เมื่อเห็นนางในสนามรบที่เขตหนานเจียง เขารู้สึกซับซ้อนมากเขามักจะพูดถึงสามีของนางโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่นางก็หลีกเลี่ยงไม่อยากพูดถึงเขา เขาก็เข้าใจทันทีว่า จ้านเป่ยว่างอาจไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างดีเนื่องจากเหตุผลนี้ หมัดของเขาจึงกำชักแน่นขึ้นเป็นหลายครั้ง แข็งกระด้างหลายครั้งต่อมาถึงรู้ว่า นาง นางกลับหย่าโดยสันติแล้ว ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เห็นข้อดีๆ ของนาง ช่างเหลวไหล จ้านเป่ยว่าง เขาจดจำชื่อนี้เอาไว้แล้ว ผู้ชายคนนั้นมีตาไร้แววจริงๆตอนนั้นเขาโกรธมากจนอยากจะควักลูกตาของเขาออกมา ถึงกล้าให้นางต้องเจอกับเรื่องไม่เข้าท่าเช่นนี้หลังจากที่เขาโกรธแล้ว แต่แล้วก็ดีใจอย่างผิดศีลธรรมอีกครั้ง แน่นอนว่าพอมองจากภ่ยนอกจะไร้สีหน้าใดๆ จะให้คนนอกรู้ว่าเขาแอบดีใจในใจได้ยังไงในวันที่ร่วมรบกับนาง เขาต้องซ่อนความรู้สึกตลอดเวลาและบอกตัวเองว่าอย่าซ่อนความรู้สึกส่วนตัวไว้ในสายตาของตนเองแม้แต่น้อยช่วงสามปีที่อยู่ในสนามรบที่เขตหนานเจียง อารมณ์ของเขาขึ้นๆ ลงๆ มากแม้ว่าเสด็จพี่จะควบคุมความคิดของเขาหลังจากกลับมาที่เมืองหลวง แต่ก็ไม่สำคัญ ประเทศไม่มีสงคราม เขาไม่ต้องการอำนาจทางทหาร เขาเพียงต้องการนางเท่า
วันรุ่งขึ้น รุ่ยเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาและความเจ็บปวดยังคงอยู่ แต่ไม่เจ็บปวดเท่ากับตอนที่กระดูกหักและถูกต่อกลับเข้าไปใหม่แล้วในขณะที่ต้องอดทนกับความเจ็บปวด เขาก็ต้องฝืนยิ้มเพื่อปลอบใจท่านอาและคนในครอบครัวของท่านตาอีกด้วยท่าทางที่เข้มแข็งของเขาเช่นนี้ทำให้คนอื่นเห็นใจจริงๆถึงกระนั้น แต่การฝังเข็มที่คอยังทำต่อไป หงเชวี่ยบอกว่ามันหยุดไม่ได้ เมื่อวานต่อกระดูกไม่ได้ฝัง วันนี้เว้นไม่ได้อีกเลยโดยเฉพาะเมื่อเขากรีดร้องในเมื่อวานนี้ มันค่อนข้างได้ผล ทั้ง หมอมหัศจรรย์ดันและหงเชวี่ยต่างเชื่อว่าพิษในร่างกายของเขาได้รับการล้างพิษเร็วกว่าที่คาดไว้ยิ่งไปกว่านั้น การติดยาของยาไส้หมู่ด่านไม่ได้กำเริบอีกเลย นี่ทำให้หมอมหัศจรรย์ดันประหลาดใจ ต้องรู้ว่าแม้ว่าเขาจะยอมรับว่าจะเลิกยา แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีขึ้นไป เขาอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น กลับมีความตั้งใจแน่วแน่เช่นนั้นหมอมหัศจรรย์ดันพูดกับหงเชวี่ยเป็นการส่วนตัวว่า "ตระกูลซ่งไม่มีคนอ่อนแอจริงๆ จิตวิญญาณของตระกูลซ่ง น่าประทับใจยิ่งนัก"หงเชวี่ยก็คิดเช่นนั้น หลังจากที่เขาทำการรักษาให้รุ่ยเอ๋อร์ เขาได้สร้างความสัมพันธ์กับรุ่ยเอ๋อร์แล้ว เขาถือว่าเ
ซ่งซีซีพยักหน้าและถามต่อว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามต่อ ที่ความคิดเห็นจาคนทั่วไปจะดูถูกเขา เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติตามความเมตตากรุณา ความยุติธรรม มารยาท ภูมิปัญญา และความไว้วางใจข้อใด้บ้างล่ะ""มันเป็นการแต่งงานครั้งที่สองของเจ้าส่งผลกระทบต่อเขา""การแต่งงานครั้งที่สองของข้าเกี่ยวอะไรกับเขา การแต่งงานครั้งที่สองเป็นเรื่องของข้าเอง" ซ่งซีซีพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น โดยไม่แสดงความละอายอย่างที่เหลียงเส้าคิดไว้ "ขอถามอีกครั้ง ที่ข้าแต่งงานใหม่หลังหย่า มันผิดกฎหมายหรือผิดธรรมเนียม? จะถามเพิ่มหน่อย หากผู้หญิงถูกทอดทิ้งก็ควรบวชเป็นแม่ชี และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตลอดการถือว่าเป็นทางเลือกที่ถูกต้องหรือ?"เหลียงเส้าเยาะเย้ย "พูดเก่งสินะ!"ไม่สามารถโต้เถียงกับคำพูดของซ่งซีซีได้ เขาจึงเลือกที่จะตอบด้วยความดูถูกซ่งซีซียิ้มลึกขึ้น "ขุนนางดอกไม้ ไม่ยอมพัฒนาตนเอง พอทำเรื่องผิดพลาดไปกลับไม่ยอมปรับปรุง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าเป็นห่วงจริงๆ"ทันใดนั้นเหลียงเส้าก็รู้โกรธขึ้นมา "เจ้า... ข้าเป็ฯหวังดี แต่เจ้ากลับดูถูกฉันด้วยคำพูดของนักบุญ มีญาตเช่นนี้ ไม่ไปมาหาสู่จะดีกว่า!"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ลุกขึ้นยื
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงท่านบางคน นางจำได้ว่ามีตระกูลหวังตระกูลหนึ่งมาสู่ขอเขาหวังเบียว เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านป๋อผิงซี แต่ท่านแม่ไม่ชอบเขาช่างเถอะ เรื่องในอดีตก็อย่าไปพูดถึงอีก นางกับเซี่ยหลูโม่จะแต่งงานกันในอีกสองเดือนข้างหน้า เรื่องที่ผ่านไปก็ให้มันแล้วไป ให้ความสำคัญกับปัจจุบันบอกลาอดีตและวิ่งไปสู่อนาคตอากาศเริ่มเย็นลง ดอกบ๊วยในสวนก็ผลิดอกตูม และคาดว่าจะบานในอีกไม่กี่วันข้างหน้าดอกบ๊วยในปีนี้จะบานเร็วกว่าทุกปี ซึ่งลุงฟูกล่าวว่าเป็นสัญญาณอันเป็นมงคลรุ่ยเอ๋อร์สามารถลงพื้นได้ แต่สามารถเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวเอง ก็จะกลับไปพักผ่อนที่เตียงในจวงกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงาน ชุดแต่งงานได้ถูกเย็บในวันที่ประกาศจะแต่งงาน และส่งมอบให้กับช่างปักของร้านเฟิงเหลียน สตรีผู้สูงส่งในเมืองหลวงต่างงานมักจะสั่งตัดเสื้อผ้าที่ร้านเฟิงเหลียน เพราะหนึ่ง งานปักทำได้ดีและรวดเร็วมาก และประการที่สอง นักปักที่ร้านเฟิงเหลียนล้วนเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยราชวงศ์ซาง นักธุรกิจและขุนนางที่ร่ำรวยจำนวนมากจากที่อื่นต่างใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อสั่งชุดแต่งงานจากร้านเฟิงเหลียนมีอยู่วันหนึ่งที่แม่นมเหลียง
แต่สองวันต่อมา ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนป๋อผิงซีกลับส่งคำเชิญมา โดยบอกว่าพรุ่งนี้จะพาคุณหนูสามมาเยี่ยมเมื่อแม่นมเหลียงมารายงาน นางก็พูดว่า "ไม่งั้นไม่เจอดีกว่า ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการทำอะไร ถ้ามาเพื่อสอบถามสถานการณ์ในจวนแม่ทัพ ก็น่าจะถามตั้งนานแล้ว แทนที่รอจนกว่าการแต่งงานถูกตกลงเอาไว้ และขนาดเตรียมชุดแต่งงานแล้วถึงมา"ซ่งซีซีก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่จะพบปะ ก่อนถามว่า "คำเชิญเขียนอะไรบ้าง"แม่นมเหลียงกล่าวว่า "พวกเขาบอกว่ามาเยี่ยมเราเพื่อแสดงความยินดีการกลับมาของนายน้อยของเรา นี่เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น นายน้อยของเรากลับมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกเขาถึงยอมมาเยี่ยม ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา"ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ไปตอบเขาว่า รุ่ยเอ๋อร์ยังอยู่ระหว่างการพักฟื้นอยู่ ไม่เหมาะสมที่จะมีแขกมาเยี่ยม เมื่อเขาหายดีแล้ว ข้าจะพาเขาไปเยี่ยมถึงจวน"แม่นมเหลียงพยักหน้าตอบรับแล้วหันหลังกลับซ่งซีซีไม่เหมาะที่พบแม่ลูกสองคนพวกนั้นจริงๆ คงมาเพื่อเรื่องของจวนแม่ทัพ เรื่องจวนแม่ทัพ นางไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเลย ไม่ควรพูดอะไร เป็นการดีที่สุดที่จะไม่พบพวกเขาหลังจากตอบกลับแล้ว พอสองวันต่อมา หิมะแรกแห่งปีนี
เซี่ยหลูโม่มาเยี่ยมรุ่ยเอ๋อร์ในตอนเย็น การปลอบโยนจากเขามีผลดีกว่าหงเชวี่ยและท่านอาเลยและคำพูดปลอบใจของเขาเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ว่า "ลูกผู้ชายต้องรู้จักอดทน"ทันทีที่เขาพูดคำเหล่านี้ รุ่ยเอ๋อร์ก็หมดความวิตกกังวลและยอมรับการรักษาอย่างสงบและว่าง่ายเลยเซี่ยหลูโม่อยู่ฝึกเขียนอักษรเป็นเพื่อนเขาเป็นเวลาครึ่งชั่วยามลายมือของเขาสวยขึ้นเรื่อยๆ และการใช้นิ้วก็คล่องแคล่วกว่าเดิมตั้งเยอะเลย ความก้าวหน้าของเขาทำให้ผู้คนมีความสุขมากเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนช่างพูด เมื่อเซี่ยหลูโม่อยู่ข้างๆ เขาถามคำถามมากมายบนกระดาษ ซึ่งทั้งหมดไม่ได้สำคัญอะไร แค่คุยเล่นเฉยๆเซี่ยหลูโม่ก็พูดคุยกับเขาอย่างใจเย็น และตอบทุกสิ่งที่เขาถามซ่งซีซีอยู่เป็นเพื่อนกับเขาสักพักแล้ว จากนั้นก็ให้คนไปเตรียมอาหารเย็น และให้ท่านอ๋องอยู่ต่อเพื่อทานอาหารเย็นที่จวนตอนนี้ เซี่ยหลูโม่จะรับประทานอาหารที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเป็นครั้งคราว และแม่นมเหลียงก็รู้ว่าเขาชอบกินอะไรเป็นพิเศษ ไม่ชอบกินหวานแต่ก็พอกินได้ กินเผ็ดไม่ค่อยได้แต่ยอมกินเผ็ดเป็นเพื่อนคุณหนูทุกครั้งเขามีความอยากอาหารมากและสามารถกินข้าวเปล่าได้หกชามในมื้อเดียว กินอะไรได้หมด
ฮ่องเต้ต้องการช่วยระบายความโกรธให้นาง และให้จ้านเป่ยว่าง แต่งงานกับผู้หญิงที่หย่าโดยสันติหลังจากแต่งงานได้หนึ่งปีมันพอดีเลย นางกับจ้านเป่ยว่างก็หย่าหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปีเช่นกันเพียงแต่ว่า คุณหนูสามคนนั้นอาจไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เพราะฮ่องเต้ได้ออกคำสั่งไว้แล้ว ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้วันนั้นที่นางมาหา นางคงอยากรู้ว่าจ้านเป่ยว่างเป็นคนแบบไหนที่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ จะทำให้ซ่งซีซีรู้สึกว่าตนเองอาจทำให้คุณหนูสามเดือดร้อนไปด้วยนี่ไม่ใช่การระบายความโกรธให้นาง แต่เป็นการสร้างศัตรูให้นางมากกว่าดูเหมือนว่า นางต้องการพบกับคุณหนูสามสักครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อกำจัดความขุ่นเคืองของพวกนาง เพื่อที่จะไม่เป็นศัตรูกับจวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อตัวเอง มันไม่ได้สำคัญอะไร ต่อไปรุ่ยเอ๋อร์จะเป็นผู้นำของจวนเสนาบดีกั๋วกง อย่าเพื่อเรื่องนี้ทำให้เกิดความแค้นใจขึ้นมาเมื่อเห็นนางขมวดคิ้ว เซี่ยหลูโม่จึงกล่าวว่า "ฮูหยินผู้เฒ่าจากป๋อผิงซีส่งคำเชิญอยากมาเยี่ยม คงอยากถามไถ่เรื่องที่เจ้าหย่ากับจ้านเป่ยว่าง เรื่องนี้ข้างนอกลือกันใหญ่ แต่พวกนางเป็นคนมีเหตุผล รู้ว่าข่าวที่ข้างนอกลือกันนั้นไม่อาจเป็นความจริงท
ฮูหยินผู้เฒ่าสวมเสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายลายเมฆสีฟ้า ถือถังทำความร้อนอยู่ในมือ นางดูมีอายุประมาณห้าสิบปี มีผมหงอกบางส่วน ผมของนางหวีเป็นมวยอย่างประณีต และดูสง่างามมากเมื่อมองไปที่คุณหนูสาม นางแต่งตัวเรียบๆ ใต้เสื้อขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว นางสวมกระโปรงสีเหลือง อายุยี่สิบกว่า และดูสวยงาน แต่ใบหน้าของนางดูไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อย หากมิใช่มีสีเหลืองนี้ ก็คงรู้สึกว่าออร่าของนางดูเชยกว่าท่านแม่ของนางซะอีกหลังจากที่ซ่งซีซีเชิญพวกนางนั่งลง นางก็อธิบายว่า "ก่อนหน้านี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคำเชิญมา ตอนนั้นรุ่ยเอ๋อร์กำลังอยู่ระหว่างช่วงการรักษา ข้าเลยไม่อาจเจียดเวลามาพบแขก กลัวว่าจะเสียมายาทได้ เลยให้คนรับใช้ปฏิเสธไปก่อน ตอนนี้เขาดีขึ้นมากแล้ว เลยอยากจะชวนทั้งสองคนมารวมตัวกันที่จวน ขอบคุณที่พวกเจ้ายังคงคำนึงถึงรุ่ยเอ๋อร์"วันนั้นที่พวกนางออกคำเชิญ โดยบอกว่าจะมาเยี่ยมนายน้อยรุ่ยเอ๋อร์ ซ่งซีซีย่อมต้องพูดเช่นนั้นไปฮูหยินผู้เฒ่าถามว่า "ตอนนี้นายน้อยเป็นยังไงบ้าง?""ดีขึ้นมากแล้วเจ้าคะ เป็นพรของเขาที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วง" ซ่งซีซีกล่าวฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มและพูดว่า "ข้ารู้ว่าที่จวนเสนาบดีกั๋วกงของพวกเจ้ามีทุกอย่
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง