เสิ่นว่านจือเหลือบมองที่ซ่งซีซี ซ่งซีซีพยักหน้าไปทางนางเล็กน้อยเสิ่นว่านจือยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า "เจ้าหญิงแสดงความสามารถเท่านั้นงั้นหรือ เจ้าสามารถหลอกลวงคนไร้สมองเช่นเหลียงเส้าได้ คิดว่าหลอกลวงพวกเราได้งั้นหรือ"ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป เหลียงเส้าก็เดือดดาลมาก "เจ้ากล้าใส่ร้ายนางหรือ?"เสิ่นว่านจือหัวเราะเยาะ "ใส่ร้ายนางงั้นหรือ ข้าไม่กล้าหรอก เยียนหลิว เจ้าจะบอกทุกคนไหมว่าอันที่จริงเจ้าไม่ได้ชื่อเยียนหลิว เจ้าชื่ออะไรนี่น่ะ ได้ยินมาว่าพ่อของเจ้า ผู้ที่เป็นฝู้หม่าได้ตั้งชื่อไพเราะให้เจ้า ชื่อกู้ชิงหวู่ใช่ไหม แต่ว่าองค์หญิงใหญ่กลับไม่เรียกเจ้าเช่นนั้น นางเรียกเจ้าว่านางหวู่ใช่ไหม"ทันทีที่อีกฝ่ายพูดเช่นนี้ ใบหน้าของเยียนหลิวก็ซีดลงแต่เพียงชั่วพริบตาเอง นางก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที "เจ้า...เจ้ากำลังพูดบ้าอะไร?"สีหน้าของเฉิงเอินป๋อและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปทันทีทันใด พวกเขามองดูใบหน้าที่สวยงามและสง่างามของเยียนหลิว นางกลับเป็นบุตรสาวขององค์หญิงใหญ่งั้นหรือแน่นอนว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ขององค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่ได้ให้กำเนิดบุตรสาวชื่อเจียอี้คนเดียว แต่ได้ยินมาว่าองค์หญิงใหญ่ได้แต่
เยียนหลิวยังคงร้องห่มร้องไห้อยู่ ร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้ แต่นิ้วของนางกำเสื้อผ้าของเหลียงเส้าไว้แน่น และไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาอีกถึงกระนั้น เสียงร้องก็เต็มไปด้วยความคับข้องใจและความสงสาร"ทุลักทุเล" เซี่ยหลูโม่ยืนขึ้นจับมือของซ่งซีซี และพูดกับสนมฮุ่ยไทเฟยที่ตกตะลึง "เสด็จแม่ กลับกันเถอะ"สนมฮุ่ยไทเฟยระงับความประหลาดใจของนางและยืนขึ้น แต่มองไปที่พระชายาอ๋องฮวยแวบหนึ่ง "เมื่อกี้ข้าเข้าไปหาหลานเอ่อร์แล้ว นางคิดว่าเป็นเจ้ามาเลยดีใจมาก แต่พอเห็นว่ามิใช่เจ้าก็รู้สึกผิดหวังด้วย เป็นแม่คนอ่อนแอเช่นนี้ ไม่แปลกใจที่บุตรสาวของเจ้าก็อ่อนแอตามเจ้า ที่ข้ามาอาละวาดที่นี่ เจ้าคงรู้แก่ใจว่าข้าทำเพื่อใคร หากยังเป็นแม่คนบ้าง เรื่องในวันนี้ก็อย่าคิดจบง่ายๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะดูถูกเจ้า"ซ่งซีซีพูดอย่างเรียบๆ "เสด็จแม่ ไปกันเถอะ แม่ทุกคนล้วนมีใจเป็นแม่คน คิดว่าเสด็จอาสะใภ้คงรู้ว่าต้องจัดการอย่างไร""ซีซี!" พระชายาอ๋องฮวยหยุดนางพลางน้ำตาคลอเบ้า "ข้ารู้ว่าที่เจ้ามาวันนี้เพื่อหลานเอ่อร์ แต่เจ้าเคยคิดบ้างไหม หลังจากพวกเจ้ามาก่อปัญหาเช่นนี้ งั้นชีวิตของนางจะอยู่ในจวนเฉิงเอินป๋อยิ่งลำบากกว่าเดิม""ตอนนี้
พระชายาอ๋องฮวยปิดปากนางแล้วเตือนว่า "อย่าเอ่ยคำว่าหย่าอีก เจ้าเป็นท่านหญิงเจ้ามีเงินเดือนและที่ดินของตนเอง เลี้ยงตัวเองได้ เจ้าไม่ต้องสนใจใครในจวนเฉิงเอินป๋อ ส่วนลูกเขยนั้น แม่เชื่อว่าเขาจะกลับตัวกลับใจ ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นเป็นบุตรอนุขององค์หญิงใหญ่ ที่นางเข้ามาจวนนี้มีแผนการของตนเอง"หลานเอ่อร์รู้สึกผิดหวังมาก นางไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใคร ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะใช้วิธีสกปรกแค่ไหน ตราบใดที่เหลียงเส้าเชื่อนาง ก็ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในวันนี้นางสิ้นหวังกับเหลียงเส้าแล้วเมื่อเห็นว่านางนิ่งเงียบ พระชายาอ๋องฮวยก็คิดว่านางเชื่อฟังแล้ว จึงพูดต่อว่า "จงฟังเสด็จแม่นะ เมื่อรอลูกเกิดมา ลูกเขยเห็นแก่เด็กก็จะเปลี่ยนไป แล้วหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่านั้นเห็นเด็กแล้ว นางจะไม่รักเหลนของตนเองได้ไหม พวกเขาจะดีกับเจ้า แค่อดทนไว้ก่อน ทนผ่านเวลานี้ไปทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง""จะว่าไปจริงๆ แล้วเป็นความผิดของหญิงชราคนนั้น พ่อสามีและแม่สามีของเจ้าต่อต้านผู้หญิงต่ำช้าคนนั้นเข้ามา เมื่อวันนี้ที่เสด็จแม่เห็นหน้านาง ไม่แปลกใจที่ลูกเขยจะหลงใหลนางจนหัวปักหัวปำ แม้ว่านางตกอยู่สภาพน่าอนาถ แต่ยังดูมีเสน่
หลังจากที่สองสามีภรรยาอ๋องฮวยจากไป คนรับใช้ของจวนเฉิงเอินป๋อก็จัดเก็บข้าวของนอกจากนี้ เหลียงเส้าและเยียนหลิวถูกให้อยู่ห้องโถงดอกไม้ต่อ และผู้คนในบ้านอื่นก็แยกย้ายกันไปฮูหยินเฉิงเอินป๋อก็ไม่อยู่ต่อเช่นกัน และถูกเฉิงเอินป๋อสั่งให้ส่งฮูหยินผู้เฒ่ากลับห้องก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะกลับไป นางสั่งเฉิงเอินป๋อห้ามสร้างปัญหากับเหลียงเส้า "ลูกหลานที่เรียนหนังสือมาในจวนของเรามีผู้ใดบ้างที่โดดเด่นอย่างเขา เขาเป็นถ้านฮัวที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ และการถูกไล่ออกจากตำแหน่งก็เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น มีครอบครัวไหนที่ไม่ได้แต่งภรรยาหลายๆ คน ก็แต่พวกคนเจตนาไม่ดีกำลังก่กวนเรื่องเท่านั้น""แม่กลับไปพักผ่อนเถอะ" เฉิงเอินป๋อไม่ตอบตกลง แต่ให้ฮูหยินช่วยพาฮูหยินผู้เฒ่ากลับเฉิงเอินป๋อมองดูเยียนหลิวที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเหลียงเส้าและยังคงร้องไห้ไม่หยุด เขารู้สึกหงุดหงิดถึงที่สุด "ร้องไห้อะไรนักหนา หากวันนี้เจ้าไม่ยั่วยุท่านหญิง คืนนี้จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรือ?"เหลียงเส้ายังคงปกป้องเยียนหลิว และพูดว่า "ท่านพ่อ ท่านจะโทษเยียนเอ๋อร์ได้อย่างไร ท่านคงไม่รู้ว่าคนที่เรือนของท่านหญิงมันโหดร้ายมากแค่ไหน
หลังจากที่เหลียงเส้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็เริ่มเขียนบทความเพื่อประณามจวนเป่ยหมิงอ๋องทันทีหลังจากที่เขาเขียนเสร็จแล้ว เขาก็เชิญอดีตนักเรียนบางคนออกมา เขาชวนคนมากกว่าสิบคน แต่มีเพียงสามสี่คนเท่านั้นที่มาหลังจากอ่านบทความที่เขาเขียน นักเรียนเหล่านั้นต่างก็ตกตะลึง และรีบจากไปพร้อมให้ข้ออ้างที่ว่าพวกเขามีเรื่องอื่นต้องทำเหลียงเส้างุนงง และรีบตามหนึ่งในนั้นไปพลางถามว่า "เมื่อเห็นทางจวนเป่ยหมิงอ๋องกลั่นแกล้งคนอื่นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ไม่ยอมช่วยข้าหรือ"นักเรียนแซ่หวู่และชื่อหวู่ซานหลาง เขาเข้าเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนเมื่อปีที่แล้ว และเขาชื่นชมเหลียงเส้ามากก็จริง แต่นั่นเป็นเพียงก่อนที่เหลียงเส้าแต่งงานกับหญิงงามเมืองจากสถานบันเทิ ที่เขายอมมาในวันนี้ถือว่าให้แก่หน้าเขาเมื่อเห็นว่าบทความนี้เต็มไปด้วยคำพูดประณามเชื้อพระวงศ์ที่เพิ่งยึดเขตหนานเจียงกลับคืนมา แต่เขาเอาแต่หาว่าเป่ยหมิงอ๋องดูหมิ่นสตรี และคนที่ถูกดูหมิ่นนั้นก็คือเยียนหลิวหวู่ซานหลางพูดไม่ออกเมื่อบทความนี้ถูกปรพกาศออกมา ผู้คนทั่วโลกมีแต่จะชี้นิ้วไปดุเขา เขาจะไม่เข้าไปยุ่งหรอกดังนั้น เมื่อเผชิญกับคำถามของเหลียง
ซ่งซีซีให้ว่านจือส่งคนไปจับตาดูเหลียงเส้ามาแล้วหลายวัน ถ้านฮัวคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากฮูหยินผู้เฒ่า เลยยังกำเริบเสิบสานในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาไปที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนพร้อมกับบทความในมือ พยายามหาคนที่จะส่งบทความดังกล่าวให้ฮ่องเต้ แต่ไม่มีใครในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนสนใจเขาเขารู้สึกว่าผู้คนในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนก็อิจฉาคนที่มีความสามารถพิเศษ และเขารู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปสถาบันฮันลินเพื่อขอคนมาช่วย แต่ทุกคนที่เห็นเขาก็จงใจหลีกเลี่ยงเขาถ้านฮัว ซึ่งถูกฮ่องเต้สั่งให้ไล่ออกจากตำแหน่งด้วยตนเอง เอาใจอนุภรรยาและทอดทิ้งภรรยาเอก อีกทั้งออกจากจวนป๋อและสร้างครอบครัวใหม่ ได้ยินมาว่าเขาไม่ต้องการเป็นซื่อจื่ออีกต่อไปนอกจากนี้มีข่าวที่เขาแต่งงานกับลูกสาวพ่อค้าและให้ลูกสาวพ่อค้าออกเงินเพื่อไถ่ถอนหญิงงามเมืองในสถานบันเทิงถูกแพร่สะพัดว่า แม้ว่าพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นคิดว่านี่ไม่ได้ผิดร้สยแรง แต่ผิดศีลธรรม และรู้สึกไม่มีค่าพอที่เป็นนักวิชาการนอกจากนี้ เมื่อตัวตนของเยียนหลิวถูกแพร่กระจาย แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ก็ถูกหลีกเลี่ยงอยู่เสมอเหลียงเส้ายุ่งไปหลาย
ในห้องโถงดอกไม้ กลิ่นหอมของชามะลิอบอวลไปทั่วห้องเป่าจูนำขนมหวานมา ข้างนอกฝนตก และรองเท้าปักของนางก็เปียกโชก เมื่อเหยียบบนพื้นหินอ่อน ทำให้มีรอยเท้าที่ชัดเจนหลายรอยอยู่บนพื้นซ่งซีซีไม่ได้พูดก่อน แต่นั่งบนเก้าอี้และดื่มน้ำชาช้าๆ ระหว่างน้ากับหลานสองคนนี้ห่างกันเพียงโต๊ะน้ำชาทรงสี่เหลี่ยมสูงขนมหวานวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา เป่าจูถือถาดแล้วถอยกลับโดยยืนเฝ้าอยู่นอกประตูซ่งซีซีหยิบขนมหวานก้อนเมฆด้วยมือแล้วกินมันช้าๆ เสียงเคี้ยวเบามากจนแทบไม่ได้ยินพระชายาอ๋องฮวยใช้ตะเกียบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในปากของนาง นางกินมันอย่างงดงาม โดยกัดคำเล็กๆ และถือมันไว้บนจานกระเบื้องเล็กๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เศษขนมใดๆ ตกใส่กระโปรงลายดอกไม้สีม่วงของนางผิวของนางค่อนข้างเหลือง และสีม่วงทำให้ผิวของนางยิ่งดูเข้มขึ้น ดวงตาของนางเหม่อลอย ใต้ตาลึกคล้ำ เห็นๆ อยู่ว่านอนหลับไม่ดีมาหลายคืนแล้วบางทีอาจเป็นเพราะนางเห็นซ่งซีซีเงียบตลอด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่จะวางจานและตะเกียบลง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าปาดมุมปากก่อนพูดว่า "ซีซี เจ้าต้องเหินห่างกับน้าเช่นนี้เลยหรือ?"เสียงซ่งซีซีเบาๆ "ข้านึกว่าเป็นท่านน้าที่จงใจทำตัวเหิน
ซ่งซีซีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เป่าจู ส่งแขก"พระชายาอ๋องฮวยระเบิดอารมณ์ออกมาทันทีทันใด "ซ่งซีซี ข้ายังพูดไม่จบเลย เจ้าจะรีบร้อนที่จะขับไล่ข้าหรือ ข้าเป็นท่านน้าของเจ้าน่ะ"นางหัวเสียและทุบถ้วยชาลงบนพื้น หน้าอกนั้นกระเพื่อมซ่งซีซีมองดูถ้วยชาที่แตกอยู่บนพื้น มีแอ่งน้ำชาอยู่ที่บริเวณข้างเท้าของนาง ทำให้เท้าหน้าของนางเปียกโชก"หาก" ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมองนาง น้ำเสียงดุดันและเย็นชา "เจ้ากล้าระบายความโกรธเช่นนี้ในจวนเฉิงเอินป๋อและกล้าทุบถ้วยต่อหน้าพวกเขา ชี้หน้าด่าเหลียงเส้าเป็นคนชั่ว ข้าก็ดีใจแทนหลานเอ่อร์ ยังถือว่าเจ้าเป็นท่านน้าของข้า แต่หลานเอ่อร์ต้องทนทุกข์ขนาดไหนแล้ว คืนนั้นเจ้าไม่เห็นหรือไง เจ้าเอาแต่พูดเกลี้ยกล่อม นางบอกว่าต้องการหย่า แค่ถามเจ้าว่ายอมรับให้นางกลับจวนหรือไม่ แม้ว่าเจ้าแค่พยักหน้าเล็กน้อยแทนที่โน้มน้าวให้นางอดทนเอาไว้ก็ถือว่าเป็นการปลอบใจที่ยิ่งใหญ่ บางทีนางอาจจะรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจไปขณะนึงเลยพูดว่าอยากหย่าด้วยอารมณ์เท่านั้น แต่การปฏิเสธของเจ้าจะทำให้นางเสียใจขนาดไหน ต้องสิ้นหวังมากเพียงใด เจ้าเคยคิดบ้างไหม?""นางหย่าไม่ได้" ใบหน้าของพระชายาอ๋องฮวยเปลี่ยนเป็นส
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร