน่ะ”ปรายฟ้าถอนหายใจ “พอเลยมีนา ไม่ต้องมาแซวเลย” ปรายฟ้าพูดพร้อมลุกขึ้นไปหยิบน้ำมาดื่ม“แล้วไอ้สองคนนั้นล่ะ กัสกับพลกลับถึงหอกันหรือเปล่า”“ถึงดิ เห็นพลดูแลกัสดี๊ดี พาไปส่งถึงหอเลยนะแก น่ารักอ่ะ” มีนาพูดด้วยน้ำเสียงชวนฝัน“นี่แหละนะ คู่แท้ไม่ต้องพูดเยอะ แค่มองตาก็รู้ใจ”ปรายฟ้ากรอกตา”เพ้อเจ้อ ไปหาอะไรกินแก้แฮงค์ดีกว่า ฉันหิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”“เออ ๆ เดี๋ยวไปหาที่ห้อง ขออาบน้ำแต่งตัวก่อนไว้ไปหา” มีนาบอกกับปรา
ตอนที่11เจอกันบ่อยไปไหม เสียงจอแจในโรงอาหารอื้ออึง ปรายฟ้ากำลังหอบถาดข้าวแกงเดินหาที่นั่ง แต่ไม่มีโต๊ะว่างเลยสักโต๊ะ เหลือเพียงมุมเล็ก ๆ ที่มีภาคภูมินั่งอยู่คนเดียว ทำให้เธอตัดสินใจเดินตรงเข้าไปทันที“ขอนั่งด้วยคนนะ” ปรายฟ้าพูดขึ้นเบา ๆ พลางมองหากัสและมีนาที่กำลังซื้ออาหารเพราะเธอจะได้เรียกเพื่อนของเธอมานั่งด้วยภาคภูมิพยักหน้าเล็กน้อย แล้วก้มหน้ากินข้าวต่อเหมือนไม่ใส่ใจปรายฟ้านั่งลงตรงข้ามกับเขา วางจานข้าวลงบนโต๊ะพลางชำเลืองมองภาคภูมิที่ดูจริงจังแม้กระทั่งตอนกินข้าว เธอเห็นกัสและมีนากำลังเดินถือจานข้าวมาทางนี้พอดี จึงรีบกวักมือเรียกอย่างร่าเริง“นี่กัส มีนา มานั่งนี่สิ โต๊ะนี่ว่างไกัสกับมีนาหันมามองก่อนที่สายตาจะไปหยุดที่ภาคภูมิที่นั่งอยู่กับปรายฟ้า ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่มเดินตรงมาที่โต๊ะ“โอ๊ย!!! ตายแล้วปรายฟ้า มานั่งกินข้าวกับนายภาคภูมิได้ไงเนี่ย” มีนากระซิบกัสแต่เสียงดังพอให้ทั้งโต๊ะได้ยิน“นั่นสิ ฉันว่าแล้วเชียวทำไม ปรายฟ้าถึงชอบโรงอาหารเวลานี้” กัสแซวต่อพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรายฟ้าหน้าแดงเล็กน้อย “พวกแกสองคนนี่ก็นะ ฉันแค่ไม่มีที่นั่งเฉย ๆ หรือพวกแกจะไม่นั่งล่
ตอนที่10แตกต่างและเหมือนจะแตกแยก ห้องประชุมเล็ก ๆ เต็มไปด้วยเอกสารตัวเลขและสีสันสดใสปรายฟ้า วาดภาพกิจกรรมเวิร์คชอปศิลปะรีไซเคิลอย่างกระตือรือร้น“เราจะจัดเวิร์คชอปทุกวันศุกร์ค่ะ มีสอนทำโมบายจากขวดพลาสติก มีทำกระถางต้นไม้จากรถยนต์เก่า แล้วก็มีประกวดไอเดียแต่งสวนจิ๋วด้วย” ปรายฟ้าพรีเซนด้วยแววตาเป็นประกาย“รับรองว่านักศึกษาสนุกแน่ ๆ ค่ะ” ภาคภูมิวางเครื่องคิดเลขบนโต๊ะเสียงเบา ๆ แต่สะท้อนความจริงจัง“งบประมาณที่เรามีจำกัดนะ กิจกรรมที่คุณเสนอมันใช้งบสูงเกินไปมาก” เขาชี้ไปที่ตารางงบประมาณ “ค่าวัสดุ ค่าวิทยากร และค่าอีกหลายอย่าง สองเดือนงบก็หมดแล้วครับ”“แต่มันจะดึงดูดคนได้เยอะนะคะ” ปรายฟ้ายืนกราน“แค่ปลูกต้นไม้อย่างเดียวใครเขาจะอยากมาดู” “งบประมาณต้องสมเหตุสมผลครับ” ภาคภูมิสวนกลับ“ถ้าเราจัดกิจกรรมใหญ่เดือนละครั้ง แต่มีคุณภาพดีเยี่ยมไม่ดีกว่าหรือครับ”การถกเถียงเรื่องตัวเลขกับความสร้างสรรค์ยังคงดำเนินไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ ณัฐพลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ถอนหายใจ ส่วนกัสก็แอบจดเอาไว้เงียบ ๆ สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องยอมประนีประนอมกัน“เฮ้อ!!! ในที่สุดก็จบลงได้สักที” ปรายฟ้าบ่นอุบเมื่อก