ในที่สุด ปี้หมิงและลู่เจินก็เบียดเสียดเข้าไปโดยนำกองกำลังเมืองหลวงและค่ายลาดตระเวน และค่อยๆ เปิดทางเพื่อให้แม่ทัพใหญ่เซียวและองครักษ์รักษาพระองค์สามารถเดินทางต่อได้องครักษ์รักษาพระองค์นำแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าวังไปเข้าเฝ้าก่อนหน้านี้ มีคนรายงานความโกลาหลที่เกิดจากประชาชนและเนื้อหาการตะโกนของพวกเขาไปยังจักรพรรดิ์ซูชิงจักรพรรดิ์ซูชิงขมวดคิ้ว และเสียงตะโกนว่า "ฝ่าบาททรงมีพระปัญญา" ก็รวมตัวกันเป็นเชือกและมัดเขาตายเดิมทีเขาวางแผนว่าให้เขาไปอยู่กรมราชทัณฑ์ก่อนหลังจากที่เซียวเฉิงกลับมาถึงเมองหลวง และเตรียมห้องขังที่มีสภาพแวดล้อมเงื่อนค่อนข้างดีเพื่อกักขังเขาไว้ อีกประเดี๋ยวก็ให้คำอธิบายให้กับนักการทูตจากเมืองซีจิงได้ง่าย แต่ตอนนี้เขายังสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?ภายใต้การนำทางของชีกุ้ย แม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่ห้องหนังสือหลวงก่อนคุกเข่าลงและกราบกราบไหว้ "กระหม่อมเซียวเฉิงคารวะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญพะย่ะค่ะ!"ก่อนที่จักรพรรดิ์ซูชิงจะเจอกับเซียวเฉิง จิตใจของเขาเต็มไปด้วยขั้นตอนในการจัดการเรื่องนี้แต่เมื่อเห็นเขาคุกเข่าต่อหน้าตนเอง เขาก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพอันงดงามและแข้งแกร่งในอดี
ในอดีต เมื่อซ่งซีซีเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพซวนเจีย จะมีขุนนางมากมายคัดค้านและรู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่ให้ผู้หญิงมาดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นนี้แต่ตอนนี้พอเห็นการกระทำต่างๆ ของฝ่าบาท และรู้ถึงเจนตาของฝ่าบาท พวกเขาก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ดีไม่ดี กองทัพซวนเจียในที่สุดก็เหลือแค่ค่ายลาดตระเวนที่รวบรวมผู้คนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเอาซะเลยแต่กองทัพซวนเจีย ซึ่งเคยเป็นกำแพงสำหรับเมืองหลวง ได้ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ ทุกคนรู้สึกว่ามันไม่เหมาะ ราวกับว่าอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่งถูกทำลายแน่นอนว่าเป็นเพราะหลังจากที่ซ่งซีซีเป็นผู้บัญชาการ กองทัพซวนเจียก็เริ่มมีอิธิพลมากขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น หลายคนที่ไม่พอใจกับซ่งซีซีในตอนแรกนั้น บัดนี้ต่างก็นับถือนางเข้าแล้วเป็นเพราะการที่พวกเขายอมรับซ่งซีซี ทำให้จักรพรรดิ์ซูชิงเร่งฝีเท้าและเปลี่ยนองครักษ์รักษาพระองค์กลายเป็นกองทัพซวนเท่ และการดำเนินการต่อไปอาจจะถูกเร่งให้เร็วขึ้นเช่นกันแม่ทัพใหญ่เซียวถูกหน่วยฉินหรงส่งตัวกลับไปจวนตระกูลเซียว จวนตระกูลเซียวอยู่ในสภาพรกร้าง หน่วยฉินหรงเข้าไปถอนวัชพืชและทำความสะอาดด้วยตนเอง อู๋ต้าปั้นได้คัดเลือกคนใช้หลายคนเข้าไปรับ
โหวเซวียนผิงมาด้วยคนเดียวโดยไม่มีผู้ติดตามด้วยซ้ำ เขาสวมเสื้อผ้าสีฟ้าและเสื้อคลุมสีดำหนา คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าเขาเป็นพ่อบ้านจากตระกูลแห่งหนึ่งเสียอีกเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซียืนขึ้นก่อนเพื่อต้อนรับเขา และคนอื่นๆ ก็ทำตาม ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งใจที่โหวเซวียนผิงยอมออกมือช่วยโดยไม่ลังเลหลังจากถามสารทุกข์สุขดิบเสร็จแล้ว โหวเซวียนผิงก็พูตามตรงว่า "ข้าขอโทษไม่ได้ให้ไอ้หมอนั่นตอบตกลงโดยไม่มีเงื่อนไขได้ เขาตั้งเงื่อนไขไว้ ข้าเลยต้องมาถามพระชายาและคุณหนูเสิ่นก่อน"โหวเซวียนผิงใช้คำว่า "ขอโทษ" ในตอนต้นทำให้ทุกคนตกใจมากจริงๆ จากนั้นก็ใจเย็นลงหลังจากได้ยินคำพูดที่เหลือเสิ่นว่านจือถามแปลกๆ "ทำไมถึงต้องถามข้าด้วย เขาต้องการทำอะไรกัน"โหวเซวียนผิงรู้สึกแปลกๆ เมื่อเขาพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา "เขาบอกว่าเขาต้องการไหว้คุณหนูเสิ่นเป็นอาจารย์ของเขา และจะเป็นลูกศิษย์สายตรงเหมือนกับพวกลู่เจิน ปี้หมิงด้วย"“อ๊า? ข้าก็ได้สอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาด้วยนี่" เสิ่นว่านจือไม่เข้าใจว่าจางฉีเหวินต้องการทำอะไร เขาเป็นสมาชิกขององครักษ์รักษาพระองค์ก็สามารถเข้าเรียนร่วมกับทุกคน ทำไมต้องไหว้ครูด้วย? นางบอกไปแล้วว่า แค่รับลูกศิ
จางฉีเหวินคุกเข่าลงกับพื้นและรีบกล่าวว่า "ท่านพ่อสบ่ยใจได้ นี่เป็นโอกาสทองที่หายากในชีวิตนี้ ลูกจะได้เรียนรู้กับอาจารย์อย่างดีแน่นอน และจะไม่มีวันเกียจคร้าน สำหรับสิ่งที่ลูกไม่ควรทำลูกจะไม่ทำเป็นอันขาด"เขาเคยเข้าเรียนกับเสิ่นว่านจือมาสองครั้ง แบบเรียนกับหลายๆ คน แต่เวลาอื่นๆ เนื่องจากต้องเข้าเวรจึงไม่ว่างมา พอเขามีเวลาว่าง เสิ่นว่านจือกลับไม่สอนเขาตามลำพัง ซึ่งทำให้เขาเสียใจมากหลังจากกลับบ้าน เขาเคยพูดคุยกับพ่อแม่หลายครั้งโดยบอกว่าหากสามารถได้รับการสอนจากอาจารย์เสิ่นแบบตามลำพังก็คงดีแต่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้ที่เขาไปชายแดนเฉิงหลิง เขาเป็นผู้โชคร้ายมาโดยตลอดจะมีโชคเข้าข้างเขา เขารู้ว่าเขาดูน่ารังเกียจไปหน่อย แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้ด้วยว่าถ้าเขาสูญเสียโอกาสนี้ไป เขาก็จะไม่มีโอกาสอีกเลยเนื่องจาก องครักษ์รักษาพระองค์ต้องการที่จะแยกออกมาเป็นอิสระและไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพซวนเจีย และที่อาจารย์เสิ่นสอนพวกเขาก็เห็นแก่ใต้เท้าซ่ง หลังจากที่องครักษ์รักษาพระองค์แยกออกไปแล้ว แม้ว่าฝ่าบาทจะให้นางสอนต่อและอนุญาตให้พวกเขาไปเรียนก็ตาม ผลที่ได้ก็จะเป็นเช่นเดิมนานๆ ทีถึงได้มีโอกาสได้เรียนที
เสิ่นว่านจือดึงซ่งซีซีคอยดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ นางรู้ว่าตอนนี้ซ่งซีซีต้องกังวลเกี่ยวกับท่านตาของนาง ดังนั้นจึงให้พวกลูกศิษย์มาแข่งขันกัน ศิลปะการต่อสู้เป็นสิ่งโปรดของซ่งซีซี การได้เห็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้น่าจะสามารถหันเหความสนใจของนางได้เซี่ยหลูโม่ก็นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ จุดประสงค์ของเขาคืออยู่เป็นเพื่อนกับซีซี ส่วนพวกเขาจะต่อสู้อย่างไร เขาไม่สนใจ...จะไม่สนใจก็ไม่ได้ จางฉีเหวินต่อสู้กับทั้งสามคน เถือว่าพ่ายแพ้ในเวลาอันสั้น บอกได้ว่าแค่ยอมรับการทุบตีโดยเปล่าๆมันถูกต่อยจนตกอยู่ในสภาพที่ไม่น่ามองเลยดีที่พวกเขารู้จักอะไรควรอะไรไม่ควร และไม่ต่อยหัวหรือใบหน้าของเขา โดนต่อยที่ร่างกายหรือถูกเตะกี่ครั้งก็ไม่ได้เป็นอะไร คนนอกมองไม่ออกหรอกหากทุบตีแบบนี้ต่อไป อีกไม่กี่ท่าจางฉีเหวินก็ไม่ไหวแล้วเซี่ยหลูโม่กำลังจะเรียกให้หยุด แต่ซ่งซีซีได้พูดชิงไปก่อน ในฐานะผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ นาง ทนไม่ได้ที่จะเห็นการถูกทุบตีฝ่ายเดียวเช่นนี้ ข้อบกพร่องของจางฉีเหวินได้รับการเห็นแล้ว พื้นฐานค่อนข้างดี แต่ก็เป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น ไม่ว่าท่าต่อย วิชาหมัดหรือท่าเท้าล้วนย่ำแย่ไปหมด ไม่เป็นระบบใดๆ เลยเสิ่นว่า
เขาพยายามแบบนี้จนกระทั่งเขาอายุสิบสามปี แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจังเลย ทุกครั้งที่เขาวางแผนจะไหว้ครูก็มักจะเกิดปัญหาต่างๆ หากไม่ใช่ตัวเขาเองป่วยหรือไม่ก็อาจารย์มีปัญหาในท้ายที่สุด พ่อจางก็ไม่ฝืนใจอีกต่อไป ให้เขาเรียนอย่างนั้น เรียนได้เท่าไรก็เท่านั้นเลยหลังจากได้ยินดังนั้น เสิ่นว่านจือรู้สึกซับซ้อนมาก คนๆ นี้คือดวงนำโชคที่กลับชาติมาเกิดหรือไง? จะโชคร้ายขนาดนั้น และฟังดูมีดวงกินอาจารย์ด้วยนางจะไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมจากประสบการณ์ของเขา ปัญหาเกิดขึ้นก่อนที่จะไหว้ครูสำเร็จ ตอนนี้เขาก็ไหว้ครูเสร็จแล้ว งั้นคงมีแต่โชคดีแล้วแหละ ทุกอย่างจะดีขึ้นเองจางฉีเหวินได้ไหว้กับศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามอย่างเป็นทางการ เมื่อเห็นแก่ทัศนคติที่จริงใจและให้ความเคารพของเขา ศิษย์พี่ทั้งสามจึงไม่ทำให้เขาลำบากใจแต่ซ่งซีซีถามเขาว่า "เจ้ามาจากองครักษ์ซวนเท่ ที่เจ้มาไหว้ครูโดยตรงเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะไม่เป็นที่โดดเด่นในองครักษ์ซวนเท่เหรอ"จางฉีเหวินตอบด้วยความเคารพ "ตอนนี้ไม่โดดเด่นไม่เป็นไร ตราบใดที่มีความสามารถมากพอ สักวันก็มีโอกาสได้โดดเด่น แต่ถ้าไม่พัฒนาศิลปะการต่อสู้ขอ
ในตอนเย็นของวันที่สอง เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาที่จวนตระกูลเซียวสามารถมองเห็นได้จากด้านนอกของจวนตระกูลเซียว หน่วยฉินหรงไม่กล้าที่จะละเลย แผ่นชื่อจวนถูกจัดใหม่ ทำความสะอาดประตู และตะปูทองแดงที่ประตูก็ถูกขัดทีละอันเพื่อให้เงางามในระหว่างวัน ประชาชนจะมามอบน้ำใจของตนเอง รวมทั้งผลไม้ ผัก ไก่ เป็ด และปลาต่างๆ ความรู้สึกของประชาชนเป็นสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด เรื่องอื่นๆ พวกเขาทำไม่ได้ งั้นได้แต่ทำสิ่งที่สามารถทำได้จ้านเป่ยว่างเฝ้าอยู่หน้าประตู ตรงกันข้าม เขาไม่กล้ามาในตอนกลางวันและมาเข้าเวรในเวลากลางคืนเท่านั้น เขาวางแผนที่จะเข้าไปสารภาพผิดหลังจากรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วแต่เขาไม่กล้าเปิดประตูแม้ว่าเขาพยายามเตรียมใจอยู่นานก็ตาม จนกระทั่งเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาถึง เขาก็ก้าวถอยหลังและซ่อนตัวโดยไม่รู้ตัวปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกนี้เป็นเพราะตอนนี้ประชาชนด่าเขาอย่างรุนแรง เมื่อเขาเดินทางในถนนใหญ่ก็มีคนขว้างใบผักเน่าใส่เขาด้วยเขารู้ว่าผลงานที่เขาได้ในชายแดนเฉิงหลิงตอนนี้กำลังทวงหนี้เขาในรูปแบบความโกรธเคืองจากประชาชนแต่ตอนนี้ถูกด่า และเขาก็ยอมรับอย่างใจเย็นได้ เพราะตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องอธิบ
เขาช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นก่อนเซี่ยหลูโม่ จากนั้นก็ลูบหัวของนาง เช่นเดียวกับตอนนางยังเด็ก เมื่อไหร่ก็ตามที่นางไม่สบอารมณ์ก็จะมาฟ้องกับตา สาวน้อยตัวน้อย ไม่สามารถทนความคับข้องใจใดๆ ได้แม้แต่น้อย ผู้ใดด่านางว่านาง นางจะเก็บไว้ในใจหมด เมื่อรอท่านตากลับเมืองหลวงค่อยฟ้องกับเขาหลังจากฟ้องเรื่องเสร็จ ยังคงซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ดูเศร้าโศกและว่าง่าย แต่ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มได้ใจอย่างไรอย่างนั้นน้ำตาของซ่งซีซีเปรียบเสมือนลูกปัดที่ร้อยจากเชือกที่ขาด ร่วงหล่นลงมาอาบแก้มของนางเป็นหยดใหญ่ท่านตาปาดน้ำตาให้นางด้วยมืออันหยาบกระด้าง กลั้นเสียงเศร้าของเขาไว้ แต่ก็ยังได้ยินเสียงสั่นเทา "คราวนี้ ใครรังแกซีซีตัวน้อยของเราเล่า แต่ตอนนี้หลานไม่จำเป็นต้องให้ตาออกมือช่วยหลาน หลานก็จัดการด้วยตนเองได้เลยนะ"น้ำเสียงที่ทั้งเศร้าใจและน่าพึงพอใจทำให้ซ่งซีซีรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งขึ้นนางพยายามปาดน้ำตาของตนเองออก นางไม่ได้มาที่นี่เพื่อร้องไห้ ยิ่งไม่ต้องการให้ท่านตาเห็นความอ่อนแอของนาง นางมองออกไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า สายตาที่ท่านตามองหานางยังเต็มไปด้วยความเอ็นดู แต่ความแก่ชราของเขาก็มองเห็นได้ชัดเจนขึ้
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร