เมื่อถึงเพนท์เฮ้าส์หญิงสาวก็รีบเปิดประตูรถและวิ่งขึ้นห้องนอนทันที เพื่อหนีหน้าชายหนุ่ม เพราะตอนนี้เธอไม่อยากคุยและมองหน้าเขาเป็นอย่างมาก
ปัง!!!
เธอปิดประตูห้องนอนอย่างเสียงดัง และคลุกตัวอยู่หลังโซฟาในห้องนอนภายในห้องมืดๆ โดยมีเพียงแสงไฟด้านนอกสลัวๆ ที่สาดส่องเข้ามา เธอร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจที่ชายหนุ่มเอาแต่ด่าทอและต่อว่าเธอ แถมยังทำร้ายคนอื่นไม่มีเหตุผลอีก
แกร๊ก!! แอ๊ดดดดด!!
หญิงสาวได้ยินเสียงเปิดประตูก็ตกใจอีกครั้ง เสียงหัวใจของเธอเต้นรัวดังกลองเพล ‘นี่เขาใช้กุญแจสำรองไขเข้ามาทำไมกัน??’
“ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีดีนะพลอยใส” ชายหนุ่มยืนกอดอกมองมาที่เธอที่นั่งซ่อนเขาอยู่หลังโซฟา
“...”
“ถ้าวันนี้ไม่พูดกันให้รู้เรื่อง อย่าหวังว่าต่อไปนี้จะได้ออกไปไหนอีก”
“ฮึก ฉันไม่อยากคุยกับนาย และนายมีสิทธิ์อะไรมาสั่งหรือห้ามฉัน”
เธอเงยหน้าขึ้นมาตะโกนต่อว่าชายหนุ่ม
พรึ่บ!!!
“ว๊ายยยยย!!”
จู่ๆ ร่างบางที่นั่งอยู่ข้างโซฟาก็ลอยขึ้นเหนือพื้นไม่ทันได้ตั้งตัว และเมื่อเธอได้สติก็ปรากฏว่าตอนนี้เธอได้นั่งอยู่บนขาแกร่งของเรียวตะที่นั่งอยู่บนโซฟาเสียแล้ว โดยมีมือหนารั้งเอวเอาไว้ไม่ให้เธอขยับตัวไปไหน
“นี่นาย ปล่อยฉันนะ จะทำอะไรของนาย” หญิงสาวพยายามดิ้นออกจากตัวชายหนุ่มแต่ก็ไม่เป็นผล เหมือนยิ่งดิ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรัดเธอแน่นมากขึ้นเท่านั้น แถมตอนนี้ชุดเดรสของเธอที่เป็นเดรสกระโปรงก็ร่นขึ้นมาจนไม่สามารถปิดบังด้านล่างของเธอได้เลย มีเพียงแพนตี้ตัวจิ๋วที่มันช่วยปกปิดเอาไว้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอทั้งโกรธทั้งอาย ถ้าเขาเปิดไฟในห้อง เธอคงอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเลยล่ะ
“หยุดดิ้นได้แล้วพลอยใส” ชายหนุ่มพูดทุ่มด้วยน้าเสียงต่ำออกมา
“นายก็ปล่อยฉันลงสิ”
“พูดกันให้รู้เรื่องก่อนแล้วฉันจะปล่อยเธอไป”
“ไม่ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคนนิสัยเถื่อนๆ กับนาย”
“...”
“นายมันเอาแต่ใจ และเห็นแก่ตัว พรุ่งนี้เช้าฉันจะย้ายออกจากกที่นี่”
“ไม่มีทาง ถ้าฉันไม่ได้สั่งเธอไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน เราเป็นแค่เพื่อนกัน”
“หึ เธอลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อกับแม่ของเธอ ให้ฉันดูแลเธอ”
“ฉันโตแล้ว ไม่ต้องการมาให้ใครดูแล”
“อวดเก่ง”
“ใช่ ฉันอวดเก่ง และต่อไปนี้ห้ามยุ่งกับพี่ไรอันด้วย”
“ที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ คือไม่ได้ฟังกันเลยใช่ไหม” เขาเค้นน้ำเสียงต่ำลงเมื่อหญิงสาวพูดถึงไรอันอีกครั้ง
ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาและต่อสายไปยังลูกน้องเขาทันที
“เซย์จิ มึงจัดการไอ้หมอนั่นซะ”
“กรี๊ดดด ไม่นะ อย่าทำอะไรพี่ไรอันนะ” หญิงสาวกรีดร้องออกมาทั้งน้ำตา และรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เมื่อเธอเผลอขัดคำสั่งชายหนุ่ม ถึงเขาจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ แต่ทว่าความเป็นผู้นำ ความเก่ง เพอร์เฟค ทุกอย่างเธอนั้นสู้เขาไม่ได้เลย เมื่อเทียบกับเขา เธอเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดาทั่วไปเพียงเท่านั้น
“เธอ กำลังทำให้ฉันหงุดหงิด”
“ฮึก ฉันขอโทษ นายอย่าให้ลูกน้องนายไปทำร้ายพี่ไรอันเลยนะ” หญิงสาวร้องไห้ออกมาและยกมือไหว้ขอโทษเขา ในขณะที่เธอกำลังนั่งคร่อมอยู่บนตักแกร่ง
“อ้อนวอนฉันเพื่อมันอย่างนั้นเหรอ??”
“เรียวตะ พลอยใสขอโทษนะ ต่อไปนี้พลอยใสจะเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งเรียวตะทุกอย่างเลย ปล่อยพี่ไรอันไปเถอะนะ” หญิงสาวพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบชายหนุ่ม เพื่อให้เขานั้นใจอ่อน
“ถ้าเธออยากให้มันรอด ก็อ้อนวอนฉันสิ”
“เรียวตะอยากให้พลอยใสทำอะไร” เธอถามออกมา เพราะเวลาโกรธเขามักจะมีข้อต่อรองเสมอๆ อย่างเช่นต้องไปดูหนังเป็นเพื่อนเขา หรือไปทานข้าวกับเขาที่ข้างนอก หรือไม่ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเขา แต่ทว่าครั้งนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดหรือเตรียมใจไว้เลยแม้แต่น้อย
“จูบฉัน”
“ตะ แต่เราจูบกันไม่ได้”
“ทำไม ก็เธอรักฉันไม่ใช่เหรอ??”
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เป็นเพื่อนกัน จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
“เธอไม่รักฉันแล้ว??” เรียวตะพูดทวนคำถามออกมา
“ชะ ใช่ฉันไม่ได้รักนายแล้ว หัวใจของฉันไม่มีไว้ให้นาย ตั้งแต่วันที่นายปฏิเสธฉันไปในวันนั้นแล้วล่ะ”
“หึ งั้นก็จูบกันโดยไม่ต้องรักกัน”
“ฉันทำไม่ได้”
“ทำไม??”
“ฉันจะจูบกับคนที่ฉันรักเท่านั้น”
“รักไอ้หมอนั้นอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันรู้สึกดีกับเขา และฉันคิดว่าถ้าคบกับไรอันแล้วฉันมีความสุข”
“น้ำเน่า”
“หัวใจด้านชาอย่างนาย ไม่มีวันเข้าใจความรักหรอก ว่ามันสวยงามขนาดไหน”
“ฉันไม่แคร์ และตอนนี้ฉันสั่งให้เธอจูบฉัน”
“มะ ไม่ ฉันทำไม่ได้”
“ทำได้สิ ฉันสั่งเธอก็ต้องทำ ไม่งั้นไอ้หมอนั่นตาย”
“ระ เรียวตะ นายมันใจร้ายที่สุด ฮึก” เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง และค่อยๆ ใช้มือเรียวทั้งสองของเธอยกขึ้นประคองใบหน้าของชายหนุ่มเอาไว้ หลังจากนั้นก็โน้มใบหน้าของเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ เข้าไปหาเขา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอนั้นคงจูบกับเขาอย่างง่ายดาย แต่ทว่าตั้งแต่ตอนนั้นที่เรียวตะปฏิเสธเธอ เธอก็ปฏิญาณตนเอาไว้ว่าจะไม่ชอบเรียวตะอีกต่อไป
แต่ทว่าตอนนี้เธอต้องทำตามคำสั่งของเขา เพื่อให้พี่ไรอันนั้นปลอดภัย เพราะมาเฟียอย่างเขานั้นพูดคำไหนคำนั้น
ริมฝีปากของเธอค่อยๆ โน้มประกบเข้ากับริมฝีปากของชายหนุ่มช้าๆ
เมื่อริมฝีปากชิดกันหญิงสาวก็ผละริมฝีปากออกทันที
จุ๊บ!!
“ฉันจูบนายแล้ว พอใจนายแล้วยัง”
“แบบนี้เขาไม่ได้เรียกว่าจูบ”
“ถ้าไม่เรียกว่าจูบเขาเรียกว่าอะไรล่ะ”
“จูบกันเขาทำแบบนี้” ชายหนุ่มพูดจบก็ดึงใบหน้าของหญิงสาวเข้ามาหาเขาทันที และประกบจูบเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนเธอนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว
“อุบ อือออ”
หญิงสาวพยายามจะผละใบหน้าออกจากชายหนุ่มแต่ทว่าเธอไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย เขาจูบเธอและค่อยๆ ใช้ลิ้นแทรกเข้าไปในโพรงปากของเธอและสำรวจในโพรงปาก เนิ่นนานหลายนาทีจนเธอนั้นหายใจไม่ทัน จึงต้องเอามือทุบที่หน้าอกของเขา
ตุ่บ.. ตั่บ.. ตุ่บ.. ตั่บ..
“อึกก อือออ” เขาผละริมฝีปากออกจากเธอเพื่อให้เธอนั้นได้อากาศหายใจเข้าไปในปอด
และไม่นานเขาก็จู่โจมจูบเข้าไปที่ปากของเธออีกครั้ง
“อือ อือออออ อ่อย (ปล่อย) นะ อือออ”
“จุ๊บ อืออออ”
มือของเรียวตะ อีกข้างเริ่มเลื่อนสำรวจตามตัวของหญิงสาว และเลื่อนมาหยุดตรงหน้าอกและบีบคั้นไปที่หน้าอกของเธอเบาๆ และเริ่มลงน้ำหนักมือขึ้นเรื่อยๆ จนหญิงสาวเคลิ้มตาม และร้องเสียงครางออกมา
“อือออออ เอียวอะ (เรียวตะ)”
สามเดือนผ่านไป....งานวิวาห์ของเรียวตะและพลอยใสถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตที่โรงแรมห้าดาวกลางเมืองของหญิงสาวแขกมากหน้าหลายตาก็มาร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวภายในห้องโถงใหญ่ถูกตกแต่งประดับไปด้วยดอกทิวลิปหลากสีและมีเสียงเพลงบรรเลงชวนหน้าหลงใหลใบหน้าของหญิงสาวถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางราคาแพงดูสดใสและละมุนในเวลาเดียวกัน ผมของเธอถูกเกล้าขึ้นสูงและประดับด้วยมงกุฏเพชรสีเงินส่องแสงระยิบระยับ ส่วมใส่ชุดเจ้าสาวสีขาวปาดไหล่ปักด้วยคริสตัลเผยสัดส่วนด้านบนโชว์เอาคอดกิ่วของเธอ และกระโปรงบานไล่ระดับเลเยอร์ฟูฟ่องทำให้ดูเหมือนเจ้าหญิงในนิยายเธอเดินยิ้มหวานควงแขนผู้เป็นพ่อเดินมายังหน้าเวที หลังจากนั้นคุณดนัยก็ยืนมือหญิงสาวส่งต่อให้กับชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าสามีของเธออย่างถูกต้องตามกฎหมายนับตั้งแต่นี้ไป นั่นก็คือเรียวตะ ที่กำลังยืนรอรับเจ้าสาวส่วมชุดทักซิโด้สีดำ ยื่นมือมารับมือหญิงสาวที่เขาคิดถึงตลอดเวลาจากผู้เป็นพ่อของเธอ“ต่อจากนี้ไปพ่อขอฝากลูกสาวคนเดียวของพ่อให้กับเรียวตะดูแลด้วยนะ สัญญาได้ไหมว่าจะดูแลเธออย่างดีเหมือนที่พวกเราดูแลและเลี้ยงดูเธอมา” คุณดนัยพูดออกมาต่อหน้าชายหนุ่ม“ผมสัญญาครับ ต่อจากนี้
ณ ประเทศมัลดีฟส์...รุ่งเช้าพลอยใสและเรียวตะก็เดินทางไปยังสนามบินและบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวไปยังประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีพื้นที่ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการังจำนวนมากในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อมาถึงสนามบินก็เดินทางมายังท่าเทียบเรือและตรงไปยังที่พักที่ตั้งอยู่ในทะเลภายในที่พักเป็นวิลล่าขนาดไหนที่มองเห็นวิวทะเลน้ำสีฟ้าสดใสและมองเห็นพระอาทิตย์ตกในยามเย็น ภายในห้องตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ภายในห้องนอนสามารถมองเห็นวิวทะเลได้อย่างเต็มตาและภายนอกหน้าระเบียงถูกออกแบบให้เป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว และยังมีบันไดให้เดินลงไปว่ายน้ำและดำน้ำเล่นกับปลาฉลามบนเกาะแห่งนี้“เดินทางมาหลายชั่วโมง เหนื่อยไหมคนดี” เรียวตะถามพลอยใสที่เดินเข้ามาภายในห้องและเปิดประตูออกไปสูดอากาศที่หน้าระเบียงของวิลล่า“ไม่เหนื่อยเลย พลอยชอบที่นี่มากเลยเรียวตะ ขอบคุณนะ”“พลอยใสชอบ ฉันก็ดีใจ นี่ก็บ่ายโมงแล้ว เราทานอาหารกันก่อนดีกว่าไหม??”“อืม ได้สิ”“จะทานที่นี่หรือว่าไปห้องอาหาร”“ไปห้องอาหารก็ได้ค่ะ พลอยอยากเห็นวิวหลายๆ ที่”“ได้สิ งั้นเราไปทานอาหารที่ห้องอาหารกัน”เมื่อมาถึงยังห้องอาหารทั้งสองคนก็ทานอาหารโดยจัดเซตซีฟู้ดชุดใหญ่ จนเธอ
“พลอยใส” ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ปิดประตูห้องและเดินเข้ามาหาเธอหญิงสาวที่เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเอามือคล้องคอชายหนุ่มไว้ทั้งสองข้าง ทำให้เขาใช้มือของตัวเองกอดเอวเธอไว้หลวมๆชายหนุ่มก้มจูบที่หน้าผากเธออย่างอ่อนโยน“คนดี ฉันก็อยากให้ลูกของเรากลับมาเหมือนกัน”“…”“แต่ฉันว่ารออีกสักหน่อย รอให้ร่างกายของเธอพร้อมกว่านี้ดีกว่านะ”เรียวตะพูดกับเธออย่างอ่อนโยน เพราะตั้งแต่ที่เขาทั้งสองเสียลูกไป และร่างกายของเธอได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ทำให้ร่างกายของเธอนั้นยังอ่อนแอ เขาจึงงดทำกิจกรรมรักกับเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการมันมากแค่ไหนก็ตาม“นะ นายไม่อยากมีลูกกับฉันเหรอ??” พลอยใสที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกน้อยใจและร้องไห้ออกมาเขาพาเธอนั่งลงบนเตียงและใช้มือเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าของเธอเบาๆ“อยากมีสิ อยากมีมากๆ ด้วย แต่ร่างกายของเธอยังไม่พร้อม รออีกนิดดีกว่านะ”“แต่ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ร่างกายฉันดีขึ้นมากๆ แล้ว และตอนนี้ก็อยากให้ลูกของเรากลับมาหาเรามากๆ ด้วย” ชายหนุ่มได้ยินได้ดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ภายในใจสักครู่หนึ่ง“งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม?? พรุ่งนี้เราจะไปโรงพยาบาลกัน และไปตรวจความพร้อมของร่างกายของเธอ และขอ
“พลอยใส ฮึก เธอฟื้นแล้ว ฮึก ขอบคุณพระเจ้าที่ยังเข้าข้างผม” เรียวตะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดกริ่งเรียกหมอให้เข้ามาตรวจร่างกายของเธอ“พลอยใส ขอบคุณที่เธอฟื้นขึ้นมา ฉันคิดถึงเธอมากๆ เลยนะรู้ไหม” เรียวตะโผล่เข้ากอดร่างเธอที่กำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้พลอยใสยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ด้วยความดีใจเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะใช้มือเรียวบางเกลี่ยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของชายหนุ่ม เธอส่ายหน้าออกมาเบาๆ เพื่อบอกกับเรียวตะว่าไม่ต้องร้องไห้และไม่นานหลังจากนั้นหมอก็เข้ามาตรวจอาการของพลอยใสทันที และนำเครื่องช่วยหายใจออกจากหญิงสาวเรียวตะจึงเอาน้ำขึ้นมาให้เธอดื่มทันที“ค่อยๆ ดื่มนะ พลอยใส”“ขอบคุณนะเรียวตะ”หลังจากดื่มน้ำเสร็จเรียวตะก็วางแก้วน้ำลงข้างเตียงและหลังจากนั้นก็กุมมือเธอและบีบนวดให้เบาๆ“เรียวตะปลอดภัยดีใช่ไหม??”“ฉันสบายดี เธอล่ะ เจ็บตรงไหนไหม??”“ฮึก ฉันเจ็บจังเลย แต่นายไม่เป็นอะไรฉันก็ดีใจแล้ว ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าของนายอีกแล้ว” พลอยใสร้องไห้ออกมา“พลอยใส อย่าพูดแบบนั้นได้ไหม” “ฉันคิดถึงนายจัง”“ฉันก็คิดถึงเธอ ต่อไปนี้ฉันสัญญาจะดูแลเธออย่างดี และจะไม่ห่างเธอไปไหนอีกแล้ว” เรียวตะโผล่เ
เรียวตะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่ารอบกายของเขานั้นเต็มไปด้วยผ้าพันแผลและสายน้ำเกลือเต็มตัว เมื่อหันไปมองข้างๆ ก็ทำให้มาเฟียอย่างเขาต้องน้ำตาคลอ เพราะภาพตรงหน้าคือผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในตอนนี้กำลังนอนหลับไหลไม่รู้สึกตัว และตามตัวก็มีผ้าพันแผลเช่นเดียวกับเขา แต่เหมือนจะหนักกว่าเขามากๆ ด้วย และใบหน้าของเธอตอนนี้ถูกครอบด้วยฝาออกซิเจนเอาไว้ น้ำตาลูกผู้ชายของเขาค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้มและสะอื้นเบาๆ“พลอยใส” เขาเรียกเธอเบาๆ แต่ทว่าเอเดนกับออสตินก็รีบวิ่งเข้ามาดู พร้อมกับเรียกหมอเข้ามาดูเขาทันที“อาหมอครับ เพื่อนผมป็นยังไงบ้างครับ??” ออสตินถามออกไป“ร่างกายตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เพียงแต่ร่างกายได้รับบาดเจ็บและยังอ่อนแรง นอนพักอีกสัก 2-3 วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้” อาหมอเล่าอาการของเรียวตะให้หลานของตัวเองฟัง“ขอบคุณครับอา” ออสตินกล่าวขอบคุณอาหมอก็เดินออกไปทำหน้าที่ต่อทันที“มึงเป็นไงบ้างเรียวตะ” ออสติมถามออกมา“กูไม่เป็นอะไร”“กูบอกเลยว่าสภาพมึงกับพลอยใสก่อนหน้านี้พวกกูแทบจะบ้า” เพราะออสตินนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้พวกเขาใจหายไปเช่นเดียวกันเพราะว่าเพื่อนของเขา ดื้อด้านและต่อต้านพวกเข
Ryota Part..วันนี้ผมตื่นเช้าขึ้นมา รู้สึกใจมันหวิวๆ ยังไงไม่รู้ ผมบอกไม่ถูก และวันนี้ผมมีบินไปดูงานที่ญี่ปุ่นในตอนเย็นด้วย แต่ผมกลับไม่อยากไปไหนเลย ผมอยากอยู่กับเธอ ‘พลอยใส’ คนรักของผม และว่าที่ภรรยาของผมเต็มตัวในอนาคต ทุกวันนี้ผมกับเธอตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนผมก็ไม่ยอมให้เธอห่างจากข้างกายของผมเลยพอรู้สึกว่าเราทั้งสองต้องห่างกันผมก็รู้สึกงอแงขึ้นมาทันที บอกให้เธอไปกับผมด้วยเธอก็ไม่ยอมไปแต่นั่นแหละครับ ผมคิดว่าคงไม่กี่วันก็จะกลับมาเลยยอมใจอ่อนปล่อยให้เธออยู่ที่ประเทศไทย แต่มีข้อแม้ว่าต้องกลับไปอยู่ที่บ้าน ห้ามอยู่คนเดียว ซึ่งเธอก็รับปากผม ทำให้ผมนั้นโล่งใจไปได้นิดหน่อยในช่วงที่ผมคุกเข่าขอเธอแต่งงานในสนามบิน ตอนนั้นผมรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก กลัวว่าเธอจะไม่รับรักจากผม เพราะว่าผมเคยบังคับให้เธอหมั้นกับผมในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ทว่าเหมือนผมก็ชนะใจของเธอได้ และสุดท้ายเธอก็ตอบตกลงยอมแต่งงานกับผม ผมดีใจมากๆ เลยล่ะผมคิดว่าหลังจากที่ผมกลับมาครั้งนี้จะวางแผนเรื่องการจัดงานแต่งงานเลย แล้วจะพาเธอไปตรวจครรภ์ด้วย เพราะผมรู้สึกว่าเธอต้องมีเจ้าตัวเล็กให้ผมแน่นอน ผมทั