มีมือใหญ่ข้างหนึ่งหยิบถุงสุราจากบนพื้น ชายคนนั้นเปิดออกแล้วดมกลิ่น ดวงตาที่สดใสของเขาเต็มไปด้วยความปีติยินดี แต่คำพูดที่เขาพูดออกมานั้นกลับโกรธจัด "ช่างบังอาจจัง กลับซ่อนสุราดีๆ ในกองทัพ ถูกยึดแล้ว!"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็หันหลังกลับและจากไปซ่งซีซีนั่งยองๆ อยู่กับพื้นแล้วลูบจมูกทั้งน้ำตา นางได้แต่มองร่างสูงวิ่งกลับไปที่ค่ายผู้บัญชาการทั้งแย่างนั้น"มันถูกยึดโดยผู้บังคับบัญชา" หมั่นโถวพูดด้วยความงุนงง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างเศร้าๆ ว่า "แม้ว่าให้ข้าจิบแค่คำเดียวก็ดีนะ จะแย่งชิงทำไม เป็นไง ถูกยึดไปแล้วสิ"เสิ่นว่านจือเองก็ไม่คาดคิดว่าผู้บังคับบัญชาจะมา จากนั้นแค่หัวเราะเบาๆ และพูดว่า "ข้ามีกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนั้น จะมีแค่ขวดเดียวได้ยังไงเล่า?"หมั่นโถวและกุ้นเอ๋อร์รีบไล่ตามไป ต่างเรียกนางว่าพี่อย่างเอาใจใส่ สุดท้ายทั้งห้าคนก็ได้ดื่มสุราอีกถุงหนึ่งสุดยอดเลย!เสียงแตรของการออกศึกครั้งที่สองดังขึ้น เสียงฝีเท้าดังก้อง ฉากยิ่งใหญ่ราวกับต้องพิชิตข้าศึกศัตรูให้ได้เป่ยหมิงอ๋องทรงออกสั่งว่าจุดประสงค์หลักของการโจมตีครั้งนี้คือทำให้ศัตรูบาดเจ็บ ให้ฆ่าคนน้อยลงและทำให้บาดเจ็บมากขึ้นหมั่
ผมของนางยุ่งเหยิง เลือดที่ศัตรูสาดกระเซ็นติดอยู่บนผม ตอนนี้มีปอยผมปิดแก้ม มันเลอะเทอะจนไม่น่ามอง ทั้งฟูทั้งพันกัน ยุ่งเหยิงเป็นตังเมเกราะไม้ไผ่บนตัวของนางก็เสียหายไปหลายจุด และมีเลือดเปื้อนด้วย ใบหน้าของนางไม่มีพื้นผิวที่สะอาดแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เลือดก็เป็นโคลนไม่ได้อาบน้ำอาบท่ามาหลายวันแล้ว สรุปแล้วแม้แต่ขอทานยังดูสะอาดกว่านาง"เจ้ารู้สึกไม่สบายใจหรือไม่?" เป่ยหมิงอ๋องนึกถึงทุกปีที่เขาไปสถาบันว่านซงเหมิน ได้เห็นหญิงสาวที่มีชีวิตชีวาและเลือดร้อนคนนั้น ไร้ความกังวลทั้งอย่างนั้น แต่เวลานี้กลับเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง"หิว!" ซ่งซีซีเปิดริมฝีปากที่แตกออกแล้วพูดออกมาหนึ่งคำเคราบนใบหน้าของเป่ยหมิงอ๋องขยับเล็กน้อย "อืม หิวทั้งนั้น อดทนหน่อย""เหนื่อย!" ซ่งซีซีพูดอย่างอ่อนแรง "ขนาดยืนก็ยากมาก""ซ่งซีซี!" ดวงตาของเป่ยหมิงอ๋องดูจริงจัง "เจ้ารู้ไหมว่านับตั้งแต่แคว้นซางก่อตั้งมา ไม่เคยมีทหารคนใดที่สามารถทำลายล้างศัตรูมากมายตอนครั้งแรกที่เข้าสู่สนามรบได้ แม้แต่ท่านพ่อของเจ้าก็ตาม เจ้าน่าทึ่งมาก ดังนั้น เจ้าให้เดินออกไปโดยลำตัวตั้งตรง"ซ่งซีซีลำตัวตั้งตรง และเดินกะโผลกกะเผลกออกจากค่ายของผู
คืนนี้ ซ่งซีซีนอนไม่หลับหลังจากอยู่แนวหน้ามาหลายวัน นอกจากวันแรกและวันนี้ที่ได้กินอิ่มท้อง เวลาอื่นก็มักจะเข้านอนด้วยความรู้สึกหิว แต่ยังนอนหลับได้สนิททว่าหลังจากกินอิ่มในคืนนี้กลับนอนไม่หลับแล้วแนวหน้านั้นอยู่ยากลำบากมากจริงๆ และมันเป็นเรื่องยากสำหรับท่านพ่อและพี่ชายของนางที่ได้อดทนมาหลายปีนางย่อมสามารถอดทนได้เช่นกัน แต่มันก็ไม่เหมาะจริงๆ ที่นางไม่ได้เล่าเรื่องระหว่านางกับจ้านเป่ยว่างให้ผู้บังคับบัญชาและพวกท่านอารู้เรื่องแต่ ให้นางจะอธิบายยังไง? บอกว่าผู้ชายที่ท่านแม่เลือกให้นาง พอได้สร้างผลงานทางทหารก็รังเกียจนาง ต้องการแต่งงานกับแม่ทัพหญิงอย่างยี่ฝางงั้นเหรอ?ทุกคนคงจะคิดว่า ที่นางมาที่เขตหนานเจียงเพราะนางไม่ยอมเลยมาพิสูจน์ว่านางเก่งกว่ายี่ฝางนางไม่สนใจว่าผู้คนในเมืองหลวงจะนินทาอะไรแต่นี่คือสนามรบ สนามรบที่ท่านพ่อและพี่ชายของนางเสียชีวิต นางไม่ต้องการให้ความภักดีของตัวเองเพื่อสืบทอดความปรารถนาก่อนที่ท่านพ่อจากไปนั้นถูกคนอื่นมองว่าเป็นแผนการที่นางมาแย่งชิงอำนาจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พวกนี้แต่ถึงยังไงพวกเขาต้องรู้เรื่อง เมื่อจ้านเป่ยว่างและยี่ฝางมาถึง เรื่องนี้ก็ไม่สามารถปก
ทันใดนั้นซ่งซีซีหลั่งน้ำตาออกมาทันที "เจ้าคุยกับนางไม่ได้แล้ว ยามนี้ที่ครอบครัวข้าเหลือข้าแค่คนเดียวแล้ว"ซ่งซีซียังไม่ได้บอกเพื่อนของนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นความเจ็บปวดในใจของนาง นางไม่กล้าพูด และพอพูดถึงมันร่างกายของนางก็สั่นเทาด้วยความเจ็บปวดใจทันใดนั้นกุ้นเอ๋อร์และหมั่นโถวก็เปิดม่านออก ใบหน้าที่ตกตะลึงสองหน้ามองไปที่เฉินเฉินและเสิ่นว่านจือท่ามกลางความมืด แล้วพูดพร้อมกันว่า "อะไรนะ"ซ่งซีซีเอาหัวซุกลงที่เข่า น้ำตาร้อนหยดลงมาเป็นหยดใหญ่ "พวกเขาถูกสายลับของเมืองซีจิงที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเมืองหลวงสังหารหมดแล้ว พวกเขาได้ส่งสายลับในเมืองซีจิงทั้งหมด มาลงมือกับจวนโหวของข้าจนไม่เหลือใครแล้ว เวลานั้นข้ายังเป็นภรรยาของจ้านเป่ยว่าง อาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพ ดังนั้นข้าจึงรอดชีวิตจากการลอบสังหารหมู แต่ถ้าข้าอยู่ด้วย... หากข้าไม่แต่งงาน พวกเขาคงไม่ตาย"พวกเขาต่างตกใจมากทั้งครอบครัวถูกสังหารหมู่ ซึ่งเป็นหายนะอย่างยิ่งจริงๆพวกเขาทั้งสี่เข้าไปข้างหน้าเพื่อกอดซ่งซีซีไว้ และร้องไห้ไปพร้อมกับนาง เฉินเฉินร้องไห้ "อย่าร้องไห้เลยซีซี ยังมีพวกเราอยู่"เสิ่นว่านจือผลักพวกเขาออกไป กอดซีซีไว้ในอ้อมแขนข
ในค่ายกลางแจ้งที่เมืองทาเฉิง เป่ยหมิงอ๋องวางมือบนโต๊ะ โน้มตัวไปข้างหน้าด้วยร่างสูง ดวงตาของเขาสดใสดุจดวงดาวบนท้องฟ้า"ส่งคำสั่งออกไปว่าให้โจมตีครั้งใหญ่ในเที่ยงคืน ตราบใดที่ยึดเมืองอีลี่ได้สำเร็จ จะมีกับข้าวและเนื้อให้กินอย่างเต็มที่ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องนอน และเสบียงทางทหารทุกชนิดจัดให้เต็มที่เลย ชาวซีจิงร่ำรวย พวกเขาใช้เกวียนมาขนอาหารและเสบียงทางการทหารคันแล้วคันเล่ามาที่เขตหนานเจียง"ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามีเนื้อให้กิน ทุกคนก็ตาสว่างขึ้น เป็นความจริงที่ว่ากองทัพเป่ยหมิงไม่ได้กินเนื้อสัตว์มาเป็นเวลานานมากแล้ว และพวกเขาแทบรอไม่ไหวจะกินทั้งเป็นเลยทันทีที่แผนที่เปิดออก เป่ยหมิงอ๋องชี้ไปที่วงกลมเล็กๆ ในเมืองอีลี่ และเรียกซ่งซีซีเข้าใกล้ เขาชี้ไปที่วงกลมเล็กๆ ด้วยนิ้วเรียวสีดำของเขาแล้วพูดว่า "ซ่งเชียนฮู่ หลังจากโจมตีเข้าสู่เมืองแล้ว เจ้านำกองทหารและม้าสามพันนายตรงไปยังเล่อหนิง ข้าวของ หญ้าและเสบียงทางการทหารถูกเก็บไว้ที่นี่ ปัจจุบันนี้ที่แคว้นซาและเมืองซีจิงมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เมื่อเมืองถูกโจมตีเข้า พวกเขาจะเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บก่อน รองมาค่อยเป็นเสบียง เพราะถึงยังไงของ
เป่ยหมิงอ๋องเป็นคนเด็ดขาด จากนั้นก็ออกคำสั่งให้นับจำนวนกองทหารทันที เมื่อถึงเวลายามจือ ทรงเริ่มตีกลองและเป่าแตรโจมตีวันนี้เพิ่งโจมตีเมืองไป และกองกำลังพันธมิตรระหว่าเมืองซีจิงและแคว้นซาในเมืองอีลี่คงไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะเริ่มโจมตีเมืองในเที่ยงคืนเครื่องหน้าไม้ถูกเปิดใช้งานและนักธนูก็เข้าที่ แต่มีกองไฟอยู่บนกำแพง แต่กองทหารฝ่ายโจมตีกลับไม่มีมันเทียบเท่ากับที่พวกเขาอยู่ในความสว่าง และกองทัพเป่ยหมิงอยู่ในความมืด และพวกเขากำลังโจมตีไปข้างหน้าจากความมืดซ่งซีซีและกลุ่มคนห้าคนขี่ม้าออกไป เมื่อพวกเขามาถึงประตูเมือง ก็ใช้ประโยชน์จากกำลังและบินตรงขึ้นไปบนหอชมเมือง หอกดอกท้อแทงยังทหารที่ควบคุมเครื่องหน้าไม้อยู่ ด้วยหมัดเดียว เครื่องหน้าไม้ก็แตกสลายไปเป็นชิ้นๆนักธนูเล็งไปที่นางแต่เป่ยหมิงอ๋องก็บินขึ้นไปทันที และกองไฟก็สะท้อนชุดเกราะสีทองสำหรับผู้บังคับบัญชาของเป่ยหมิงอ๋อง มีคนตะโกนว่า "เป่ยหมิงอ๋องมาแล้ว ฆ่าเขา ฆ่าเขาเลย"นักธนูทุกคนมุ่งเป้าไปที่เป่ยหมิงอ๋อง ลูกธนูเล็งออกไปราวกับเม็ดฝน ดาบสีทองของเป่ยหมิงอ๋องเกือบจะหมุนเป็นวงกลม เพื่อสกัดกั้นพวกลูกศรที่เล็งมาไม่หยุดทหารกลุ่มหนึ่งรีบร
เหงื่อผสมกับเลือดไหลลงมาจากด้านบนของศีรษะ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เหงื่อก็ควบแน่นเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว และก่อนที่ความร้อนจะจางหายไป กลับกลายเป็นความหนาวเย็นจนเข้ากระดูก"ซีซี …" หมั่นโถวหายใจเข้าลึกๆ โดยมีน้ำค้างแข็งสีขาวติดอยู่บนขนตา "เรา เราจะไม่ไปช่วยพวกเขาต่อสู้จริงๆ เหรอ แค่เฝ้ารออยู่ที่นี่นะ?""คำสั่งทางทหารสำคัญยิ่งยวดดุจภูผา บอกให้เราเฝ้ายุ้งฉาง เราก็จะเฝ้ายุ้งฉาง" ซ่งซีซีพิงกำแพง บนตัวสวมชุดเกราะสีทอง แต่นางถูกแทงที่แขนสองแผล มันไม่มีเลือด เลยไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ มันแค่เหนียวๆ ผสมกับความหนาวเย็น ที่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดทั้งตัวนางเหลือบมองพวกเขาทั้งหมด และทุกคนต่างได้รับบาดเจ็บด้วย ชุดเกราะไม้ไผ่ของพวกเขาแตกเป็นชิ้นๆ การต่อสู้ครั้งนี้ก็สู้จนทำให้ทุกคนดูเลอะเทอะไปหมด"อาการบาดเจ็บของทุกคนเป็นอะไรหรือไม่?"เสิ่นว่านจือโบกมือ นางไม่มีแรงที่จะพูดอะไรอีกเมื่อมองดูศพที่อยู่ข้างๆ พวกเขา บ้างก็เป็นศัตรูและบ้างก็เป็นสหายของตัวเอง ทั้งห้าคนต่างก็เศร้าโศกมากกองทหารศัตรูยังคงโจมตีมาอีก ซ่งซีซีกระโดดขึ้นและตะโกนว่า "มาอีกแล้ว ฆ่าซะ!"เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงอีกครั้ง จนกระทั่งพวกเ
เป่ยหมิงอ๋องว่า "ซีซี เจ้ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง"ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า "จะไปที่ไหน"เป่ยหมิงอ๋องกล่าวว่า "เจ้าจะรู้เมื่อไปถึงที่นั่น ทุกคนกลับกันเถอะข้าต้องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย"ซ่งซีซีและพวกแม่ทัพก็ถอนตัวออกไปตามนั้นการอาบน้ำในวันที่อากาศหนาวเย็น ต้องต้มน้ำร้อนเยอะๆ โชคดีที่เมืองอีลี่มีฟืนมากเพียงพอ ตอนที่ตั้งค่ายที่ชายเมืองทาเฉิงนั้น ขนาดแค่กินน้ำอุ่นก็เป็นเรื่องยากการอาบน้ำยังยิ่งไม่ต้องหวังเลยตอนนี้ นางมียศด้วย ดังนั้น เป่ยหมิงอ๋องส่งทาสบาปมารับใช้นางทาสบาปคนนี้อายุประมาณสี่สิบปี และมีกลิ่นเหม็นไปทั้งตัวด้วย ชื่อว่านางสิบสาม นางเคยทำธุรกิจเล็กๆ ในเมืองฮวยเฉิง เนื่องจากมีข้อพิพาททางธุรกิจ เลยใช้แจกันทุบบนหัวของคู่แข่ง คู่แข่งนั้นไม่ได้ตาย แต่กลายเป็นคนโง่ไปแล้วนางเลยถูกตัดสินโทษให้เนรเทศไปเป็นทาสในค่ายทหารเป็นเวลา 12 ปี นี่ก็ผ่านมา 11 ปีแล้ว และนางจะได้รับการปล่อยตัวในอีกหนึ่งปีข้างหน้านางสิบสามต้มน้ำร้อนให้ซ่งซีซี ยังหาถังอาบน้ำอันหนึ่ง และเอาสบู่ที่นางซ่อนไว้ออกมาให้ซ่งซีซีสระผม ผมนั้นต้องการให้คนอื่นมาช่วยสระด้วยถึงจะส
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง