เขาไม่ได้พูดอะไรเลย วันนี้เป็นวันสำคัญของท่านอ๋อง ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องเลื่อนออกไปแต่อาจารย์หยูก็ถอนหายใจว่า ไทเฟยคิดอะไรอยู่เนี่ย? ทำไมถึงเอาสินเดิมของลูกสะใภ้ให้คนอื่นล่ะ?คนปกติสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้หรือ?ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไม ไทเฟยที่ "ไร้เดียงสา" ขนาดนี้ ถึงให้กำเนิดลูกชายที่ฉลาดอย่างกับท่านอ๋องได้ซ่งซีซีเพียงดื่มอวยพรสักรอบเท่านั้น เซี่ยหลูโม่ก็กลับเรือนหอพร้อมนาง เขาเป็นเจ้าบ่าว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ถูกจะปล่อยเขากลับเร็วขนาดนี้ ดังนั้น เขาจึงต้องออกไปข้างนอกอีกครั้งซ่งซีซีถูกเขาจับมือไปจนสุดทาง และมองดูเขาจากไป ฝ่ามือของตนเองดูเหมือนจะยังคงมีความอบอุ่นของเขาหลงเหลืออยู่ข้างในห้องยังคงมีเตาทำความอุ่นเผาไหม้อยู่ ช่างอบอุ่นเลยอบอุ่นจนถึงหัวใจเลยปรากฎว่าการหวั่นไหวนั้นคือสิ่งที่ตนเองควบคุมไม่ได้ นางอยากควบคุมใจของตนเอง จะได้แต่ดูดายหัวใจของตนเองจมอยู่กับดวงตาที่อ่อนโยนของเซี่ยหลูโม่แม่นมเหลียงเข้ามา ให้พวกเป่าจู ออกไปร่วมกินเลี้ยง คนรับใช้ก็ทานมือ้หนึ่งได้ และอาหารก็มีมากมายหลายอย่าง แต่อยู่ที่ลานหลัง แทนที่อยู่ลานหลักเมื่อกี้พวกเป่าจูติดตามคุณหนูไปดื่มอวยพรมา เด
แม่นมทายาบนมืออีกข้างของนาง ลดคิ้วลง และปกปิดความโศกเศร้าในดวงตาที่ต้องเล่าถึงฮูหยิน "ตอนที่เจ้ากลับมาเพื่อหาคู่ครอง คนที่มาสู่ขอมีเยอะมากมาย พวกผู้ลากมากดี ลูกหลานตนะกูลชั้นสูงไม่รู้ตั้งเท่าไร"ซ่งซีซีพยักหน้า "เรื่องนี้ข้ารู้""อืม แต่มีเรื่องที่ท่านไม่รู้ด้วย นั่นคือตอนนั้นท่านยังไม่ได้กลับมาจากภูเขาเหม่ยชาน" แม่นมเหลียงนวดยาเบาๆ แล้วถอนหายใจ "ตอนนั้น ข่าวที่ท่านโหว... ท่านเสนาบดีกั๋วกงคุณกัวและพวกคุณชายน้อยเสียชีวิตถูกส่งกลับมา แล้วแน้วหน้าจะไม่มีแม่ทัพได้ยังไง ดังนั้นให้เป่ยหมิงอ๋องดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาเพื่อฟื้นฟูเขตหนานเจียง"ซ่งซีซีดึงมือของนางกลับ นวดมือเองพลางลดตาลง และขนตาของนางก็เปื้อนไปด้วยความชื้น "เรื่องพวกนี้ ข้ารู้ทั้งนั้น แม่นมไม่ต้องพูดอีก"วันนี้มาพูดถึงท่านพ่อและพวกพี่ชาย นางจะรู้สึกเศร้ามาก"ฟังแม่นมพูดจบนะ" แม่นมกลั้นน้ำตาไว้ ไม่ว่ายังไงวันนี้ต้องไม่ให้หลั่งน้ำตาออกมา "คืนก่อนที่ท่านเป่ยหมิงอ๋องจะนับจำนวนกองทหารและออกเดินทางไปจากเมือง ข้าจำได้ว่ามันเป็นเวลายามไฮ่ ฮูหยินก็พักผ่อนแล้ว เมื่อได้ยินมาว่า เป่ยหมิงอ๋องมาเยี่ยม ฮูหยินก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกไปพ
หลังจากที่แม่นมเหลียงพูดจบ สาวใช้ก็เดินเข้ามาพร้อมบะหมี่หนึ่งชามเมื่อกี้ซ่งซีซียังรู้สึกหิวเลย แต่เมื่อเวลานี้มองดูบะหมี่กำลังร้อนนั้นกลับไม่อยากอาหารแล้วแม่นมเหลียงพูดเบาๆ "กินเถอะ ฮูหยินที่อยู่สวรรค์คงจะมีความสุขมากเมื่อเห็นท่านแต่งงานกับท่านอ๋อง แม่นมรับประกันกับท่าน"ซ่งซีซีถือชามบะหมี่ น้ำตาไหลลงมาบนแกงบะหมี่ทีละหยด นาง สำลักว่า "มงกุฎเฟิ่งฮวงนี้หนักมากจริงๆ มันหนักมากจนคอของข้าเจ็บ มันเจ็บมากจนข้าอยากจะร้องไห้"แม่นมปาดน้ำตาให้นาง ตนเองพยายามจะไม่ร้องไห้ แต่เจ้าสาวสามารถร้องไห้สักหน่อยได้ "เด็กโง่เอ๊ย กินบะหมี่ให้เสร็จเร็วๆ เดี๋ยวจะถอดมงกุฎให้ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า คืนนี้ข้างนอกคึกคักมาก ไม่ถึงยามจือท่านอ๋องคงกลับเรือนดอกบ๊วยไม่ได้นะ"ซ่งซีซีกินบะหมี่ไปสองสามคำ สะอื้นเล็กน้อย และเสียงของนางก็นุ่มนวลขึ้นมาก "กริชที่เขาให้ไปอยู่ที่ไหน? ตอนนั้นท่านแม่ไม่ได้ส่งของแทนใจให้เขาเป็นการตอบกลับเหรอ?"“กริชถูกวางไว้ในคลังอาวุธของท่านเสนาบดีกั๋วกง ข้าน้อยได้เก็บไว้ พรุ่งนี้ไปหยิบมาให้ท่านดู แน่นอนว่าฮูหยินมีของแทนใจตอบกลับ” แม่นมเหลียงกล่าวพลางหัวเราะอีกครั้ง "มอบผ้าเช็ดหน้าให้ บอก
เพื่อที่จะแต่งงาน นางทำเสื้อผ้าใหม่มากมายบวกกับของขวัญหมั้นจากจวนเป่ยหมิงอ๋องแล้ว ยังมีผ้าชั้นดีอีกมากมายในกล่องเสื้อผ้าของนางเต็มไปด้วยเสื้อตามฤดูกาล มีเป็นกองเลย หลากสีสันและงานปักอันประณีตขนสุนัขจิ้งจอกและเสื้อคลุมตัวใหญ่ถูกใส่ไว้ในกล่องต่างหากเมื่อมองดูของขวัญหมั้นและสินเดิมเหล่านั้นแล้ว นางแค่รู้สึกว่ามันเพียงพอให้นางสวมใส่ไปตลอดชีวิตส่วนชุดที่นางใส่ตอนนี้และชุดที่นางเพิ่งเก็บใส่ตู้ก็เป็นชุดที่นางจะใส่ในช่วงนี้ ล้วนเป็นสีสดใส ไม่ดูล้าสมัยนอกจากนี้ นางยังเหมาะกับการสวมชุดสีแดงอีกด้วยโดยเฉพาะตอนนี้ที่นางสวมชุดสีม่วงแดง ไม่ใช่สีม่วงเข้ม แต่เป็นสีม่วงที่มีสีแดงตอนที่ดอกทอบานเต็มที่ สะท้อนผิวของนางให้ดูขาวยิ่งขึ้น เติมเต็มความสวยให้ไฝ่หางตาเสื้อผ้าชั้นนอกมีน้ำหนักเบาและนุ่มเป็นพิเศษ และพื้นผิวผ้าแวววาวเรียบๆเพียงว่านางแต่งตัวน้อยชิ้น แต่ดีที่มีเครื่องทำความร้อน เลยไม่เป็นไรซ่งซีซีรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว เมื่อกี้เพิ่งร้องไห้ไปจนทำให้จมูกถูกปิดกั้น หลังจากอาบน้ำเสร็จ จมูกของนางก็หายใจได้เลยมีข่าวจากลานหลักว่า ท่านอ๋องเมาแล้ว อาจจะอีกเดี๋ยวก็คงกลับเรือนหอแล้วตอนนี้
เป่าจูพยักหน้าบอกว่ารับทราบแล้ว จากนั้นรีบร้อนวิ่งออกไปเพื่อให้คนเตรียมน้ำร้อน เอามาให้ท่านเขยล้างหน้าล้างตาซ่งซีซีพยุงเขาให้นอนลงที่เก้าอี้ พอวางเขาให้เรียบร้อย เป่าจูเข้ามาแล้วพูดว่า "ถูกอาจารย์และพวกศิษย์พี่มอมสุรา รองผู้บัญชาการจางบอกว่าเขาไม่กล้าไม่ดื่ม ถูกมอมหนักเลย พร้อมกับคนจากนิกายอื่นๆ ด้วย สุราที่ดื่อคือสุราดอกทอ"ซ่งซีซีขมวดคิ้ว "ท่านอาจารย์ยังมอมสุราเขาหรือ"นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งชัดๆ งั้นเหรอ? มีผู้คนมากมายจากนิกายมา คนละแก้วก็พอที่จะให้เขาหมดสติเลย“ใช่ ดื่มไปเยอะมาก สุราดอกพีชของนิกายกู่เยว่ไม่ใช่ว่าเบาๆ เหรอ? ทำไมมันถึงแรงขนาดนี้?”“เกรงว่าเป็นสุราที่อาจารย์ปรุงเอง ไม่ใช่ของที่นิกายกู่เยว่ที่มอบให้ข้าเป็นของขวัญ” ซ่งซีซีมองไปยังเซี่ยหลูโม่ที่หน้าแดงไปหมดเนื่องจากถูกมอมสุรา การดื่มสุราแลกแก้วกันในคืนนี้คงทำไม่ได้แล้ว แล้วอาหารเต็มโต๊ะนี้ก็คงมีแต่นางคนเดียวที่กินตามลำพังเดิมทีนางมีหลายเรื่องที่จะถามเขา เรื่องที่แม่นมเหลียงบอกกับนางในคืนนี้ นางอยากถามรายละเอียดเพิ่มเติมอย่าว่าแต่ถามเลย ขนาดยังปลุกเขาให้ตื่นก็ไม่ได้แล้วหมิงจูนำน้ำร้อนมา และซ่งซีซีพูดว่า "พวกเจ้
แม่นมเหลียงมองดูอยู่ข้างๆ รู้แล้ว ไม่ต้องไปยุ่งจากนั้นก็พาทุกคนถอยออกไป แล้วปล่อยให้ทั้งคู่ได้จัดการเอง จะด่าหรือทะเลาะกัน แล้วแต่พวกเขาเลย ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงคุณหนูโกรธแล้ว หากพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ กลัวว่าจะทำเอาความโกรธนี้เพื่มขึ้น เดิมทีคุณหนูก็ไม่ได้โกรธท่านอ๋องอยู่แล้ว แต่โกรธอาจารย์ของนางมากกว่าดังนั้นทิ้งทั้งสองอยู่ตามลำพัง นางถึงกับไม่ได้เป็นห่วงท่านอ๋องหลังจากเช็ดหน้า ล้างมือเสร็จแล้ว และบ้วนปากด้วยชาอุ่นๆ บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็รู้สึกมีสติได้มากขึ้นสร่างเมาแล้วก็จริง แต่กลับพบว่าซีซีโกรธแล้วเขารู้ว่าไม่ได้โกรธเขา เพียงแต่เวลาที่นางโกรธ ใบหน้าที่สวยงามของนางก็เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง และงดงามมากทีเดียวแสงของเทียนมงคลส่องสว่างทุกสิ่งในเรือนหอ และแถบผ้าแพรไหมที่ผูกเป็นรูปหัวใจนั้นมีติดไว้ทุกที่ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจมากเขาไอเล็กน้อยแล้วถามว่า "รูปหัวใจพวกนี้ ส่วนมากเป็นฝีมือของข้า สวยไหม?"ซ่งซีซีตักแกงให้เขา เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปรอบๆ หากเขาไม่ได้บอก นางยังไม่ได้สังเกตเห็นแถบผ้าแพรไหมที่ผูกเป็นรูปหัวใจพวกนั้น มิใช่ว่ารูปหัวใจไม่มากพอ เพียงแต่คืนนี้ อารมณ์ของกระสับกระส่า
เซี่ยหลูโม่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาของนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า "ข้าไม่ได้โง่สักหน่อยเลย การมีอำนาจทหารจะมีประโยชน์อะไร? อำนาจทางทหารจะเทียบกับเจ้าได้ยังไง บัดนี้ ในประเทศไม่มีสงครามแล้ว ข้ายังกุมอำนาจทางทหารเอาไว้ก็จะทำให้คนอื่นอิจฉา เดี๋ยวจะเป็นเรื่องได้ ต่อให้เขาไม่ได้บังคับข้า ข้าก็ต้องคืนอำนาจทางทหารให้อยู่ดี"ขนาดเขายังยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "หากเขาไม่บังคับข้าแบบนี้ ข้าก็ยังคงปวดหัวอยู่ว่าจะเอ่ยปากมาสู่ขอเจ้ายังไง พอมีกฤษฎีกาจากฮ่องเต้ ข้าเชื่อระหว่างข้ากับการเป็นนางสนม เจ้าจะต้องเลือกข้า เขาช่วยข้าแล้ว"ซ่งซีซีจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ "ท่านนี่ยังรู้สึกปลื้มใจเสียอีก จริงๆ เลย คนโง่ที่ถูกหลอกลวงแล้วยังขอบคุณอีกฝ่ายเสียอีก ท่านนี่และก็เป็นคนแบบนั้น"สาวสวยออดอ้อน จนเขาใจอ่อนระทวยทุกราย ซึ่งอ่อนราวกับเมฆฝ้ายที่โรยด้วยน้ำตาลเขาพูดว่า "ไม่เป็นไร ข้าสมหวังแล้ว"ซ่งซีซีหรี่ตาลง แต่ใจของนางก็ยังรู้สึกหวานชื่น สมหวังแล้ว นางเองก็เช่นกันมิใช่หรือ?ปรากฎว่าการมีใจให้นกันและกัน จะทำให้คนเรามีความสุขขนาดนี้เขาตักอาหารให้นาง และคีบให้อย่างละนิด "คืนนี้คงหิวแย่สินะ
ชุดนอนของเซี่ยหลูโม่ถูกวางไว้ในห้องอาบน้ำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชุดนอนก็เป็นสีแดงเช่นกัน แต่วัสดุก็นุ่นมาก มีเพียงลายเมฆดำและไม่มีลายปักแบบอื่น เป็นชุดแบบเดียวกันกับซ่งซีซีไม่ใช่ว่าไม่มีลายปักแบบอื่นเลย ที่แขนข้างหนึ่งมีคำว่า "ครองรักนิรันดร์" ส่วนอีกข้างหนึ่งได้ปักคำว่า "มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง" เพื่อเป็นอวยพรเซี่ยหลูโม่แค่อาบน้ำแบบลวกๆแต่ไม่แช่น้ำนาน เขารู้ว่าคืนนี้อาจจะต้องยุ่งจนถึงดึก เลยสระผมไปแล้วเมื่อคืนนี้เขาออกมาจากห้องอาบน้ำ ก่อนจะสวมชุดนอนสีแดงดูสะอาดและหล่อเหลาหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาระยะหนึ่ง ผิวของเขาก็ขาวขึ้นมากซ่งซีซียังจำได้ว่าตอนที่นางพบเขาครั้งแรกในสนามรบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา และมันเรียกได้ว่าสกปรกมาก มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านางแสงเทียนมงคลสะท้อนให้เห็นผ้าห่มสีแดงสด และปลาบม่านเตียงก็ไปถึงพื้น เขาจับมือนาง แล้วเดินช้าๆ ไปยังเตียงขนาดใหญ่หัวใจของซ่งซีซีเต้นเร็วขึ้น และฝ่ามือของนางเริ่มมีเหงื่อออก นางไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้กับใครในชีวิตมาก่อนเลยแต่สิ่งที่นางไม่รู้คือ เซี่ยหลูโม่รู้สึกตื่นเต้นมากก
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง