ห้องนอนสไตล์โมเดิร์นโทนสีขาวดูสะอาดเรียบง่ายและสบายตาฉันที่นอนราบอยู่บนเตียง ความฝันอันเลวร้ายยังคงตามหลอกหลอนฉันจากห้วงนิทราเหงื่อกาฬท่วมทั้งใบหน้าและแผ่นหลัง ภาพของแวมไพร์นั้นยังคงติดตา รอยยิ้มเขี้ยวแหลมคม ดวงตาสีแดงที่จ้องมองฉันราวกับเหยื่ออันโอชะ
แต่แล้วภาพในความฝันก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นเขาชายหนุ่มดวงตาสีโลหิต กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ฉัน ริมฝีปากของเขาแตะลงบนริมฝีปากฉันอย่างแผ่วเบาทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดไหลผ่านร่างกาย
ฉันสะดุ้งสุดตัว ลุกขึ้นนั่งบนเตียง หายใจหอบถี่ถาโถมเข้ามาในใจ สายตากวาดมองไปทั่วทุกทิศ เอียงหัวอย่างนึกสงสัยมือเสยผมขึ้น
"ฝันบ้าอะไรเหมือนจริงชะมัด! สงสัยคงจะคิดมากเกินไป ถึงขั้นเก็บมาฝัน"
"ถ้าเจออีกครั้งจะถามชื่อเขาได้ไหมนะ อยากจะรู้จักเขาจัง"
ฉันที่เอาเท้าแตะพื้นกำลังจะลุกขึ้นเสียงแจ้งเตือนข้อความดัง ทำให้ฉันหันกลับไปมองหน้าจอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียง เปิดหน้าจอดูใช้นิ้วเลื่อนไปที่ข้อความจากพี่เรียวจิ
ข้อความ: "พี่รู้ว่ามันยากสำหรับเธอ แต่ไม่ว่ายังไงพี่มีความเห็นคือเราต้องกำจัดแวมไพร์คนนั้นซะ เขาอันตรายต่อเธอ"
ฉันอ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่น่าบอกพี่เรียวจิเลย ถึงพี่เรียวพูดถูกว่าเป็นคนอันตรายแต่...ภาพของเขาที่ช่วยฉันก็ผุดขึ้นมาในความคิด ใบหน้าที่หล่อ รอยยิ้ม เจ้าเล่ห์ เป็นแวมไพร์ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
"เขาก็ดูจะเป็นคนดีมั้งนะ " ฉันที่กำลังทบทวนตัวเอง
มือวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างเตียง ฉันตัดสินใจที่จะไม่ตอบกลับข้อความของพี่เรียวจิ ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าพวกเขาต้องการอะไรจะต้องได้ในสิ่งที่เขาต้องการ แต่สิ่งที่ฉันรู้คือฉันไม่อยากทำร้ายเขา
"ในอีกแง่หนึ่งฉันคิดว่าเขาก็สมบูรณ์แบบเกินไป สายตาของเขาเหมือนมีอะไรอยู่ตลอดเวลา"
ฉันหลับตาลงพยายามข่มใจให้สงบไม่ว่าจะมองจากทางไหน ก็ดูไม่สมเหตุสมผล ข้อกังขาปรากฏในสมอง ฉันเดินวนไปวนมารอบเตียง
ผมที่เกาะอยู่บนขอบหน้าต่างห้องนอนของเธออย่างกับจิ้งจก สายตาจับจ้องไปยังร่างบางที่เดินไปมาใบหน้าแสดงความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดเจน
"ทำไมเธอถึงได้เครียดขนาดนั้น? หรือเพราะข่าว? "
ผมยังคงเฝ้ามองเธอต่อไปแม้จะรู้ว่ามันเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวแต่มันก็ยากเกินกว่าที่ผมจะละสายตาไปจากเธอได้ ผมอยากจะเข้าไปพูดคุยกวนประสาทเธอเล่น ขณะเดียวกันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวผมรู้แล้วว่าจะทำอย่างไรให้เธอยิ้มออกได้
ผมที่กำลังจะหายไปเห็นลุงเช็ดกระจกเลยยิ้มให้ก่อนจะหายไปในพริบตาเดียว
"ผะ...ผีหลอก!! ผีหลอก!!" ลุงคนนั้นสลบคาไม้เช็ดกระจกทันที
ร้านหอมหวาน สดใหม่...
ผมใช้พลังของตนเองวาร์ปไปยังร้านเบเกอรี่ชื่อดังในเมือง ซื้อเค้กมาหลายรสชาติที่ผมโปรดปรานมาเต็มสองมือก่อนจะวาร์ปมายังห้องทำงานของเธอ มือวางกล่องเค้กสีชมพูสดใสลงบนโต๊ะทำงานสีขาวเรียบอย่างทะนุถนอม ผมหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาเขียนข้อความสั้นๆ ลงไปยังกระดาษ
"กินให้อร่อยนะ จากหนุ่มสุดหล่อ พี่เรียวจิ"
ผมวางโน้ตไว้ข้างกล่องเค้กเขียนชื่อพี่ชายของเธอคงจะไม่เป็นไร แค่ยืมชื่อมาเท่านั้นเอง จากนั้นจึงหายตัวไปอีกครั้งทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมหวานของขนมอบอวลอยู่ในห้อง
เวลาผ่านไปสิบห้านาที...
ฉันที่เดินเข้ามาในห้องทำงานสายตาเห็นเค้กและกระดาษแผ่นเล็กๆ วางอยู่เลยเดินไปหยิบโน้ตขึ้นมาอ่าน รอยยิ้มเล็กปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉัน
ผมที่แอบล่องหนอยู่ยิ้มอ่อนยิ้มหวานอย่างน้อยผมก็สามารถทำให้เธอมีความสุขได้บ้างแม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ความรู้สึกหวานอมเปรี้ยวกระจายอยู่ในใจ
ก๊อก! ก๊อก!
"เข้ามาได้เลย"
ซากุระก้าวเข้ามาในห้องทำงานของฉันด้วยท่าทีเร่งรีบเธอไปกดปุ่มโทรทัศน์ที่อยู่มุมห้องเปิดภาพข่าวแถลงเกี่ยวกับเหตุการณ์แวมไพร์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เสียงผู้ประกาศข่าวรายงานสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
"จากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมาทางการได้ออกมายืนยันแล้วว่ามีแวมไพร์ทำร้ายประชาชนจริง ขณะนี้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอกำลังเร่งติดตาม..."
ซากุระหันมามองใบหน้าของฉันเธอพองแก้มโกรธอย่างน่ารัก
"มินาโกะ มันจริงเหรอที่มีแวมไพร์ในประเทศของเรา คนที่เราเดินสวนกันไปมากลายเป็นแวมไพร์แล้วแบบนี้พวกเราจะยิ่งไม่อันตรายเหรอ?"
ผมที่ยืนอยู่มุมห้องอยากจะเดินเข้าไปกระชากหัวยัยผู้หญิงคนนี้ที่เข้ามาทำให้มินาโกะต้องมาเครียดอีก คนเขาทำให้เธอหายจากหน้าบึ้งตึงได้แล้วยังต้องมาฟังข่าวไร้สาระ เพราะยัยนี่เลย ลากไปตบเลยดีไหมเนี่ย
ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้าไปจับมือของซากุระ
"ซากุระฉันรู้ว่าเธอกลัวนะ เชื่อฉันสิว่ามันจะผ่านไปได้ พวกเอฟบีไอก็ตามเรื่องอยู่เหมือนกันนะ"
"แต่พวกเราไม่รู้เลยนะว่าใครเป็นแวมไพร์ "ซากุระที่หน้าตาเหมือนจะร้องไห้
ฉันดึงซากุระเข้ามากอดแน่นๆ เอามือลูบหลังของเธอเบาๆ ช้าๆ เพราะตอนนี้ซากุระกำลังหวาดกลัวอย่างมาก
"ไม่เป็นไรนะ บางที่แวมไพร์อาจจะไม่ได้น่ากลัวก็ได้ บางคนอาจจะใจดีไม่ทำร้ายใครก็มี"
"จริงเหรอ? แกแน่ใจนะ"
"แน่นอนสิ ฉันรับประกันว่าเธอจะปลอดภัย"
"อ่อนแอชะมัดเลยยัยผู้หญิงคนนี้" ผมที่พูดออกมา
ขณะที่กำลังปลอบซากุระได้กลิ่นตัวของเขา ทำให้รู้ว่าเขาอยู่ในห้องทำงานของฉัน คงอยากจะเห็นว่าฉันทำหน้าตายังไงที่ได้จดหมายกับเค้กของเขา ยังอ้างเขียนชื่อพี่ชายฉันอีก ช่างเป็นแวมไพร์จอมวางแผนจริงๆ
ตกเย็น....
หลังจากการประชุมอันยาวนานเสร็จ ฉันที่ต้องแวะซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของสดสำหรับทำอาหารเย็นระหว่างที่ฉันกำลังเลือกผักอยู่นั้น เสียกรี๊ดของสาวๆ ก็ดังขึ้นจากอีกมุมของซูเปอร์มาร์เก็ต ฉันอดไม่ได้ที่เผือกเรื่องชาวบ้านเลยหันไปมองข้างหลังอย่างนึกสงสัย
ฉันที่เห็นเขาใส่หมวกสีดำ แว่นตาสีดำทำท่าทางเหมือนกำลังเลือกซื้อสินค้าอยู่ท่ามกลางกลุ่มสาวๆ ที่กำลังรุมล้อมเขา ตัวเขาสูงเด่นเห็นชัดเจน
"สง่าซะขนาดนั้นก็ต้องมีสาวๆ มาล้อม เป็นธรรมดาฮอตจริงๆ"
เขาที่พยายามจะเดินฝ่ามาทางนี้สายตาของเขากลับมามองที่ฉันทำให้ฉันเบี่ยงหน้าหลบเขาทันที เขาขอทางสาวๆ เดินตรงมายังที่ฉัน เขาหยุดอยู่ข้างๆ ฉันทำท่าทางเหมือนกำลังสนใจผักที่ถืออยู่ในมือ
"จะทำกับข้าวเหรอครับ?" เขาถามเสียงนุ่ม
"ถ้าจะต้มผักพวกนี้ก็น่าจะเหมาะกว่านะ"
(ตอแหลเก่งเหมือนกันนะ ทำมาเข้าหาโดยการพูดคุยกำลังทดสอบฉันอยู่ละสิ ใช้ได้)
ฉันที่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขาเลย เงยหน้าเอียงคอมองเขาไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาทักกันแบบนี้ ท่ามกลางสายตาของสาวๆ ที่จ้องมองมาด้วยความอิจฉา ใครสนล่ะ เขาสนใจฉันเสียใจด้วยนะ
"ไม่ดีกว่าค่ะ...พอดีว่าจะเปลี่ยนเมนูทำอาหาร"
"งั้นถ้าไม่รังเกียจ ฉันช่วยได้นะ เธอจะทำเมนูอะไรล่ะ"
ฉันมองเขาและยังชอบท่าทางที่ทำเหมือนเราสนิทกัน ช่างเป็นแวมไพร์ที่เกินเยียวยาจริงๆ ทว่าฉันก็เผลอพูดบางอย่างออกไปโดยตั้งใจที่จะแกล้งเขา
"ขอบคุณมากค่ะ ลุง"
รอยยิ้มบนใบหน้าของผมหายไปทันที ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
"ลุง?"
ผมทวนคำพูดของเธอด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจ
"ฉันชื่อเคียร์เนย์ จะเรียกว่าเคียร์ก็ได้ ฉันยังไม่แกยังหนุ่มยังแน่น"
ในที่สุดฉันก็ทำให้เขาพูดชื่อตัวเองได้แล้ว ฉันเลยยกมือขึ้นดีดนิ้ว..
"อ้อ ก็หน้าแกแล้วก็เรียกลุงก็ถูกแล้วนะคะ เอาน่าเรียกลุงง่ายกว่าอีก ส่วนฉันชื่อมินาโกะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
คงเป็นครั้งแรกที่ฉันกับเขาได้แนะนำตัวกันแบบนี้ถึงจะแกล้งเขาเล่นแต่ที่จริงเขาไม่แก่เลยสักนิดไม่เลย... กลายเป็นว่าเขาก็เอื้อมมือมาจับแก้มทั้งสองข้างของฉันเบาๆ ทำฉันตกใจตัวแข็งทื่อ
"สาวน้อย รู้ไหมว่าการเรียกผู้ชายว่าลุง มันเสียมารยาทแค่ไหน"
ผมพูดเสียงนุ่มแต่แววตาของผมกลับประจักษ์แจ้งแก่ใจ ผมค่อยๆ ก้มลงมาใกล้กับใบหน้าของเธอ
"ถ้าลุงคนนี้จับกินขึ้นมาแล้วจะหนาวนะจะบอกให้ ดูยังไงเธอก็ยังน่ากินอยู่ดี" ผมเอานิ้วไปรูดจมูกของเธอและยิ้มละไม
ฉันถลกแขนเสื้อขึ้นเพิ่มความทะมัดทะแมงเตรียมพร้อมกระชับมือที่กุมเอาไว้ให้แนบแน่นมากขึ้น สูดลมหายใจเข้าออกตั้งสติแวมไพร์อีกหลายตน พวกมันจ้องมองฉันด้วยสายตาหิวกระหาย"นี่น่ะเหรอ คนที่มีพลังบริสุทธิ์ เป็นผู้หญิงที่งดงามแต่น่าเสียดายคิดจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยมนุษย์"ฉันยิ้มยวน "ถ้าใช่แล้วจะทำไม พวกนายมันก็ต้องการให้ฉันตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!""โง่จริงๆ เธอไม่รู้หรอกว่าพลังของเธอมีค่ามากแค่ไหน ถ้าได้พลังนั้นมา มันสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แทบยังทำให้มีพลังเหนือกว่าคนอื่น ที่ใครไม่สามารถต้านทานได้ ก็นะ เธอก็แค่มนุษย์เลยไม่ได้รับรู้ถึงพลังนั้น!"โครนอสหันไปสั่งเหล่าแวมไพร์ "จับตัวเธอมา!"พวกเหล่าแวมไพร์กำลังจะพุ่งเข้าใส่ฉันแต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้แตะต้องฉัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา"หยุดนะ! ใครกล้าแตะต้องเธอ ฉันฆ่าทิ้งแน่!"ผมเดินแหวกกลางมาหยุดตรงหน้าของเธอ ผมหันไปจ้องมองโครนอสด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะหันกลับมาหามินาโกะฉันที่มองใบหน้าของเคียร์ ด้วยแววตาที่ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว"นายก็หลอกฉัน หลอกให้รัก หลอกให้เชื่อใจ หลอกว่านายจะจริงใจ แต่สุดท้ายนายก็ไม่ได้รักฉัน! สิ่งที่นายรักก็ค
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งเมือง ตำรวจเอฟบีไอที่มาถึงที่เกิดเหตุต่างตกเป็นเป้าหมายของเหล่าแวมไพร์กระสุนปืนแลกเปลี่ยนกันอย่างดุเดือดฉันหลบอยู่หลังรถตำรวจเปลี่ยนชุดที่ถนัดในการต่อสู้ พอเปลี่ยนเสร็จฉันยิงสกัดแวมไพร์เดินถือปืนยิงแวมไพร์ที่เข้ามาใกล้ พวกมันมีจำนวนมากเกินไปการใช้ปืนคงจะเป็นไปได้ยาก สายตาหันไปทางพี่เรียวจิ กำลังฉีดยาที่อิซามูทำขึ้นมาเป็นควันสลบที่รุนแรง รีบสวมหน้ากากกันแก๊สทันใดนั้น ฉันเห็นซากุระ ล้มลงเธอกำลังจะถูกแวมไพร์ทำร้ายฉันไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปขวางหน้า ย่อลงแล้วเล็งปืนแล้วเหนี่ยวไกทันทีกระสุนพุ่งเข้าเจาะทะลุกลางหัวใจของแวมไพร์ มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น"ซากุระ! ไม่เป็นไรนะ"ซากุระพยักหน้า "ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะมินาโกะ"สายตามองซากุระตัวสั่นเหมือนลูกนก สีหน้าของเธอซีดเผือดราวกับคนตาย"ยูกิ! พาซากุระกับอิซามูไปห้องใต้ดินของเอฟบีไอซะ นี่กุญแจแล้วฉันจะตามไปที่หลัง"ยูกิพยักหน้า เขาคว้ามือซากุระแล้วพาเธอนั่งรถขับออกไปทันที ฉันหันกลับไปเผชิญหน้ากับฝูงแวมไพร์ ต้องถ่วงเวลาให้เพื่อนๆ หนีไปให้ได้ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่แวมไพร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ฉั
ฉันที่มองเคียร์คล้ายกับว่าสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังโกรธรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างเขาฉุนเฉียวไม่เป็นตัวของตัวเอง"ลุง...อย่าบอกนะว่า กำลังหึงฉันที่ไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นใช่ไหม"ผมชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ"ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หึง"แต่แววตาของเขาเลิ่กลั่กขาและแขนแกว่งไปทางเดียวกันอย่างไม่เป็น ธรรมชาติ เวลาเขาไม่พูดความจริงเขาชอบทำท่าทางแบบนี้ตลอด ฉันเลยเอื้อมมือไปจับมือของเขามาทาบบนอกของฉัน"ทำอะไรของเธอเนี่ย ยัยบื้อ ไม่อายคนเหรอ""ลุงตรงนี้หัวใจของฉัน มันอยู่ตรงนี้ ได้ยินใช่มั้ย หัวใจดวงนี้ฉันมอบให้ลุงทั้งหมดที่มี"จู่ๆ ใบหูของผมก็ร้อนขึ้นมา ควันร้อนแทบจะพวยพุ่งขึ้นบนศีรษะ ใบหน้าด้านข้างผมเปลี่ยนเป็นสีเข้ม"ยัยบื้อ ฉัน...ไม่...ช่างเถอะ"เคียร์วาร์ปหายหัวตัวไปต่อหน้าต่อตาฉัน ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทำให้อมยิ้มเล็กน้อยถึงในคำพูดของฉันจะบอกใบ้ให้กับเขาแต่เขาก็คงไม่สงสัยอะไรฉันเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า..."เหลือเวลาไม่มากแล้วสินะ"องค์กรซีไอเอ...ทันทีประตูบริษัทเปิดออกฉันเดินเข้ามาจะไปห้องทำงานคาโอรุก็รีบเดินเข้ามาหาฉันสีหน้าไม่สบายใจ"มินาโกะ เธออย่าเพิ่งเข้า
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สี่...ฉันขยี้ตาไปมาเพื่อไล่ความง่วงงุนออกไปจากร่างกาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังกระจกบานใหญ่ริมห้อง ฉันมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกใบหน้าที่ยังคงมีคราบง่วงอยู่จางๆ ดวงตาที่ปรืออยู่เล็กน้อย แล้วคำพูดของเคียร์ยังคงอยู่ในหัวฉัน"รักฉัน ให้ตายเถอะ อยากจะดีใจแต่ก็ดีใจไม่สุด อยากจะบ้าจริงๆ"ฉันก้าวออกจากประตูคอนโดฉันสวมเสื้อโค้ตสีดำส่วนข้างในใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกระโปรงสีดำ รองเท้าส้นสูงสีครีม ผมยาวสลวยปล่อยตรงและใส่สร้อยคอที่เคียร์ให้มาฉันอมยิ้มสายตาฉันสะดุดกับร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งผมสีทอง ดวงตาสีม่วง สวมสูทสีเทาเข้มดูภูมิฐานมือของเขาถือช่อดอกไม้สีแดงสดขนาดใหญ่"เรเวน? "ฉันอุทานออกมาและนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีเรเวน ยิ้มกว้างเมื่อเห็นฉัน "มินาโกะไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"ฉันรีบเดินเข้าไปหาเขา ในมือของเขายื่นดอกไม้มาให้ฉัน มือจึงรับช่อดอกไม้จากมือเขาด้วยรอยยิ้มบ้างๆ"ซื้อดอกไม้มาทำไมเนี่ย เปลืองเงิน""ไม่เปลืองเงินเลย ผมแค่อยากจะมาเซอร์ไพรส์คุณ และจำได้ว่าคุณชอบดอกกุหลาบสีแดง"ฉันยิ้มเต็มใบหน้า "มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหากันถึงที่นี่เลย"เรเวน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขามองต
สำนักงานใหญ่เอฟบีไอ....ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของผมสายตาจดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งกำลังแสดงภาพถ่ายของมินาโกะและเคียร์ที่กำลังเดินออกจากสำนักงานด้วยกันวันนี้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผมจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งที่เธอทำเกินหน้าเกินตา ผมกลับต้องเป็นคนแบกรับผลกระทบทั้งหมดจากพวกที่ชอบโอ้อวดไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ความโกรธเริ่มสะสมในใจของผมเหมือนน้ำในแก้วที่ใกล้จะล้นออกมาผมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ไม่คิดว่าน้องสาวของผมจะกล้าคบหากับประธานเคียร์ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งภาพถ่ายนั้นไปให้แม่ดู พร้อมกับข้อความว่า"แม่ครับมินาโกะกำลังคบกับประธานเคียร์อยู่ครับ"ไม่นานนัก แม่ก็โทรกลับมา"เรียวจินี่มันเรื่องจริงเหรอ?"เสียงของแม่พูดขึ้นจากปลายสายด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับแม่ ภาพนักข่าวก็เอาไปลงโซเซียลตอนนี้คงจะเป็นข่าวใหญ่แล้วล่ะครับ""ไม่ได้น่ะ มินาโกะจะไปคบกับประธานไม่ได้ทำไมไม่รู้จักเจียมตัวต้องคบคนฐานะที่ต่ำกว่าตัวเองสิ""แต่ทั้งสองก็เหมาะสมกันนะครับแม่""ไม่! นางจะต้องไม่ได้ดีไปกว่าลูกเข้าใจนะ แม่จะรีบกลับไป"ผมวางสายจากแม่แล้วนั่งพิงเก้าอี้ ยิ้มแบะปากผมรู้ว่าแม่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้
ฉันรีบดึงมือเคียร์ให้เดินตามฉันเข้าไปในห้องทำงานทันทีพอหลุดจากสายตาของเพื่อนๆ ฉันปิดประตูห้องแล้วเดินไปหยิบรีโมทปิดหน้าต่างให้เป็นสีดำสนิทจากนั้นหันกลับมาหาเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย"ทำไมลุงถึงพูดออกไปอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นแฟนกันทั้งที่มันไม่ใช่"ผมที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องโมโหขนาดนี้ด้วย"ทำไมล่ะ เธอคือแฟนฉันนะ ยัยบื้อ เธอกับฉันก็ได้กันตั้งสองครั้ง จะให้เป็นคนแปลกหน้าหรือไง"กลายเป็นว่าเขาพูดออกมาทำให้ฉันถึงกับพูดไม่ออก มือกำแน่นจิกเข้าเนื้อตัวเอง ฉันรู้สึก ลำบากใจกับคำถาม เม้มปากเข้าหากันแน่น เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันเพียงก้าวเดียว ฉันที่ถอยจนติดโต๊ะทำงาน สายตาของเขาจ้องมาที่ฉัน เลยเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น"ฉันรู้ว่ามันอาจจะทำให้เธอตั้งตัวไม่ทัน แต่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว"เขายิ้มบางๆ ฉันที่อ้าปากแล้วก็หุบลงไปอีกครั้งเขายกมือขึ้นเชยคางฉันขึ้นมาบังคับให้ฉันมองหน้าเขา"มองตาฉันสิ แล้วบอกฉันว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉัน"เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในขณะที่เคียร์กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ประตูห้องทำงานก็เปิดออกอย่างกะทันหัน อิซามูก้าวเข้ามาพร้อมกับแฟ้