ลั่วจินหยางรีบวิ่งเข้ามาหาลั่วหนิงฮวาด้วยความดีใจ เขาสำรวจดูน้องสาวของตนอย่างพิจารณา คล้าย ๆ กับว่านางจะผอมลงไปไม่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใจของลั่วจินหยางก็ให้เจ็บปวดยิ่งนัก
แต่ไหนแต่ไรมาเขามิค่อยได้อยู่จวนเท่าใดนัก จึงอาจจะดูห่างเหินกับน้องสาวผู้นี้ไปไม่น้อย แต่ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่นอกจวนเป็นส่วนมาก แต่เขาเองก็รู้เรื่องที่ลั่วหนิงฮวาถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง เขานึกเจ็บใจไม่น้อย หากเขาได้สืบทอดจวนต่อจากท่านพ่อเมื่อใด เขาจะต้องปกป้องลั่วหนิงฮวาให้จงได้
"พี่ใหญ่"
"หนิงเอ๋อร์ พี่ผิดต่อเจ้ายิ่งนัก พี่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้"
ลั่วจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างจริงใจ ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป
นางสัมผัสได้ถึงความห่างเหินระหว่างพี่น้องคู่นี้ แต่จะไปว่าลั่วจินหยางอยู่ในสนามสงครามเสียส่วนใหญ่ เรื่องนี้นางเข้าใจดี
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย อย่างไรเสียนางก็ยังมีพี่ชายร่วมมารดาหลงเหลืออยู่ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วไปเถิด
นางมิใช่สตรีที่เย่อหยิ่งจองหองอันใดเหล่านั้น
"ช่างเถิด ว่าแต่พี่ใหญ่มาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ"
ลั่วจินหยางที่ได้ยินน้องสาวของตนเอ่ยถามเช่นนี้ก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้นางฟัง เขาเพียงเล่าแค่บางส่วนเท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องที่ถูกนักฆ่าตามเอาชีวิตเขาไม่มีทางเล่าให้นางฟัง
โจวอวี้หลันเห็นว่ารถม้าจอดนานเกินไปแล้ว นางจึงก้าวเดินลงมาจากรถม้า ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปที่ลั่วจินหยางและลั่วหนิงฮวาเล็กน้อย
"ที่นี่น่ะหรือ?"
โจวอวี้หลันมองบ้านสภาพเก่าตรงหน้าก่อนจะทอดถอนใจออกมาเล็กน้อย
"หนิงเอ๋อร์ นี่คือองค์หญิงโจวอวี้หลัน"
"ถวายพระพรองค์หญิงเพคะ"
ลั่วหนิงฮวาทำความเคารพโจวอวี้หลันอย่างนอบน้อม แต่ทว่าใบหน้ากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม มีเพียงความเฉยชาและไร้ความรู้สึกบนใบหน้าสวยของนาง
โจวอวี้หลันมิใช่คนที่ถือตนอันใด นางจึงไม่ใส่ใจมากนัก เมื่อหันไปมองเหล่าจางสงที่กำลังเดินกลับมาจากไปฝังสุรา ก็ขมวดคิ้วมุ่น
"นี่เป็นคนของเจ้าหรือ?"
"เพคะ ลูกน้องหม่อมฉันเอง"
"ลูกน้อง?"
"เพคะ พวกเขามาช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ องค์หญิงอย่าทรงใส่พระทัยเลยเพคะ ยามนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว เชิญเสด็จประทับด้านในก่อนเถอะเพคะ ข้างในอาจจะคับแคบไปบ้าง ขออย่าทรงถือสานะเพคะ"
"ไม่เป็นไร ข้าอยู่ได้ รองแม่ทัพลั่ว ไปพาอาเฉินลงมาเถิด"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ลั่วหนิงฮวาสั่งให้แม่นมหยางและซือลี่พาองค์หญิงเข้าไปพักผ่อนด้านในเสียก่อน ส่วนนางกำลังจ้องมองไปที่ร่างของบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษผู้นั้นก็มองมาที่นางเช่นกัน
เขาสวมชุดสีเขียวทั้งชุด ดูทรงเสน่ห์และน่าค้นหาไม่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาแฝงเอาไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ เขาเจาะหูทั้งสองข้าง ยิ่งขับให้ใบหน้าของเขาหล่อเหลาราวกับเซียนสวรรค์
จะว่าผีก็มิใช่ วิญญาณก็ไม่เชิง
เมื่อได้เห็นร่างของบุรุษที่ลั่วจินหยางและทหารอีกสามนายนำลงมาจากรถม้า ลั่วหนิงฮวาก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง
บุรุษผู้นั้นวิญญาณหลุดออกมาจากร่างสินะ!!!
เฮ้อ!!! นี่นางเจอผีอีกแล้ว ดูนั่นสิ นั่นคงเป็นเหล่าทหารที่ตายระหว่างทางเป็นแน่ สภาพแต่ละคนช่างดูไม่ได้เอาเสียเลย แต่ยังคงจงรักภักดีตามมาส่งนายของตนอีก
น่าเวทนายิ่งนัก!
ลั่วจินหยางไม่ได้บอกนางทั้งหมดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ทว่าดูจากสภาพวิญญาณทหารพวกนั้นแล้ว ระหว่างทางคงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเป็นแน่
โจวอี้เฉินจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาที่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก นางรวบผมเก็บอย่างลวก ๆ ใบหน้าสวยหวานแต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยความเย็นชา ชุดสีเขียวไม้ไผ่ยิ่งขับเน้นให้นางดูงดงามสบายตากว่าสตรีใดที่เขาเคยเจอเสียอีก
โจวอี้เฉินในยามที่ยังมีชีวิต เขาหลงมัวเมาในสตรีอย่างไม่ลืมหูลืมตา สตรีใดที่ว่างดงามล่มเมืองเขาล้วนเคยเห็นมาจนหมด
แต่กลับไม่มีใครงดงามเท่านางเลย
ลั่วหนิงฮวาเมื่อรู้ตัวว่าถูกโจวอี้เฉินจ้องมองก็รู้สึกประหม่าไม่น้อย ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉย แต่ทว่าใจของนางกลับเต้นไม่เป็นส่ำ
เกิดมาเพิ่งเคยเจอผีหล่อขนาดนี้!
โจวอี้เฉินยกยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปาก ก่อนจะพุ่งเข้าไปปรากฏกายอยู่ตรงหน้าของลั่วหนิงฮวาอย่างรวดเร็ว ลั่วหนิงฮวาสะดุ้งตกใจ ก่อนจะถอยหลังไปหลายก้าว
"น้องสาวเห็นพี่ชายด้วยหรือ?"
ลั่วหนิงฮวา "..."
"น้องสาวผู้นี้ช่างงดงามยิ่งนัก ข้ามิเคยเห็นสตรีใดงดงามเท่าเจ้ามาก่อน"
ลั่วหนิงฮวานึกยิ้มเยาะในใจ ช่างหน้าหม้อหน้าด้านยิ่งนัก ขนาดกลายเป็นผีแล้วยังไม่ละตัณหา
"ดูท่าแล้ว ท่านคงจะตายเพราะสตรีมาสินะ"
โจวอี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปในทันที ดวงตาคมฉายแววเย็นชา ก่อนจะเอ่ยกับลั่วหนิงฮวาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
"เจ้ารู้ได้เช่นไร?"
"เหอะ เจ้าชู้ตัณหากลับเช่นนี้ ส่วนมากจะตายเพราะสตรีทั้งนั้น ข้าเดาถูกหรือไม่?"
โจวอี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นความโกรธเคืองในคราแรกก็หายไปจนหมดสิ้น เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่ยั่วเย้า
"พี่ชายยังไม่ตาย เพียงแค่ออกมาเที่ยวเล่นชั่วคราวเท่านั้น หากน้องสาวไม่รังเกียจ..."
"ข้ารังเกียจ ข้าไม่ชอบผีตัณหากลับ"
"น้องสาวอย่าเพิ่งไป พี่ชายไม่กวนใจเจ้าก็ได้ แต่พี่ชายมีข้อแลกเปลี่ยน"
"แลกเปลี่ยนสิ่งใด"
"พี่ชายเป็นถึงองค์รัชทายาท ในเมื่อน้องสาวเห็นพี่ชายแล้ว ก็เมตตาช่วยเหลือพี่ชายสักคราเถิด"
"ช่วยเช่นใด?"
"ช่วยข้าให้หาทางกลับเข้าร่างให้ได้ หากเจ้าทำได้ พี่ชายจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลั่วหนิงฮวาก็จ้องมองโจวอี้เฉินอย่างพิจารณา
ตอบแทนอย่างงาม?
เอาจริง ๆ นางก็มิใช่คิดจะหวังผลตอบแทนอะไรจากเขา
แต่ถ้าได้ตั๋วเงินสักหมื่นตำลึงก็คงจะดีไม่น้อย ยามนี้นางขาดแคลนเงินทองยิ่งนัก
"น้องสาว"
"ข้าไม่รับปากว่าจะช่วยได้หรือไม่?"
"ห้าพันตำลึง"
"เฮ้อ เริ่มเห็นเค้าราง ๆ แล้ว แต่ยังนึกวิธีไม่ออก"
"หมื่นตำลึง"
"โอ๊ย อย่ากดดันข้า แต่เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว"
โจวอี้เฉินรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สตรีน้อยนางนี้ช่างหน้าเงินยิ่งนัก
"ห้าหมื่นตำลึง!!!"
"ก็ได้ แต่ขอข้าคิดหาวิธีก่อนนะ ยามนี้ข้ายังต้องรักษาใบหน้าอัมพาตของตนอีก คงช่วยท่านได้ไม่มากนัก"
โจวอี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจเรื่องราวตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
ที่แท้แล้วที่นางไม่ยิ้มแย้มไม่แสดงท่าทีใดใดก็เพราะนางเป็นโรคอัมพาตที่ใบหน้าหรอกหรือ
ช่างเถิด ตรงนั้นไม่เป็นอัมพาตก็ดีมากแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงส่งยิ้มให้นางก่อนจะเอ่ยตอบ
"เอาเถิด ข้ารอได้ พี่ชายเชื่อว่าที่เราได้พานพบกันในครานี้เป็นเพราะมีวาสนาร่วมกัน"
วาสนากับผีน่ะสิ!!!
"ก็ดี อย่าลืมเล่า หากข้าทำสำเร็จแล้วเจ้าไม่ยอมทำตามที่พูด ต่อให้เจ้าเป็นองค์รัชทายาท ข้าก็ไม่ละเว้น!!!"
"พี่ชายรู้แล้ว รบกวนน้องสาวด้วย"
"เลิกเรียกข้าแบบนี้เสียที"
"เช่นนั้นให้เรียกเช่นไร?"
"หนิงเอ๋อร์"
"ข้าชื่อโจวอี้เฉิน เรียกอาเฉินก็ได้ หรือเจ้าอยากจะเรียก สามี ก็ได้"
มารดามันเถอะ!!!
ลั่วหนิงฮวาจ้องมองโจวอี้เฉินด้วยสายตาที่เย็นชา โจวอี้เฉินเองก็ส่งยิ้มให้นางเล็กน้อย
ยามนี้มีคนที่สามารถสื่อสารกับเขาได้แล้ว อย่างไรเสียการผูกมิตรกับนางย่อมเป็นประโยชน์กับเขา
อากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะ ลั่วหนิงฮวาสวมเพียงเสื้อผ้าบางเบา นางก้มลงไปปัดเศษใบหญ้าที่ติดตรงชายกระโปรง ทำให้โจวอี้เฉินที่ยืนอยู่มองเห็นหน้าอกที่ใหญ่ทะลักของนางได้เต็มสายตา
โจวอี้เฉินซู้ดปากด้วยความเสียวสะท้าน เขาจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา จนกระทั่งลั่วหนิงฮวาเงยหน้าขึ้นมาพอดี จึงรู้ว่าเขากำลังมองหน้าอกของนางอยู่
ผีทะเล!!!
เพราะโจวอี้เฉินเพ่งมองหน้าอกของลั่วหนิงฮวาอย่างตั้งใจ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจึงหลุดออกมาจากเบ้าทันที
ลั่วหนิงฮวาที่เห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกสะอิดสะเอียนไม่น้อย แต่กลับแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูโจวอี้เฉินหยิบลูกตาของตนเองทั้งสองข้างยัดเข้าเบ้าตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บัดซบ!!! นี่นางกำลังเจอสิ่งใดอยู่กัน
อีกด้านหนึ่ง โจวอวี้หลันกับลั่วจินหยางกำลังช่วยกันประคองโจวอี้เฉินลงบนเตียง ทันทีที่วางร่างของโจวอี้เฉินลง ท่อนเอ็นลำมังกรของโจวอี้เฉินก็พลันแข็งชูชันขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
โจวอวี้หลันและลั่วจินหยางต่างหันมาสบตากันด้วยความเลิ่กลั่ก
โจวอวี้หลันทำได้เพียงครุ่นคิดในใจ
ขนาดป่วยปางตายยังแข็งขนาดนี้ได้อีกหรือ?
นางพยายามไล่ความคิดบ้า ๆ นี้ออกไป ก่อนจะหันไปพบกับลั่วจินหยางที่ยืนหนีบขาอยู่ โจวอวี้หลันขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"รองแม่ทัพลั่ว ท่านเป็นอันใดหรือ เหตุใดจึงยืนหนีบขาเช่นนั้นเล่า?"
"เอ่อ..."
"รองแม่ทัพลั่ว"
"กระหม่อมแข็งพ่ะย่ะค่ะ"
"สิ่งใดแข็ง?"
ลั่วจินหยางใบหน้าแดงระเรื่อ เมื่อถูกโจวอวี้หลันคาดคั้น เขาจึงถอดกางเกงให้นางดูทันที
"สิ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ"
โจวอวี้หลัน "..."
ปัง!!!
เสียงประตูดังคล้ายถูกบางอย่างกระแทกอย่างรุนแรง เมื่อลั่วหนิงฮวาหันไปมองก็พบกับลั่วจินหยางที่กระเด็นออกมาจากเรือนของนาง
แน่นอนว่าโจวอวี้หลันเป็นคนถีบเขาออกมาเอง
ลั่วหนิงฮวาสั่งให้แม่นมหยางและซือลี่ไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเพื่อต้อนรับโจวอวี้หลันและลั่วจินหยาง นางทำอาหารง่าย ๆ ไม่กี่อย่างเพียงเท่านั้น โจวอวี้หลันเองไม่ใช่คนเรื่องมากอันใดนัก นางส่งยิ้มให้ลั่วหนิงฮวาและยังบอกให้นางไปร่วมมื้อค่ำด้วยกันอีกด้วย "ได้ยินว่าเจ้าป่วยหรือ ใบหน้าจึงเป็นอัมพาต" โจวอวี้หลันเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาหลังจากที่รับสำรับมื้อค่ำด้วยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ออกมายืนที่ริมระเบียงด้านหน้าเรือน มองดูดวงจันทร์ที่สว่างไสวยามค่ำคืน "เพคะ เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย" "เห็นทีคงจะไม่เล็กน้อยกระมัง"โจวอวี้หลันหันไปเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า ลั่วหนิงฮวายิ้มกริ่มอยู่ในใจ แต่ทว่าใบหน้ากลับยังคงนิ่งสงบ "องค์หญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก เรื่องของสตรีในเรือนหลังองค์หญิงคงจะรู้มาไม่น้อย" "แน่นอน ได้ยินว่าแม่เลี้ยงเป็นคนเลี้ยงดูเจ้า เจ้ากับข้าก็คงไม่ต่างกัน" "นี่คงเป็นเหตุผลที่องค์หญิงเสด็จออกจากวังหลวงกระมัง" "เจ้าเองก็ฉลาดมิใช่น้อย" "ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงกล่าวชมเพคะ" "ไม่เป็นไร ว่าแต่ชายเหล่านั้น เป็นลูกน้องของเจ้าจริง ๆ หรือ" โจวอวี้หลันเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาพร้อมกั
เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามเช้า ลั่วหนิงฮวาตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมาฝึกฝนร่างกายในทุก ๆ วัน แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนใบหน้าสวยที่มีหยดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดพราย ยิ่งขับให้ความงามของนางหวานล้ำจนโจวอี้เฉินละสายตาไม่ได้ เขานั่งมองนางอยู่เช่นนั้นเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ลั่วหนิงฮวาเองก็ไม่ใส่ใจเขาเท่าใดนัก เมื่อฝึกฝนร่างกายจนพอใจแล้ว นางก็ทิ้งกายนั่งลงตรงลำธารเบื้องหน้าก่อนจะใช้มือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าของตน "ฝึกเสร็จแล้วหรือ ข้ายังอยากดูต่ออยู่เลย" โจวอี้เฉินเอ่ยกับลั่วหนิงฮวาด้วยน้ำเสียงที่กรุ้มกริ่ม แท้จริงแล้วเขามิได้อยากดูนางฝึกฝนวรยุทธ์ แต่เขาต้องการดูหน้าอกของนางต่างหาก ยามที่นางขยับกายขึ้นลง สองเต้าเต่งตึงของนางก็จะกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ เห็นแล้วเขาอยากจะกินนมยิ่งนัก! ลั่วหนิงฮวาหันไปถลึงตาใส่โจวอี้เฉินอย่างรู้ทัน ผีหน้าหม้อตนนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว!!!"ลูกพี่ สุราที่พวกเราบ่มเอาไว้ได้ที่แล้วขอรับ" จางสงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาลั่วหนิงฮวาด้วยความตื่นเต้น ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยนั่นเป็นสุราสูตรพิเศษที่นางคิดค้นขึ้นมาเองกับมือ ใช้เวลาหมักเพียงไม่กี่วันรสชาติก็จะดีเยี่
เมื่อกลับมาถึงเรือนก็พบว่าลั่วจินหยางและโจวอวี้หลันกำลังยืนอยู่ที่ข้างรถม้า ลั่วหนิงฮวามองดูเหล่าทหารที่นำร่างของโจวอี้เฉินขึ้นไปบนรถม้าด้วยแววตาที่เรียบเฉย "ข้าจะไปแล้วนะ แล้วเราจะได้พบกันอีกหรือไม่?" โจวอี้เฉินโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างใบหูของนาง ความเย็นยะเยือกสายหนึ่งพาดผ่านใบหน้าสวยจนนางรู้สึกขนลุกไปทั้งกายเดิมทียังไม่รู้ว่าจะหาวิธีใดทำให้เขากลับเข้าร่างได้ นางเองก็รับปากไปส่ง ๆ เพื่อให้จบเรื่องเพียงเท่านั้น ไม่คิดว่าเจ้าผีหน้าหม้อตนนี้จะเห็นเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนี้ ลั่วหนิงฮวาไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางหันไปเอ่ยกับลั่วจินหยางและโจวอวี้หลันแทน"พี่ใหญ่จะไปแล้วหรือเจ้าคะ" "อืม หนิงเอ๋อร์ องค์หญิงทรงตรัสว่าชื่นชอบในตัวเจ้าไม่น้อย หากเจ้าไม่มีสิ่งใดต้องทำ พี่อยากจะชวนเจ้าเดินทางไปยังหมู่บ้านชนบทอีกฝั่งหนึ่งด้วยกัน เจ้าเห็นเป็นเช่นไร" ลั่วจินหยางเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน โจวอวี้หลันเองก็ส่งยิ้มให้นางเช่นกัน ลั่วหนิงฮวาหันไปมองหน้าโจวอี้เฉินที่ยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะถอนหายใจออกมา การได้ออกไปท่องเที่ยวบ้างก็คงจะดีไม่น้อย "ไปเถิด เจ้าสัญญาแล้วไม่ใช่หรือว่าจะหาทางช่วยข้าให้ก
ลั่วหนิงฮวาได้พักที่เรือนทางด้านปีกซ้าย ส่วนโจวอวี้หลันได้พักที่เรือนปีกขวา ด้านลั่วจินหยางพักที่เรือนใหญ่เพื่อคอยคุ้มกันร่างของโจวอี้เฉิน ลั่วหนิงฮวามองดูบรรยากาศโดยรอบอย่างพึงพอใจ ที่นี่รายล้อมไปด้วยต้นไผ่สีเขียวสด อีกทั้งยังมีสวนสมุนไพรมากมายที่ท่านหมอเทวดาปลูกเอาไว้ ให้ความร่มรื่นดูสบายตาไม่น้อย ก่อนจะกลับมาที่เรือนใหญ่ ท่านหมอเทวดาได้เอ่ยกับนางประโยคหนึ่ง ทุกอย่างล้วนเป็นวาสนา ขอแม่นางอย่าได้กังวลใจ ลั่วหนิงฮวาครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านหมอเทวดาก็ให้นึกสงสัยในใจไม่น้อย เขาล่วงรู้เรื่องราวอันใดกันหรือ? "คุณหนูเจ้าคะ บ่าวจะไปจัดเตรียมสิ่งของให้นะเจ้าคะ" "อืม ไปเถิด" ลั่วหนิงฮวาหันไปเอ่ยกับแม่นมหยางและซือลี่คราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองโจวอี้เฉินที่ยามนี้กำลังนอนเอนกายอยู่บนเตียงของนางอย่างสบายอารมณ์ ผีตนนี้นี่มัน!!! "เหตุใดจึงไม่ไปอยู่ที่เรือนใหญ่ ร่างของท่านอยู่ที่นั่นมิใช่หรือ?""ข้าเหงานี่ อยู่กับเจ้าสนุกกว่าตั้งเยอะ" "อย่าคิดก้าวก่ายวุ่นวายชีวิตของข้า มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าท่านเสียอีกรอบ!" "โธ่แม่นาง ช่างใจร้ายใจดำยิ่งนัก ข้าเพียงแค่มานั่งมองเจ้าเพียงเท่านั้น มิได้รบกวนเจ้าเลยสัก
ยามเช้าของวันต่อมาอากาศช่างแจ่มใสไม่น้อย หลังจากรับสำรับยามเช้าเรียบร้อยแล้ว ลั่วหนิงฮวาก็ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ริมระเบียง "ที่นี่อากาศดีหรือไม่?" เสียงเอ่ยทักทายที่หวานใสทำให้ลั่วหนิงฮวาต้องหันไปมอง นางย่อกายทำความเคารพโจวอวี้หลันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ "ดีมากเลยเพคะ" "อืม ข้าได้ปรึกษากับท่านหมอเทวดาแล้ว อีกสองวันเขาจะทำการตรวจจับชีพจรให้เจ้าเพื่อหาสาเหตุและพิษชนิดที่เจ้าได้รับ จากนั้นจะหาทางรักษาเจ้าให้หาย" "ขอบพระทัยองค์หญิงมากนะเพคะ" "ช่างเถิดเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านั้น""หนิงเอ๋อร์" ลั่วหนิงฮวาและโจวอวี้หลันได้ยินเสียงเรียกจึงหันไปมอง ก็พบกับลั่วจินหยางที่เดินเข้ามาพอดี โจวอวี้หลันที่เห็นเช่นนั้นใบหน้าก็แดงระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ นางยังจำท่อนเอ็นหรรษาของเขาได้ไม่ลืม อยากอมจัง!!!ไม่ใช่สิ!!! "เอ่อ พวกเจ้าพี่น้องคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน" โจวอวี้หลันเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินจากไป ลั่วจินหยางมองตามนางด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ลั่วหนิงฮวาที่ได้เห็นท่าทีของคนทั้งสองก็หรี่ตามองพี่ชายอย่างรู้ทัน"พี่ใหญ่หลงรักนางหรือ?" "เอ่อ อย่าพูดจาส่งเดช นางเป็นถึงองค์หญ
ยาที่ท่านหมอเทวดามอบมาให้นั้น เดิมทีลั่วหนิงฮวาคิดว่ามันคงจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก แต่ทว่านางคิดผิด! ทันทีที่กินยาเม็ดนี้เข้าไป นางก็อาเจียนออกมาจนหมดท้อง มีเพียงน้ำเมือกสีดำที่นางอาเจียนออกมา เป็นเช่นนี้ราวหนึ่งเค่ออาการจึงค่อย ๆ ทุเลาลง นางรู้สึกอ่อนเพลียไม่น้อย จึงเอนกายนอนพักและให้แม่นมหยางกับซือลี่เฝ้าประตูด้านนอกเอาไว้ สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ลั่วหนิงฮวารู้สึกเหน็บหนาวไปจนถึงกระดูก นางขดตัวราวกับกุ้งอยู่บนเตียงนอน พลันปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่ลอบปีนเข้ามาทางหน้าต่าง เขาคือโจวอี้เฉิน เพราะได้ดื่มยาของท่านหมอเทวดาไปไม่น้อย เขาจึงแข็งแรงขึ้นมาก ในใจนึกเป็นห่วงนางขึ้นมาจึงแอบมาดูเสียหน่อย ลั่วหนิงฮวาซุกกายอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ใบหน้าสวยซีดเผือด แต่ทว่าริมฝีปากของนางยังคงเป็นสีแดงสด โจวอี้เฉินทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเตียงของนาง ก่อนจะยื่นมือหนาใหญ่ไปจับเส้นผมที่ระใบหน้าของนางออก "หนาว ข้าหนาวยิ่งนัก" ลั่วหนิงฮวาพึมพำออกมาเล็กน้อย นางพลิกกายไปมาด้วยความทรมาน โจวอี้เฉินที่เห็นเช่นนั้นจึงคว้าเอวบางของนางขึ้นมา ก่อนจะกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน "อื้ออออ ปล่อย" "อย่าดื้อ" ลั่วหนิงฮว
โจวอี้เฉินพักรักษาตัวอยู่ที่จวนของท่านหมอเทวดาต่ออีกราวเจ็ดวัน อาการของเขาแม้จะได้รับการรักษา แต่ทว่าพิษในกายนั้นค่อนข้างหนักหนาไม่น้อย จึงยังต้องใช้เวลาในการขจัดพิษอย่างต่อเนื่อง โจวอวี้หลันเห็นว่าร่างกายของน้องชายเริ่มจะคงที่ขึ้นมากแล้ว จึงตระเตรียมการที่จะกลับวังหลวงโดยเร็ว หากพวกนางจากมานานเพียงนี้แล้วมิกลับเสียที เกรงว่าเซียวฮองเฮาคงจะวางแผนเพื่อหวังช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทจากโจวอี้เฉินเป็นแน่ ท่านหมอเทวดาก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาที่จะเดินทางได้แล้ว เมื่อหารือกันเรียบร้อยจึงได้กำหนดเดินทางกลับวังหลวงในอีกสองวันข้างหน้า สิ่งที่โจวอวี้หลันกังวลก็คือ นางเกรงว่าจะถูกลอบโจมตีเช่นครานั้นอีก แม้ที่นี่จะเป็นจวนของท่านหมอ แต่ทว่าท่านหมอเทวดากลับมีเหล่าทหารคอยคุ้มกันไม่น้อย ทหารเหล่านี้นั้นล้วนเป็นทหารที่อดีตฮองเฮาพระราชทานมาไว้ให้ ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็สั่งให้แม่นมหยางและซือลี่ตระเตรียมข้าวของเอาไว้ให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมออกเดินทาง หลายวันมานี้โจวอี้เฉินไม่ได้มารบกวนนางเลยแม้แต่น้อย อาจเพราะเขาจะต้องรักษาตัวจึงไม่มีเวลามากวนใจนางเช่นทุกครั้ง สองวันต่อมาขบวนเสด็จก็เดินทางกลับเ
หลัวเฟิงที่เห็นว่าลั่วหนิงฮวามาพร้อมสุราหลายไห เขาก็เผยรอยยิ้มเบิกบานทันที คราก่อนนั้นสุราของลั่วหนิงฮวาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า อีกทั้งยังดึงดูดลูกค้ามาที่โรงพนันของเขาอย่างไม่ขาดสาย เป็นจริงดังที่นางบอกเอาไว้ กำไรมหาศาลมากมายเสียยิ่งกว่าค่าสุราที่เขาต้องจ่ายให้นางเสียอีก "วันนี้ข้าต้องเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว หลายวันก่อนข้าถูกอันธพาลมาปล้นสุรา ยามนี้เหลือไม่ถึงสิบไห เจ้าเอาไว้แก้ขัดก่อนก็แล้วกัน" หลัวเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใจกระตุกวูบ "ลั่วหนิงฮวา หากเจ้าไปแล้ว ข้าจะหาสุราได้จากที่ใดเล่า?"หลัวเฟิงมุ่ยหน้าราวกับเด็กน้อย ลั่วหนิงฮวาที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง "ข้าจะหมักสุรานี้เอาไว้ไม่ให้ขาด ทุกวันที่สิบห้าของเดือน เจ้าก็ส่งคนเดินทางไปรับสุราของข้าที่เมืองหลวงสิ ระยะทางมิได้ไกลกันมากนัก" "หนิงเอ๋อร์ หรือว่าเจ้าจะขายสูตรสุรา..." "หุบปาก!!! ที่ข้ายอมทำการค้ากับเจ้าเพราะเห็นแก่ความเป็นสหายของเรา" หลัวเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็เบ้ปากทันที หึ!!! ปากบอกเป็นสหาย แต่เหลี่ยมทุกดอก! "ทำไมหรือ? หากเจ้าไม่พอใจก็ยกเลิกการค้าได้เสมอ" "ไม่ ๆ ๆ ได้สิ สหายรัก" "หึ! เห็นแก่ที่เจ้าเดินทาง
รัชศกอี้เฉินปีที่ 30 เข้าสู่ช่วงเหมันต์ฤดู อากาศค่อนข้างหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ยามนี้ลั่วหนิงฮวากำลังนั่งสนทนาอยู่กับโจวอวี้หลันด้านในตำหนักเฟิ่งหวง พวกเขาทั้งสองอายุมากแล้ว แต่ทว่าความงดงามกลับไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ยามว่างโจวอวี้หลันมักจะเข้าวังมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ"พี่หญิง ท่านลองดื่มชาหลงจิ่งถ้วยนี้ดูเถิด รสชาติดียิ่งนัก" "อืม" โจวอวี้หลันยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม รสชาติหวานล้ำและกลิ่นหอมของใบชาทำให้นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "ได้ยินว่าสองวันก่อน องค์รัชทายาท องค์ชายรองและองค์หญิง ออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงมาหรือ" โจวอวี้หลันเอ่ยถามขึ้นมา ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นางมีพระโอรสสององค์ และองค์หญิงอีกหนึ่งองค์ ลูกทั้งสามมีอายุไม่ห่างกันมากเท่าใดนัก โจวเทียนสิงเป็นองค์รัชทายาท ปีนี้อายุสิบแปดปีเต็มแล้ว โจวเซิงหยวน องค์ชายรองปีนี้อายุสิบหกปีเต็ม และโจวหงอี้อายุสิบสี่ปีเต็ม บุตรทั้งสามของนางนั้นสร้างแต่เรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน "พี่หญิง พูดถึงพวกเขาแล้วข้าเหนื่อยใจยิ่งนัก" "เอาเถิด เด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูลั่วเฟิงบุตรชายคนเดียวของข้าสิ เขาก็เที่ยวเล่นเช่นนี้ประจำ
"อะ อื้อออ!!!" เสียงครวญครางแผ่วต่ำสลับกับเสียงฝนที่โปรยปรายในยามค่ำคืน สร้างความร้อนรุ่มให้แก่โจวอี้เฉินเป็นอย่างยิ่ง"เด็กดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น" "อาเฉินร่างกายท่าน!!! ""มิต้องกังวลท่านหมอเทวดาบอกว่าข้าหายดีแล้ว""อื้ออออ!!!" ลั่วหนิงฮวารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อถูกโจวอี้เฉินมอบรสจูบที่แสนเร่าร้อนให้แก่นางเช่นนี้ เขาสอดลิ้นอุ่นร้อนเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นชื้นแฉะของนางอย่างเอาแต่ใจ ยามนี้อาภรณ์ที่แสนประณีตงดงามกลับถูกเขาดึงทึ้งลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว ร่างกายของนางเปลือยเปล่าอ่อนระทวยอยู่ภายใต้ร่างแกร่งของเขา มือหนาใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเรือนกายขาวผ่องอย่างซุกซน ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้ามาจูบไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนของนาง และค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าลงมาที่สองเต้าอวบสวย โจวอี้เฉินครอบริมฝีปากกลืนกินยอดปทุมถันสีหวานของนางอย่างหื่นกระหาย มือหยาบกร้านบีบขยำดอกบัวงามจนเกิดเป็นรอยแดงทั้งสิบนิ้ว "อื้ออออ ข้าเสียว!!!" ลั่วหนิงฮวาแอ่นอกสวยให้เขาเชยชมอย่างไม่ขัดขืน โจวอี้เฉินแลบลิ้นเลียจุกบัวสีหวานของนางอย่างหยอกเย้า ตั้งแต่คลอดพระโอรสองค์แรก เขากับนางก็ห่างเหินเรื่องสัมพันธ์สวาทเช่นนี้มานา
นอกจากจะสังหารโจวเหวินกวงแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา โจวอี้เฉินก็พบกับเบาะแสที่จวิ้นอ๋องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อห้าปีก่อน จวิ้นอ๋องเป็นน้องชายของเสด็จพ่อและเป็นเสด็จอาอีกคนของเขา เมื่อสืบค้นตามคำบอกเล่าของวิญญาณจวิ้นอ๋อง จึงพบว่าเขาถูกโจวเหวินกวงสังหารและฝังร่างไว้ที่ท้ายจวนชินอ๋องอย่างเลือดเย็น เพียงเพราะเขาไปได้ยินว่าโจวเหวินกวงวางแผนจะลอบวางยาอดีตฮ่องเต้ แต่กลับทำไม่สำเร็จ เพราะเสด็จพ่อของเขาก็ทรงระวังพระองค์ไม่น้อยแท้จริงโจวเหวินกวงคิดเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว มิใช่เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จวิ้นอ๋องก็ไม่ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตามคำบอกเล่าของคนอื่น ๆ ที่บอกว่าเขาถูกฆ่าเพราะมัวเมาสตรีผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แต่แท้จริงแล้ว เพราะไปรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มาก่อนเพียงเท่านั้น จึงถูกสังหารจนตกตายร่างของจวิ้นอ๋องถูกนำกลับมาฝังในสุสานราชวงศ์อย่างสมเกียรติ "อาเฉินขอบใจเจ้ามาก" "เสด็จอาจวิ้นอ๋องมิต้องเกรงใจ""อาเฉิน เดิมทีข้าจะต้องไปเกิดแล้ว แต่เพราะความงามของลั่วฮองเฮา ข้าจึงอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย" โจวอี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปมองจวิ้นอ๋องทันที "เสด็จอา ท่านอยากตายรอบสองหรือไม่พ่ะ
เมื่อได้รับราชโองการฉบับจริงกลับมาแล้ว โจวอี้เฉินจึงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หยางโจวพระองค์ใหม่อย่างถูกต้องตามพระราชประเพณี โจวเหวินกวงถูกจับขังเอาไว้ที่คุกหลวง โจวอี้เฉินสั่งให้คนจับตาดูเขาทุกฝีก้าวเพื่อมิให้เขาลักลอบฆ่าตัวตายได้สำเร็จ เพราะมีความตายที่เขารอจะมอบให้โจวเหวินกวงอยู่แล้ว หยางโจวรัชศกอี้เฉิน ปีที่หนึ่ง วันนี้เป็นฤกษ์มงคลที่โหราจารย์คัดสรรมาอย่างดี ท้องฟ้าและแสงแดดค่อนข้างปลอดโปร่งเป็นใจยิ่งนัก บนถนนซึ่งทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด มีขบวนเกียรติยศขบวนหนึ่ง ค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงเพลงขับขานชวนหลงใหล เกี้ยวมงคลสีเหลืองทอง ขนาดสิบหกคนหาม ม่านเกี้ยวปักดิ้นทองลายหงส์น่าเกรงขามโดดเด่นงดงามตระการตามิใช่น้อย เกี้ยวมงคลอันงดงามนี้เคลื่อนขบวนจากจวนตระกูลลั่วมุ่งหน้าสู่วังหลวง สตรีที่คู่ควรกับขบวนเกียรติยศงดงามโอ่อ่าหลังนี้มีเพียงฮองเฮาเท่านั้น ลั่วหนิงฮวาสวมชุดสีทองปักลายหงส์งามสง่า บนศีรษะประดับมงกุฎหงส์ ขับเน้นให้ใบหน้าสวยหวานดูงดงามน่าเกรงขามไม่น้อย ยามนี้นางกำลังนั่งอยู่ในเกี้ยวเพื่อมุ่งหน้าสู่พระราชวัง ขบวนเกียรติยศมาถึงวังหลวงอย่างสง่างาม ยามที่นาง
โจวเหวินกวงลนลานปล่อยมือออกจากร่างของลั่วหนิงฮวาก่อนจะทรุดกายลงไปกับพื้น แล้วจึงสั่งเหล่าทหารให้เตรียมต้านรับสุดกำลัง เมื่อหันมาอีกครากลับพบว่านางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว วิญญาณจวิ้นอ๋องและอดีตฮองเฮาบดบังกายนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกนางว่าโจวเหวินกวงคนสารเลวได้สังหารท่านตาของโจวอี้เฉินไปก่อนหน้าแล้ว ลั่วหนิงฮวากำมือแน่น ความเกลียดชังที่มีต่อโจวเหวินกวงยิ่งทบทวีมากขึ้นไปอีกลั่วหนิงฮวามุ่งหน้ามายังตำหนักเย็นซึ่งเป็นที่ที่โจวอวี้หลันถูกจับกุมตัวเอาไว้ ระหว่างทางนางแอบหยิบดาบและธนูของทหารที่วางไว้ติดมือมาด้วย"พี่หญิง!!!" "หนิงเอ๋อร์ เจ้า!!!" "พี่หญิง ฮึก ท่านตาของท่านและท่านพ่อของข้า ถูกประหารสิ้นแล้ว!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ลั่วหนิงฮวาที่ไร้เรี่ยวแรงไม่น้อยไปกว่ากัน ต้องเข้ามาช่วยประคองโจวอวี้หลันเอาไว้ "พี่หญิง หนีก่อนเถิด!!!" "หนีเช่นไร ยามนี้ข้าไม่มีอาวุธเลย!!!" "ไม่ต้องกังวล ระหว่างทางข้าแอบหยิบดาบของทหารและธนูติดมาด้วย โจวอี้เฉินมาถึงแล้ว เราย่อมหนีออกไปได้ รีบไปเถิด ยามนี้กองทัพของอาเฉินและพี่ใหญ่กำลังรอเราอยู่!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่
ลานประหาร โจวเหวินกวงสั่งให้ทหารนำแม่ทัพลั่วไปมัดขึงเอาไว้ที่กลางลานประหาร ก่อนจะลากตัวลั่วหนิงฮวามายืนอยู่กับเขา และใช้แขนล็อกคอของนางเอาไว้มิให้ขยับหนีไปได้ "หนิงฮวา เจ้าจงดูให้เต็มตาเสียเถิด เพราะต้องการปกป้องเจ้าและคิดขัดคำสั่งข้า พ่อของเจ้าต้องพบกับจุดจบเช่นใด" "ปล่อยข้า!!!""ปล่อยแน่นอน แต่หลังจากที่ข้าฆ่าพ่อของเจ้าเรียบร้อยแล้ว!!!" "เหวินกวง ไอ้คนต่ำช้า!!!" "มานี่!!!" โจวเหวินกวงฉุดกระชากลากถูลั่วหนิงฮวามายืนอยู่ไม่ไกลจากแม่ทัพลั่วมากนัก ลั่วหนิงฮวาจ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินไม่ขาดสาย แม่ทัพลั่วส่งยิ้มให้บุตรสาวอีกคราหนึ่งด้วยความเหนื่อยล้า เขาตรากตรำอยู่ในสนามรบ ต่อสู้เพื่อแคว้นเพื่อราษฎรมานานหลายปี ไม่ตกตายในสนามรบ แต่กลับถูกสังหารเพราะคนชั่ว ช่างเถิด ชีวิตคนเราก็มีเพียงเท่านี้ จะเกรงกลัวความตายไปไยกัน"อย่ารับปากคนชั่ว นี่เป็นคำขอสุดท้ายของพ่อ พ่อหวังเพียงให้พวกเจ้าจดจำเรื่องราวในวันนี้ให้ดี แล้วจงเข้มแข็ง อยู่ต่ออย่างภาคภูมิ" "ท่านพ่อออออ!!!" "ถึงตายข้าก็ไม่เสียใจ ข้าเป็นทหาร มีเลือดนักรบไหลเวียนอยู่ในกาย ข้
คุกหลวง ลั่วหนิงฮวาจ้องมองอาหารตรงหน้าก่อนจะก่นด่าโจวเหวินกวงในใจ นี่เท่ากับบีบคั้นนางชัด ๆ แม่ทัพลั่วมองข้าวเปล่าถ้วยเล็ก ๆ ตรงหน้าและผัดผักหนึ่งอย่าง ก่อนจะเลื่อนอาหารตรงหน้ามาให้ลั่วหนิงฮวา "เจ้ากินเถิด" "ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านหิว ท่านกินเถิด ข้าไม่หิวเจ้าค่ะ" บิดานางแก่ชรามากแล้ว ย่อมอยู่อย่างลำบากเช่นนี้ไม่ไหว อาหารเพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะกินกันถึงสองคน แม่ทัพลั่วสิ่งยิ้มให้ลั่วหนิงฮวาก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะของนางด้วยความรักใคร่ "หนิงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่ทำให้พ่อรู้สึกผิดมาโดยตลอด นั่นก็คือการละเลยเจ้า พ่อไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี ทำให้เจ้าถูกคนชั่วรังแกมาโดยตลอด" "ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวมันผ่านไปนานแล้วนะเจ้าคะ ยามนั้นท่านเองก็ออกรบเพื่อบ้านเมือง ข้าเข้าใจท่านพ่อเจ้าค่ะ" "ฟังพ่อ เจ้ากินข้าวเสีย เจ้าจะต้องมีชีวิตรอดออกไป พวกเจ้าสองคนพี่น้องจะต้องมีชีวิตรอดต่อไป" "ท่านพ่อ ท่านหมายความเช่นไร!!!" "ต่อให้ฝ่าบาทจะบีบบังคับเจ้าด้วยวิธีใด จงอย่ายอมรับคำของเขาเด็ดขาด เจ้าสัญญากับพ่อสิ" "ไม่!!! ท่านพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด!!!" "ลูกเอ๋ย พ่อแก่ชรามาก
ด้านโจวอี้เฉินและลั่วจินหยางนั้น พวกเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงได้ไม่ถึงครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ เพียงผ่านหมู่บ้านชนบทที่ลั่วหนิงฮวาเคยอยู่มาก่อน เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพของเหล่าทหารราวแสนนายอยู่ตรงหน้า เมื่อมองให้ดีดีจึงได้พบว่า ผู้คุมกองทัพทหารเรือนแสนนั้นก็คือเยี่ยนอ๋อง ซึ่งโจวอี้เฉินเคยได้พบกับเยี่ยนอ๋องในสนามรบเมื่อคราก่อน โจวอี้เฉินละสายตาจากเยี่ยนอ๋องไปหยุดอยู่ที่คนผู้หนึ่งที่อยู่บนหลังม้าร่วมทัพกับเยี่ยนอ๋องก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น นั่นคือผู้ใด?"องค์รัชทายาท นั่นคือฉู่อ๋องพ่ะย่ะค่ะ" "ฉู่อ๋องหรือ?" "ท่านลุงรู้จักเขาหรือ?" "สมัยก่อน เมื่อครั้งที่อดีตฮองเฮายังมีพระชนม์ชีพ ยามที่ตระกูลกู้ยังเรืองอำนาจ กระหม่อมเคยตามท่านพ่อมาร่วมรบกับสองแคว้น กระหม่อมจำเขาได้พ่ะย่ะค่ะ" "เช่นนั้นพวกมัน?""เหตุใดพวกมันจึงล่วงล้ำเข้าสู่เขตดินแดนของหยางโจวได้!!!"กู้เฉวียน ผู้เป็นท่านลุงของโจวอี้เฉินรับรู้ได้ในทันทีว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ปกติเสียแล้ว "องค์รัชทายาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว เหตุใดคนของแคว้นเยี่ยนและแคว้นฉู่จึงกล้ารุกรานผ่านประตูชายแดนเข้ามาในเขตหยางโจวได้ง่ายดายเช่นนี้!!!" ลั่วจินห
"พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองข้าด้วย ขอให้ข้าเดินทางโดยปลอดภัยด้วยเถิด ขอให้ข้าได้พบกับเสด็จพี่ด้วยเถิด!!!" ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วท้องนภา ปรากฏร่างของโจวหลิงหวางที่ควบม้าอย่างรวดเร็วโดยมิหยุดพักท่ามกลางแสงจันทร์ที่ให้แสงสว่างเลือนราง เป้าหมายของเขาคือชายแดนทางทิศใต้ ป้ายทางการทหารนี้จะต้องถึงมือของโจวอี้เฉินให้ได้เขาร้องไห้ไม่หยุดระหว่างเดินทาง ภาพที่เสด็จแม่วางยาพิษเสด็จพ่อยังคงติดตาของเขา เขาเสียใจทุกข์ใจยิ่งนัก ที่มิอาจช่วยเสด็จพ่อได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งภาพที่เสด็จแม่ถูกเสด็จอาสังหารก็สร้างรอยแผลลึกในใจให้แก่เขา เขาเกลียดเสด็จอายิ่งนัก!!!ยิ่งนึกถึงเสด็จพ่อที่ถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม ใจของเขาก็บีบรัดจนแน่น"เสด็จพ่อได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย" โจวหลิงหวางใช้แส้ฟาดตีไปที่ท้องม้าเพื่อเร่งให้มันวิ่งให้เร็วขึ้น โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า ด้านหลังของตนนั้นมีร่างของชายชราสวมชุดมังกรสีทองกำลังติดตามเขาออกเดินทางไปด้วยเช่นกันโปรดวางใจเถิดลูกพ่อ ตลอดเส้นทางจะไร้ซึ่งภัยร้ายมากล้ำกรายเจ้า ด้านลั่วหนิงฮวาและแม่ทัพลั่วในยามนี้นั้น ถูกควบคุมตัวมายังคุกหลวงใต้ดินพร้อมกัน ส่วนโจวอวี้หลันเอง