“มึงคิดว่าพวกกูไม่รู้เหรอ เป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วไหม ที่พวกกูไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รู้ แค่ไม่อยากพูดทำลายกำลังใจของมึง”
“งั้นเจ้าตัวเขาจะรู้เปล่าว่ะ”หรือว่าวันนี้ที่เขามองเธอแปลกไปเพราะเขาเองก็รู้เหมือนกันว่าเธอแอบชอบเขา ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มที่เขาแกล้งบอกเธอ
“น่าจะไม่รู้นะ พวกกูเองก็เพิ่งรู้ตอนจะจบปีสองแล้ว กูสงสัยว่าทำไมใครมาจีบมึง ถึงไม่โดนใจมึงสักคน หล่อ รวยระดับไหน มึงก็เมินเฉยกับเขา บวกกับมึงชอบให้กลุ่มเรานั่งใกล้กับกลุ่มโซลทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเวลาเรียนหรือเวลานั่งเล่นใต้อาคารเรียน”
“แค่นี้เหรอ แล้วทำไมมึงถึงคิดว่าเป็นโซลล่ะที่กูชอบ”
“สายตามึงมองแค่คน ๆ เดียว เด็กอนุบาลก็ต้องรู้เปล่าว่ะ”
“….”
“กูจะบอกไรให้นะ ตอนปีหนึ่งกูเคยเห็นโซลมันพาผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นคอนโดมันบ่อย ๆ นะ แต่สักพักผู้หญิงคนนั้นก็มาเป็นแฟนยีนส์ แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนที่พวกเราสงสัย กลุ่มของพวกมันแยกเป็นสองกลุ่ม เหมือนมีเรื่องทะเลาะกัน เพิ่งจะกลับมาดีกันปีที่แล้วใช่ไหม หรือกูจำผิด”
“เรื่องนี้กูรู้แล้ว มึงเคยบอกแล้ว จะบอกกูอีกทำไม”ใยไหมทำหน้างอที่เพื่อนพูดเหมือนย้ำความรู้สึกเธอ
“ไม่ใช่เรื่องนี้ กูแค่ย้อนไปนิด เรื่องที่กูจะบอกคือหลังจากนั้นก็เห็นโซลมันควงผู้หญิงบ่อย ๆ นะ แต่มึงรู้ไหม กูได้ยินมาว่าไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้ขึ้นคอนโดมันอีกเลย”
“มึงอยากบอกอะไรกูกันแน่ว่ะ บอกมาตรง ๆ เลยเถอะ ตอนนี้กูปวดหัวไปหมดแล้ว”
“โธ่…เรื่องแค่นี้ทำไมมึงเดาไม่ถูก ก็แปลว่าผู้หญิงคนนั้นต้องมีความหมายกับมันมากไง ที่มันพาขึ้นคอนโดได้”
พูดไปพูดมา ใยไหมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเพื่อนต้องการจะสื่อถึงอะไร อีกอย่างตอนนั้นเอวาก็อยู่คอนโดเดียวกับโซลเลยเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่เพื่อนย้ายมาอยู่คอนโดนี้ตอนปีสองเลยอาจจะไม่เห็นก็ได้เวลาเขาพาผู้หญิงคนอื่นขึ้นคอนโด
“มึงงงล่ะสิ ว่ากูรู้ได้ยังไง?”
“นี่มึงอ่านใจกูได้เหรอเอวา มึงทำแบบนี้กูเริ่มกลัวแล้วนะ”
“กูเพื่อนมึงไงล่ะ นั่งหัวคิ้วชนกันขนาดนี้ กูคงโง่มากมั้ง จะบอกอะไรให้มึงหายโง่แล้วกัน กูได้ยินพวกผู้หญิงที่มันเคยควงพูดกันในห้องน้ำ แล้วไม่ใช่คนสองคนนะ ทุกคนที่โซลมันเคยควงด้วย”
“นี่มึงเสือกเรื่องคนอื่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เอวา”
“ก็เพราะเพื่อนกูแอบชอบมันยังไงล่ะ หูกูเวลาได้ยินชื่อนี้ทีไร มันเลยกระดิกอยากจะเสือกแทนมึงทุกที ทีนี้มึงเข้าใจกูหรือยังอีไหม”
“สรุปที่มึงต้องการจะบอกกูคือโซลชอบผู้หญิงคนนั้นเหรอ คนเดียวกับที่เป็นแฟนยีนส์ตอนปีหนึ่งใช่ไหม”
เอวาถอนหายใจออกมา ก่อนจะพยักหน้า“กว่าจะเข้าใจนะมึง”
“กูเข้าใจมานานแล้ว ต่อให้เขาไม่มีคนที่ชอบ กูก็ไม่มีวันเป็นคนในใจเขาหรอก”
“คิดได้แล้วทำไมไม่เลิกชอบมันสักทีว่ะ มึงไม่เหนื่อยเหรอที่รักใครข้างเดียว”
“กูก็กำลังพยายามอยู่นี่ไง”
“เหอะ…พยายาม"เอวากรอกตามองบนเหมือนไม่เชื่อ"ข้ามเรื่องนี้ไปเถอะ มาเรื่องของมึงตอนนี้ดีกว่า ตกลงจะเอายังไง?”
ตอนนี้เธอดูเหมือนคนลังเลและสับสนว่าจะเดินหน้าต่อเรื่องเป็นของเดิมพันดีหรือเปล่า แต่ทว่าในใจเธอตอนนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ ยิ่งเอวาพูดเรื่องของโซลขึ้นมา มันทำให้เธออยากตัดใจจากเขาให้ได้เร็ว ๆ
“กูขอนอนก่อนได้ไหมว่ะ พรุ่งนี้เรียนเช้าอีก ตอนนี้กูง่วงมากเลย”เธอทำทีลุกขึ้นเมื่อโดนเพื่อนกดดันด้วยสายตา
“ก็ดี จะได้ให้อีนับกับอีหม่อนช่วยตัดสินใจด้วย”
เช้าต่อมา
ใยไหมปิดเครื่องโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นที่เธอออกจากบ้านจนถึงตอนนี้ เธอแค่คิดว่าพ่อจะโทรหาเธอบ้างไหม โทรมาตามเธอกลับบ้านบ้างหรือเปล่า แต่ทว่าเมื่อเปิดโทรศัพท์ เสียงแจ้งเตือนก็เข้ารัว ๆ ทันที
ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง!
ซึ่งข้อความก็เป็นของเพื่อนเธอที่ส่งมาถามไถ่เรื่องที่เธอออกจากบ้าน น่าจะเป็นเอวาที่บอกทุกคน ส่วนอีกข้อความก็เป็นของพ่อเธอจริง ๆ ที่เธอยังไม่กล้ากดเปิดอ่าน ไม่รู้ว่าพ่อส่งข้อความอะไรมาหาเธอ
“ไปเรียนได้แล้วอีไหม”เสียงเอวาเรียกสติของใยไหมให้กลับมา เธอกดปิดหน้าจอแล้วเก็บโทรศัพท์เข้าในกระเป๋าทันที ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมอ่านข้อความของพ่อ ไม่รู้ว่าที่ท่านส่งมาจะเป็นข้อความแบบไหน จะเป็นห่วงเธอหรือส่งมาต่อว่าเรื่องที่เธอทำแม่เลี้ยงล้มหน้าขมำแบบนั้นหรือเปล่า
“ทำไม? พ่อมึงส่งข้อความมาเหรอ”เอวาเลิกคิ้วถามเชิงสงสัย เห็นเพื่อนนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่ตั้งนาน แต่เจ้าตัวกลับเก็บไว้ในกระเป๋าเหมือนไม่สนใจ
“อืม แต่กูยังไม่อยากอ่านว่ะ คงจะส่งมาต่อว่าเรื่องที่กูทำแม่เลี้ยงนั่นแหละ”
“คิดมาก เขาอาจจะเป็นห่วงมึงก็ได้ ยังไงมึงก็ลูกในไส้เขานะ จะไม่เป็นห่วงเลยเหรอ”
เธอก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ทำไมลางสังหรณ์เธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยยังไม่พร้อมจะเปิดอ่านตอนนี้ เดี๋ยวเธอจะยิ่งเครียดจนเรียนไม่รู้เรื่อง ยังไงวันนี้เธอต้องหาทางออกให้ตัวเองให้ได้ แต่ทว่าเมื่อมาถึงมหาลัยเธอก็โดนเพื่อนอีกสองคนต่อว่าอย่างหนัก ที่ทำอะไรไม่คิดแบบนี้ รวมถึงเรื่องที่จะไปเป็นของเดิมพันด้วย
“กูแค่คิดเอง พวกมึงด่ากูเหมือนว่ากูไปทำแล้วจริง ๆ อย่างนั้นแหละ”
นับหนึ่งเหยียดยิ้มใส่เพื่อนอย่างไม่เชื่อ“พอเหอะอีไหม คนแบบมึงไม่ใช่แค่คิดค่ะ กูมั่นใจว่ามึงมั่นใจไปแล้วเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ว่ามึงจะทำ มึงว่าจริงไหมอีหม่อน”
“กูก็ว่างั้น ตอนนี้เตือนมึงคงไม่ฟังแล้วใช่ไหม บอกพวกกูมาตรง ๆ เลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเหนื่อยพูดกับมึงเรื่องนี้อีก”
ทั้งสามคนจ้องหน้าเธออย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ทำให้ตอนนี้เธอเหมือนผู้ร้ายที่โดนสอบสวนอย่างหนัก จะโกหกก็ไม่ได้ จะบอกความจริงก็ไม่กล้า เลยยังนั่งอ้ำอึ้งอยู่แบบนี้
“พอเหอะ แค่มองหน้ามันกูก็รู้แล้วว่าเราเตือนมันไม่ฟัง”เป็นเอวาที่ละสายตาไปก่อน และพุดออกมาราวกับมานั่งในใจเธออย่างนั้นเลย รู้สึกผิดกับเพื่อนเหลือเกินที่ใจมันยังดื้อและไม่เชื่อเพื่อนแบบนี้ ไม่รู้ทำไมเธอถึงมีความรู้สึกว่ามันต้องเป็นทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่เธอจะทำได้ตอนนี้
“เอาล่ะ ไปขั้นตอนต่อไปเลยดีกว่า มึงรู้แล้วเหรอว่าต้องไปเป็นของเดิมพันที่สนามไหน สนามเถื่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ถ้าเป็นสนามเถื่อนกูจะเชื่อพวกมึง และจะไม่ทำเด็ดขาด”
เธอให้คำมั่นเพื่อนออกไป เธอเองก็คงไม่กล้าหาญขนาดไปเป็นของเดิมพันในสนามแข่งเถื่อนแบบนั้นหรอก รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายแค่ไหนแต่ก็ยังกล้าไปเสี่ยง
“หึ ฟังเหมือนดูดีนะอีไหม แต่มึงอ่ะมันดึงดัน พวกกูเบื่อจะพูดกับมึงแล้ว ไหนมึงลองขอข้อมูลสนามแข่งจากไอ้ลูกติดแม่เลี้ยงมึงมาหน่อยสิ”
ใยไหมพยักหน้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหาช่องแชทของคีย์ที่มักจะส่งข้อความมาหยอดเธอในแชทเฟซบุ๊กเป็นประจำ นิ้วเรียวพิมพ์ข้อความที่เธออยากรู้ไปทันที ไม่ถึงสิบวินาทีข้อความก็ได้รับการเปิดอ่าน เหมือนกับว่าอีกฝ่ายอยู่หน้าช่องแชทเธออย่างนั้นแหละ
คีย์: บอกแล้วว่าเธอต้องสนใจ
ใยไหม: กูยังไม่ได้ตอบตกลง แค่อยากรู้ชื่อสนามที่จะไปแข่ง
คีย์: ไม่ใช่สนามเถื่อนหรอกเธอไม่ต้องกลัว
ใยไหม: ยืดเยื้อเพื่อ?
คีย์: ธนาธิป อินเตอร์เนชั่นเนล เซอร์กิต
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการเธอก็เก็บโทรศัพท์ทันที ไม่สนใจข้อความของลูกติดแม่เลี้ยงที่ส่งมาหาเธอต่ออีกหลายข้อความ เธอหันมาบอกชื่อสนามกับเพื่อนสามคนทันที ซึ่งเมื่อลองเอาชื่อไปเสิร์ทดูในกูเกิ้ล ก็พบว่าเป็นสนามใหญ่ระดับประเทศ เพิ่งเปิดมาได้ปีกว่า แต่ได้รับความนิยมมาก