“ข้าคิดว่า พวกเราสองดินแดนน่าจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน แลกเปลี่ยนทำการค้าด้วยกัน และยังสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยกันได้อีกด้วย” อสิซซ่าพูด
“ตูไม่เห็นอยากจะได้ความรู้อะไรจากสูเลย” แคนนอร์สวน อลิซช่า ตั้งสติระงับอารมณ์โกรธและรีบพูดต่อไปว่า
“พวกท่านกับข้ามีศัตรูคนเดียวก็สมควรแล้วล่ะที่จะต้องร่วมกันสู้กับพวกมัน”
“นี่สูหาพวกตูจะสู้ ไอ้ตัวซีดนั่นไม่ได้หรือไงกัน !” แคนนอร์เริ่มหัวเสียแล้ว อลิซซ่ารีบพูดว่า
“มิได้เป็นเช่นนั้น พวกเราต่างหากที่ต้องพึ่งความแข็งแกร่งของท่าน” อลิซซ่าพูด แคนนอร์ถามทันที
“หมายความว่าอะไร”
“พวกเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนท่าน จึงต้องให้ท่านช่วยเหลือ เราถึงจะต่อสู้กับพวกรานุนได้” อลิซซ่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แคนนอร์เริ่มมีทางทีที่อ่อนลง อลิซซ่าส่งสัญญาณ มารีสเป่าขลุ่ยนักดนตรีคนอื่นเริ่มเล่นเครื่องดนตรีของตนด้วยทำนองเพลงที่เป็นจังหวะเพลงช้า อลิซซ่าเป็นคนร้อง เสียงของนางไพเราะจับใจมาก จนทำให้แคนนอร์เริ่มที่จะเคลิ้ม แต่เพลงก็เริ่มที่มีจังหวะสนุกสนานขึ้น อลิซซ่าเริ่มร้ายรำด้วยลีลาสวยงามและอ่อนช้อย หลังเพลงจบ แคนนอร์ตบมือให้ด้วยความชื่นชม
“เยี่ยมมาก ตูตกลงที่จะเป็นพันธมิตรกับพวกสู”
“ขอบพระคุณท่านมาก และยินดีที่เราจะเป็นมิตรกัน” อลิซซ่าพูด
อลิซซ่าเดินทางกลับโดยมี พวกเผ่าลูตามส่งด้วย มารีสหันไปพูดกับนางว่า
“ท่านเก่งนะที่เจรจาครั้งนี้สำเร็จ”
“ก็ได้ดนตรีของเจ้าช่วยนั้นล่ะ มารีสไม่มีเจ้า ข้าทำไม่ได้หรอก” อลิซซ่าพูด มารีสโค้งให้อย่างสุภาพแล้วพูดว่า
“ขอเพียงท่านสั่งข้ายินดีทำให้ทุกอย่าง” ยังไม่ทันที่จะเข้าถึงเมืองก็มีทหารวิ่งมารายงานทันที
“พวกเราโดนบุก ! ขอรับ”
“พวกรานุนเหรอ” มารีสถาม
“ไม่ใช่ขอรับ ! พวกเราไม่รู้เหมือนกันว่าพวกไหน แต่กองทัพมีทั้งเอลฟ์ ออร์ค และโดวาฟขอรับ”
“สั่งทหารเตรียมพร้อม องค์ราชินีท่านต้องไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน” มารีสพูด
“แต่ข้าต้องร่วมสู้กับประชาชนของข้านะ” อลิซซ่ารีบพูด มารีสแย้งว่า
“ท่านต้องปลอดภัยก่อน และเรายังไม่รู้ว่าเจอกับอะไร”
กองทัพที่กำลังโจมตีอยู่นั้น มีทั้งเอลฟ์ ออร์ค โดวาฟ ร่วมกองทัพด้วย แต่ทัพหลักนั้นเป็น สิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับเอลฟ์แต่ไม่ได้หูแหลมเชิด พวกเขาล้วนมีรูปร่างกำยำล่ำสัน สวมเกราะเหล็กและหนังสัตว์ สวมหมวกเกราะ และมีอาวุธหลายชนิด ที่น่ากลัวคือ พวกนี้ไม่กลัวตาย ไม่กลัวเจ็บ และร้องตะโกนว่า
“วาฮาล่า !”
อีกอย่างพวกนี้มีกองเรือตามมาด้วย และเรือนั้นไม่ได้แล่นในน้ำกลับแล่นอยู่บนฟ้า หัวเรือเป็นรูปมังกร ไม่ก็สัตว์ร้ายสารพัดชนิด ผู้นำของพวกนี้บนเรือลำใหญ่ที่สุด เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ มีหนวดเครายาวสีขาว เขามีตาขวาเพียงข้างเดียว ตาซ้ายปิดด้วยผ้าปิดตา สวมหมวกปีกกว้าง ในมือถือจอกเหล้ารูปเขาสัตว์ เหนือบัลลังค์ของเขามีอีกาสองตัวเกาะอยู่ รอบตัวเขามีหญิงสาวสามคนอยู่เคียงข้าง
คนแรกรูปร่างสูง ผิวเข้ม ตาคม ผมยาวสีดำเป็นมันเหมือนกับเส้นไหม นางเป็นสาวงามที่ดูแล้วมีความเข้มแข็งหากไปยืนข้าง ๆ นักรบชายคนใด ข้าศึกจะต้องเกรงกลัว นางมีหูหมาจิ้งจอกสีขาวบนหัว นางคือ มาตาฮารี
อีกคนรูปร่างจะเตี้ยกว่าหน่อย แต่นางมีรูปร่างที่สมส่วนกว่า ผิวขาวเหมือนกับน้ำนม ผมยาวสีดำ มีหูหมาจิ้งจอกบนหัว นางมีใบหน้าสวยงามและเย้ายวนใจชาย หากนางไปยืนเคียงข้างชายใด ชายผู้นั้นคงมิอยากอยู่ห่างนางแม้เสี้ยวนาที ชายอื่นจะต้องมองตามด้วยความอิจฉา นางคือ ต้าจี้
คนที่สาม รูปร่างเล็กและดูเหมือนจะเด็กที่สุด มีหน้าตาสดใสและแฝงด้วยความซุกซน หากนางอยู่เคียงชายใด ชายผู้นั้นคงจะยิ้มทั้งวันเพราะความน่ารักของนาง นางคือ ทามาโมะ
ทั้งสามนางคือ ปีศาจหมาจิ้งจอกเก้าหาง ที่เคยทำให้ดาวหนึ่งในอีกจักรวาลเจอกับกลียุคมาแล้ว พวกนางหนีจากดาวดวงนั้น และหนีไปเรื่อย ๆ จนมาเจอมากองทัพนี้
“พวกเจ้านำทางได้ดีทีเดียวนะ ทำให้มาพบดินแดนใหม่จนได้” ชายตาเดียวพูดพลางยกจอกขึ้นดื่ม
“ก็ข้าบอกท่านแล้วไง ท่านโอดิน แอดการ์ดเล็กไปแล้วสำหรับท่าน” ต้าจี้พูด โอดินพยักหน้าและประกาศเสียงดังลั่น
“เหล่าทหารกล้าของข้าจงยึดดินแดนนี้ แห่งให้ได้ ภายในวันนี้ ที่นี่จะเป็นโลกใหม่ของพวกเรา”
“เพื่อโอดิน ! เพื่อนบ้านใหม่ของพวกเรา” ทหารร้องรับคำเสียงดังลั่น
เผ่าลู เข้าต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพราะพวกนี้หากนับใครสหายจะปกป้องสุดชีวิต แต่แล้วมีชายคนหนึ่งยืนขว้างหน้าอยู่ เขามีรูปร่างสูง สมส่วน สวมเกราะ ไว้หนวดเคราสีทอง มีมือซ้ายเพียงข้างเดียว ส่วนมือขวานั้นกุด ยืนขว้างหน้าพวกเผ่าลู
“ถอยไป ไอ้ด้วน” แคนนอร์พูดเสียงดัง
“จริง ๆ ไม่ค่อยชอบฆ่าหมาป่าเท่าไหร่หรอก แต่ว่า มันเป็นหน้าที่ก็ต้องฆ่า ! พวกแกภูมิใจเถอะที่ได้ตายเพราะไทร์[1] ผู้นี้ !” พูดจบ ไทร์ก็เรียกดาบออกมา เป็นเล่มใหญ่เกือบจะเท่าตัวของไทร์ และเมื่อเขาฟาดฟันดาบ เหล่าเผ่าลูก็ถูกฆ่าตายไปจำนวนมาก
แคนนอร์ตะลึง และยังไม่ทันไรก็ ค้อนด้ามหนึ่งลอยมากระแทกหัวเขาตายคาที่ ค้อนนั้นที่มีด้ามสั้น แต่หัวค้อนนั้นใหญ่มาก มันลอยกลับไปอยู่ในมือของคนที่ขว้างมา เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นคนอ้วนด้วยซ้ำ แต่กลับดูแล้วแข็งแรง ผมและหนวดเคราเป็นสีแดงเพลิง
“เหลือให้ข้าสนุกบ้างสิไทร์”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ ธอร์”
“สงครามนี่ต้องสนุกสิเว้ย” ธอร์พูดและเข้าฟาดค้อนใส่เหล่าเอลฟ์เสียงกรีดร้องดังไปทั่ว เลือด
ท่วมกายเขา
“ท่านพ่อให้พวกเราสนุกด้วยสิ”
เสียงสี่เสียงดังขึ้นมา เป็นผู้ชายสองคน และผู้หญิง
“ใช้คาถานั่นกับข้า” “เฮ้ย ! ไอ้การเป็นคนเสียสตินี่ นี่เป็นโรคติดต่อหรือไงวะเนี่ย” ดิดิเย่ร์พูด “ทำเลย” ดาเมี่ยงตะโกนเสียงดังลั่น “ก็ได้ แต่ไม่รับรู้ด้วยนะโวย ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ดิดิเย่ร์ร่ายมนตร์ควันสีดำมาปกคลุมร่างของดาเมี่ยงเหมือนกับดิสมัส ทั้งสองโจมตีอีกครั้งแม้พลังจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่อาจระคายผิว ของบาลเดอร์ได้เลย แถมยังถูก บาลเดอร์ปล่อยลำแสงออกมาเล่นงานทั้งสองอีก คราวนี้ทั้งสองหลบไม่ได้โดนเข้าไปเต็ม ๆ ถึงล้มลงไปและลุกแทบไม่ขึ้น ดิดิเย่ร์ซึ่งตอนนี้ทำอะไรแทบไม่ถูกแล้ว แต่เมื่อมองไปที่ร่างเปลือยเปล่าของบัลเดอร์ก็นึกบางอย่างออก เขาเลยตัดสินใจลุกขึ้น เหวี่ยงไม้คถาไปที่หว่างขาของมัน ซึ่งเป้าหมายคือ ลูกอัณฑะ ร่างของมันที่เปลือยเปล่าทำให้เห็นเป้าหมายชัดเจน ซึ่งเขาคิดอย่างไรเสีย มันก็เป็นผู้ชาย โดนฟาดไปเต็ม ๆ แบบนี้ยังไงก็ต้องเจ็บปวดแน่นอนแต่กลายเป็นบาลเดอร์ไม่เป็นอะไรเลย “คิดว่าข้าจะเจ็บกับอะไรแบบนี้หรือไง” และมันก็แตะเข้าที่หว่างขาของดิดิเย่ร์คืน เขารู้สึกเจ็บและจุกจนยืนแทบไม่ได้“กระจอกมาก ไม่มีอะไรในโลกที่ฆ่าข้าได้หรอกโวย” พูดยังไม่ทันขาดคำมีบางอย
“จะช่วยเขาก็มีทางเดียวแล้วล่ะ ข้าต้องเสกอาวุธที่สามารถฆ่าเจ้านั้นได้ หวังว่าคงไม่ได้ตัวอะไรมาอีกนะ” ศุภมิตรพูด เขาก่อกองไฟขึ้นมา นั่งขัดสมาธิ และเริ่มร่ายมนตร์ เปลวไฟตรงหน้าลุกโชนราวกับมันกำลังเต้นระบำอย่างสนุกสนาน สองพี่น้องมองดูด้วยใจเต้นแรง และภาวนาให้พิธีนี้สำเร็จโดยเร็ว และสักพักก็มีต้นไม้ต้นเล็กสีเขียวปรากฏขึ้นมา มันดูอ่อนแอและบอบบางจนไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ทำอาวุธอะไรได้ “ท่านเสกอีหยังมาเนี่ย” คำพูนพูดอย่างแปลกใจ ศุภมิตรนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า “มันเรียกว่าต้น มิสเซิลโท เป็นต้นไม้ตระกูลกาฝากน่ะ เจ้าต้นไม้ต้นนี้ ตอนที่แม่ของบาลเดอร์ไปทำสัญญานั้น มันยังเล็กอยู่จึงไม่ได้ทำสัญญาด้วย นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่ฆ่าเจ้านั่นได้” “ฮ่วย ! มันต้นน้อยซ่ำนี่ และแถมดูอ่อนหลาย ๆ จะเอามาเฮ็ดเป็นอีหยังได้” คำพูนพูดพลางลองหักด฿ ซึ่งมันก็อ่อนอย่างที่คำพูลพูดจริง ๆ ศุภมิตรทำหน้าไม่ถูก แค่คำแพงกลับเห็นอะไรบ้างอย่าง “ข้อยจะเฮ็ดมันเป็นอาวุธเอง” ที่สนามรบ ดิสมัส อลิซซ่า ดิดิเยร์ ดาเมี่ยงกำลังยืนดูกองทัพไวกิ้งกำลังเคลื่อนพลมา ทั้งดิสมัสและ ดิดิเยร์เสกโกเ
ดิสมัสปั้นหน้าไม่ถูกเพราะ เขาไม่เคยเห็นคนที่เป็นราชาแสดงท่าทางแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะ ๆ เช่นนี้ อิบารา โดจิกับศุภมิตรพูดจาปราศัยกันสักพัก อรุณนภาต้องถามว่า “ท่านศุภมิตรพาใครมาเหรอเจ้าคะ”ศุภมิตรเลยรีบแนะนำเอลฟ์ทั้งสอง “ดิสมัส กับ อลิซซ่า พวกเขาเป็นเอลฟ์ ที่ยึดดินแดนใหญ่ของเจ้าเพาเดอร์ไป”ชูเท็นโดจิหันขวับมา แต่อรุณนาภารีบบอกว่า “ใจเย็นก่อนชูเท็น มานั่งกินเหล้าเงียบ ๆ เถอะนะ”ชูเท็นโดจิ หันมาพูดกับอิบารากิโดจิว่า “วันนี้เจ้ากับข้ามีเรื่องพูดกันเยอะนะ อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ” ชูเท็นโดจิกลับนั่งและดื่มเหล้า อลิซซ่าก้าวเท้าออกมาโค้งคำนับอย่างสุภาพ “ข้าอลิซซ่า ตัวแทนของเหล่าเอลฟ์ มาขอคาราวะองค์ราชาและราชินี” “พวกเจ้ามายึดดินแดนข้า ไม่ต้องมาทำเป็นสุภาพหรอก” ชูเท็นโดจิพูดด้วยน้ำเสียงพร้อมหาเรื่อง แต่อรุณนภากลับพูดว่า “ใจเย็นก่อนชูเท็นเจ้าก็รู้นี่ ว่าไอ้เอลฟ์ที่มายึดเมืองเราต้องนั้นไม่ใช่พวกเขา ข้าขอเจรจาเอง” ชูเท็นโดจิยกเหล้าขึ้นดื่ม “จริงอยู่ดินแดนนั้นเคยเป็นของพวกท่าน แต่ท่านเสียให้เพาเดอร์ไปก่อนแล้ว ตอน
แม้ว่าตอนนี้ พวกมนุษย์หนูจะกลัวพวกนรสิงฆ์ แต่มันกลัวดิสมัสมากกว่า เลยตามดิสมัสไป เขากระโดดไปเกาะเจ้านกแสก ให้มันพาบินไปที่สนามรบและปล่อยร่างของนายมันลงไป เบต้าเองก็บินตามมาด้วย ดิสมัสกำดาบในมือแน่น เหล่านรสิงฆ์เข้ามาโจมตีเข้า ดิสมัสหลบได้และฟันสวนไปโดนเกราะ ดาบเด้งออกมา ทำให้รู้ว่าเกราะที่พวกเขาสวมอยู่ทำจากหวายสาน ! และดูจากสีของมันแล้ว มันต้องถูกแช่ในน้ำมันมาแน่น ๆ เกราะชนิดนี้มีน้ำหนักเบาแต่มีความเหนียวมาก อาวุธมีคมทำลายได้ไม่ง่าย ยิงพวกธนูยิ่งแล้วใหญ่มันเจาะเกราะแบบนี้ไม่ได้ แน่ ๆ “เบต้า แกบินไปบอกพี่ข้า ว่าเกราะพวกนี้เป็นหวายแช่น้ำมัน !” เบต้าพยักหน้ารับรู้และบินไปทันที คำแพงกับคำพูนกำลังจะตามช่วยดิสมัส แต่ดาเมี่ยงยืนขว้างหน้าเอาไว้ก่อน “คิดจะทำบ้าอะไร” “ก็ไปซอยอ้ายมัดติ เจ้าหลบไป” คำแพงพูด ดาเมี่ยงเลิกคิ้วเพราะเขาไม่ค่อยออกว่า คำแพงพูดว่าอะไรบ้าง ดิดิเย่ร์เลยพูดว่า “นางคงอยากให้เจ้าหลีกล่ะมั้ง เจ้ายังไม่ต้องไปไหนเดี๋ยว ไอ้ดิสมัสก็ส่งข่าวมา” ดิดิเย่ร์พูด “ฮู้ได้จั๋งได๋” คำแพงถาม ดิดิเย่ร์ตอบว่า
ดิสมัสไม่พูดอะไรอีกเขาเดินออกจากที่ประชุม และไปดูอาหารของตัวเอง ซึ่งเป็นเนื้อเค็มสูตรเขาและบิสกิสก้อนหิน “อ้ายเฮ็ดอีหยัง” คำแพงถามเขา “อยากจะเอาอะไรท่านพี่ทั้งสองกินสักหน่อย” ดิสมัสพูดขึ้นมา คำแพงมาดูแล้วพูดว่า “เอาของบ่เป็นตาแดก ไปให้สองคนนั้นเด้ เขาก็ชังอ้ายหลาย ๆ อยู่แฮ้ว เดี๋ยวก็ได้ชังหนักว่าเดิมติ”คำแพงพูดและมองรอบ ๆ ตอนนี้มีเพียงไข่กับข้าวเท่านั้น “รอก่อนเด้อ”คำแพงทำข้าวจี่และให้ดิสมัสเอาไปให้ฝาแฝด ตั้งแต่ถูกจับมา ดาเมี่ยงดูจะหงุดหงิดไปกับทุกอย่างรอบตัว ผิดกับดิดิเย่ร์ที่ดูสงบมากตั้งแต่เข้ามาในห้องขัง “โวยวายหาอะไรวะ ดาเมี่ยง” “แกไม่หงุดหงิดหรือไงวะ คุกนี้พวกเราคุมการสร้างเองนะโวย ! ใครจะไปคิดวะว่าจะเอามาขังพวกเราเอง” “ไม่นานหรอก เดี๋ยวพวกมันก็มาปล่อยเรา” ดิดิเย่พูด ดิสมัสกับคำแพงมาหาเขา ดิดิเย่ร์มองหน้าดิสมัสแล้วถามว่า “ต้องการอะไร” “ข้าแค่เอาอาหารมาให้เท่านั้นล่ะ” ดิสมัสวางข้าวจี่ตรงหน้าของฝาแฝด พวกเขาทำหน้างง แล้วถามพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ “ไอ้เหลือง ๆ นี่
“อ้ายล่อมันไปก่อน ข่อยจะเหวี่ยงหินใส่มัน” “เจ้าเป็นบ้าบ่ โตนมันยังกะยักษ์ หินก้อนน้อย ๆ ของเจ้าจะเฮ็ดหยังมันได้” พูดยังไม่ทันขาดคำเหล่าพานรมฤครุมโจมตีโกเล็มซะก่อน คำแพงเห็นเป็นโอกาสรีบเหวี่ยงหินไปทันที แต่ว่า ดาเมี่ยงโผล่มาเอาดาบปัดหินทิ้ง “คิดว่าหินแบบนี้จะฆ่าพวกเราได้งั้นเหรอ”คำพูลรีบมาขว้างหน้าคำแพง เขาตะโกนเสียงดังลั่น “ข่อยขอท้าสู้กับเจ้า โตต่อโต”ดาเมี่ยงได้ยินก็หัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าพูดบ้าอะไร อย่างเจ้าเหรอจะมาท้าทายข้าหา” “หรือว่าเจ้าย่านข่อยบ่”ดาเมี่ยงได้ยินก็ยิ่งหัวเราะเข้าไปอีก คราวนี้มันถึงกับน้ำตาไหล แล้วพูดว่า “อยากตายนักก็ได้ ข้าจะสงเคราะห์ให้ ดิดิเย่ร์ เจ้าไม่ต้องยุ่ง” ดาเมี่ยงพูด ดิดิเย่ร์หยักไหล่แล้วพูดว่า “ล้อเล่นเปล่าเนี่ย แค่มนุษย์คนเดียว แกยังจะให้ข้าลงมืออีกเหรอ”ดาเมี่ยงชักดาบออกมา คำพูลกำพร้าในมือเอาไว้แน่น เขารู้สึกถึงความกดดันที่แผ่เข้ามา ทำให้รู้ว่าฝีมือของอีกฝ่ายน่าจะเหนือกว่าตนหลายเท่า ดิสมัสตัดสินใจลุกขึ้นมาและเรียกเจ้านกแสกกลับ เขารวมพลังยิงกะโหลกเพลิงออ