ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มออกมาคราหนึ่ง รอยยิ้มของนางมีความเศร้าอยู่ไม่น้อย
ชาติที่แล้วนางวิ่งตามเขาแทบตาย ทนยอมปีนขึ้นเขาเพื่อตามถ่ายรูปเขา บางครานางอยากให้เขาได้ลองชิมอาหารที่นางทำเองสักมื้อ แต่ทว่ากลับไม่ได้ นางทำได้เพียงมองเขาเป็นดวงดาวอยู่บนฟ้า นางหลงรักเขาจนหมดหัวใจ แต่ทว่าเขาและนางราวกับว่าอยู่กันคนละโลก โลกของเขาช่างงดงามเปล่งประกาย เป็นถึงดาราดัง แต่ทว่านางกลับเป็นเพียงพนักงานบริษัทบ้านจนคนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อย้อนเวลากลับมาในโลกอดีต นางได้พบเจอเขาอย่างไม่คาดคิด แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกเหลือเกิน เขาเป็นถึงจวิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์ แต่ทว่านางกลับเป็นเพียงสตรีหม้ายที่ถูกสามีมอบหนังสือหย่า!!
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"พี่ใหญ่ ข้าอยากเดินเล่นแล้ว"
"ได้สิ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด"
ไป๋เหมยเหม่ยพยักหน้า ก่อนจะเดินตามไป๋จินเซียงไป รอบๆ ด้านนั้นมีของกินของเล่นมากมาย นางรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ ไป๋จินเซียงมองน้องสาวตนที่ร่าเริงก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรน้องสาวไม่ชอบมาเดินเล่นในสถานที่เช่นนี้ นางบอกว่ามันเป็นสถานที่ที่สำหรับพวกไพร่เดิน นางไม่มีทางมาเดินเป็นแน่ แต่วันนี้ไป๋เหมยเหม่ยกลับตื่นเต้นและยิ้มแย้ม
ไป๋เหมยเหม่ยหันมายิ้มให้พี่ชายของตนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"จ้องข้าทำไมกัน"
"ไม่มีอันใด เพียงแค่ไม่คิดว่าเจ้าจะมาเดินในสถานที่เช่นนี้"
"หืม แต่ก่อนข้าไม่เคยมาเลยหรือ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่รู้ว่าตนเองเอ่ยถามสิ่งใดออกไป ก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ย
"เอ่อ ข้าศีรษะกระแทกอย่างแรง จนจำสิ่งใดไม่ได้แล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่"
"พี่รู้ เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าอยากถามสิ่งใดก็ถามเถิด หากพี่ตอบได้พี่จะตอบเจ้า การที่เจ้าเป็นเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันน่ารักน่าชังยิ่งนัก"
"จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้นพี่ใหญ่วางใจได้เลย ข้าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป โอะ นั่นคือสิ่งใด"
ไป๋เหมยเหม่ยชี้มือไปที่ร้านร้านหนึ่ง ไป๋จินเซียงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบ
"มันคือนกหวีดดินเหนียว"
"นกหวีดดินเหนียว?"
"ใช่แล้ว"
"ข้าอยากได้จังเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยจบก็เดินตรงไปที่ร้านแล้วหยิบนกหวีดดินเหนียวมาหนึ่งอัน ก่อนจะทดลองเป่า นางพบว่าเสียงมันดังไม่แพ้นกหวีดจากโลกปัจจุบันของนางเลย จึงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
สองพี่น้องพากันเดินเล่นจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามบ่าย ไป๋เหมยเหม่ยนั้นอิ่มจนแน่นท้องไปหมด นางแวะชิมอาหารทุกร้าน จนกระทั่งมาถึงร้านขายหม้อไฟเล็กๆ ร้านหนึ่ง นางจึงชวนไป๋จินเซียงเข้าไปลองชิม ไป๋เหมยเหม่ยเห็นว่าที่ร้านไม่ได้มีวัตถุดิบอันใดมากนัก อีกทั้งคนขายก็เมาสุราอยู่ตลอดเวลา รสชาติก็ไม่เป็นที่ถูกใจ นางกินไปเพียงไม่กี่คำก็พาไป๋จินเซียงเดินออกมา
"พี่ใหญ่ หากข้าขายหม้อไฟและอาหารอื่นๆ ด้วย ข้าจะต้องขายดีเป็นแน่"
"เหมยเหม่ย เจ้าแน่ใจแล้วหรือ เจ้าไม่เคยทำงานหนัก เจ้าไม่ต้องทำหรอก ไม่ต้องสนใจผู้ใด"
"พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้อยากทำเพราะสนใจคำพูดผู้ใด ข้าไม่สนอยู่แล้ว"
"เหมยเหม่ย พี่คิดว่า เจ้าไม่เหมือนเดิมจริงๆ"
ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองไป๋จินเซียงคราหนึ่ง นางรู้สึกว่าหากไม่หาทางแก้ต่างในความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของนางเช่นนี้ ไป๋จินเซียงก็ยังคงจะสงสัยในตัวนางไม่เลิก เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยกับพี่ชายตนทันที
"พี่ใหญ่ คืออย่างนี้นะเจ้าคะ ตอนที่ข้าสลบไป ข้าฝันว่าข้าได้ย้อนเวลาไปในอีกโลกหนึ่ง เห็นผู้คนพูดภาษาประหลาด กินอาหารก็ไม่ค่อยเหมือนพวกเรา ข้า เอ่อ ข้าจึงจำเขามา อีกอย่างก็คือ การผ่านความตายมาครั้งหนึ่ง ทำให้ข้าคิดได้เจ้าค่ะ ข้ากลัวยิ่งนัก"
"เจ้าไปปรโลกมาหรือ"
ไป๋เหมยเหม่ยไม่รู้จะตอบสิ่งใด นางยิ้มแหยๆ พลางทำหน้าไม่ถูก
"เหมยเหม่ย โชคดีเพียงใดที่เจ้ารอดกลับมา พี่สงสารเจ้ายิ่งนัก เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปนี้พี่จะปกป้องเจ้าเอง"
ไป๋จินเซียงยื่นมือมาลูบศีรษะไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยีก่อนจะเอ่ย
"ข้าก็กลับมาแล้วอย่างไรเล่า ถึงจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่ข้าก็คือไป๋เหมยเหม่ยน้องสาวของพี่ใหญ่นะเจ้าคะ"
"พี่เชื่อ ต่อให้เป็นวิญญาณมาสิงเจ้า พี่ก็เชื่อเจ้า"
ไป๋เหมยเหม่ยหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ผีที่ใดงามเช่นนี้เล่าเจ้าคะ"
"นั่นสิ"
สองพี่น้องเดินสนทนากันจนมาถึงรถม้า ระหว่างนั้นไป๋เหมยเหม่ยก็ได้พบกับคนผู้หนึ่งเข้า จิตใจของนางพลันสั่นไหวขึ้นมาไม่น้อย แต่ทว่าจำต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
"อาจิน เจ้ามาเดินเที่ยวตลาดหรือ"
"อาเหยียน เจ้าเพิ่งออกมาจากจวนหรือ"
จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้ไป๋จินเซียงเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกเขามองก็ทำหน้าไม่ถูก นางรีบก้มหน้าลงทันที ไป๋จินเซียงที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
“นี่น้องสาวของข้าเอง ยามนี้นางเติบโตแล้ว เจ้าจำได้หรือไม่”
“อืม จำได้ ไม่พบกันหลายปี นางดูสูงขึ้นไม่น้อยเลย”
ไป๋เหมยเหม่ยเงยหน้ามามองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง ที่แท้เขาและนางรู้จักกันเช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดจึงไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวกับเขาเลยเล่า
ไป๋จินเซียงที่เห็นว่าน้องสาวตนจ้องมองจางเหยียนเหว่ยด้วยแววตาสงสัย จึงเอ่ยกับนาง
“เหมยเหม่ย เจ้าคงจำอาเหยียนไม่ได้สินะ ห่างกันไปนานหลายปี เจ้าคงไม่คุ้นเคยกับอาเหยียนแล้ว”
ไป๋เหมยเหม่ยไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย
จางเหยียนเหว่ยยิ้มออกมาคราหนึ่ง เขากับไป๋จินเซียงเป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เนื่องจากอายุใกล้เคียงกัน หลังจากบิดาเขาผู้เป็นอดีตจวิ้นอ๋องตายจากไป เขาก็มีเสด็จลุงซึ่งก็คือฝ่าบาทองค์ปัจจุบันคอยเลี้ยงดู เสด็จลุงฮ่องเต้ให้ราชครูหยางมาเป็นอาจารย์สอนตำราเขา อีกทั้งยังให้ไป๋จินเซียงมาร่วมเป็นสหายเล่าเรียน นับแต่นั้นเขากับไป๋จินเซียงจึงสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เขาจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยอีกครา พลันนึกถึงเด็กสาวตัวน้อยวัยแปดขวบที่กำลังทุบตีบ่าวไพร่อยู่ในจวนด้วยความโมโห ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
นางมารน้อยผู้นั้นเติบโตเป็นสาวแล้วงดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ
แม้แต่ตอนที่ถูกสามีมอบหนังสือหย่านางยังไม่สะทกสะท้าน น่าสนใจไม่น้อยเลย
ก่อนจะเข้าสู่สนามรบ เขามักไปเที่ยวเล่นที่จวนตระกูลไป๋อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยได้สนทนากับนางสักประโยค นางเองก็ไม่แม้แต่จะชายตาสนใจเขา ดูแล้วนางคงไม่จดจำว่าเขามีตัวตนด้วยซ้ำ ยามนั้นเขามีอายุเพียงสิบห้าปี ส่วนนางมีอายุเพียงแปดขวบ นางยังเด็กไม่อาจจดจำเขาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ทว่าเขากลับจดจำนางได้ดี หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงก็ได้รู้ว่านางแต่งงานกับหยางเจ๋อหยวนแล้ว เขาไม่ได้กลับเมืองหลวงมาเกือบสิบปี ใช้ชีวิตอยู่แต่ในสมรภูมิสงครามจนอายุล่วงเลยเข้าวัยยี่สิบห้าเป็นบุรุษรูปงามคมคาย เมื่อสงครามสงบเขาจึงได้กลับมาเหยียบเมืองหลวงอีกครา ที่แรกที่เขาไปคือจวนราชครู แม้ปากจะบอกว่ามาเยี่ยมท่านอาจารย์ แต่ทว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการไปพบนาง
เดิมทีอยากรู้ว่านางใช้ชีวิตเช่นไรในจวนราชครู แต่ไม่คาดว่าจะได้เห็นเหตุการณ์ที่นางถูกหยางเจ๋อหยวนมอบหนังสือหย่า
อีกทั้งยังหน้าตาเบิกบานไม่ทุกข์ไม่ร้อนเสียด้วย
บางทีการที่นางหย่าแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี
ไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกเขาจ้องมองก็ใจเต้นแรงจนแทบทนไม่ไหว นางอยากจะเดินเข้าไปสนทนากับเขาใจจะขาดแล้วถามเขาว่า
ขอลายเซ็นได้หรือไม่เจ้าคะ? เซ็นที่หน้าผากข้าก็ได้
ไม่ได้สิ!!! เขาคงไม่รู้จักหรอก อีกทั้งยังไม่ถูกกฎระเบียบอีกด้วย เขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ หากนางไม่ระวังตัวอาจหัวขาดเอาได้
นางยังจำได้ดี ชาติปัจจุบันที่นางจากมา นางเคยไปตบตีกับแอนตีแฟนที่ปล่อยข่าวลือของเขาออกมาในทางไม่ดี จนแอนตีแฟนร้องไห้โฮ
เฮ้อ!!! น่าเสียดายยิ่งนัก
จางเหยียนเหว่ยละสายตาจากไป๋เหมยเหม่ย ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วหันไปเอ่ยกับไป๋จินเซียง
"ข้าไม่รบกวนเวลาของพวกเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน ว่าจะไปดื่มสุราและแวะไปที่โรงพนันเสียหน่อย มือกำลังขึ้นเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยหันขวับมามองจางเหยียนเหว่ยในทันที
อันใดกัน เขาติดสุราติดการพนันหรือ?
ให้ตายเถิด!!! ข้าดื่มเก่งนะ ให้ข้าดื่มเป็นเพื่อนดีหรือไม่
บัดซบ!!! เก็บอาการหน่อยตัวข้า
ไป๋เหมยเหม่ยปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะทำความเคารพเขาคราหนึ่ง ไว้รอกลับถึงจวนคงต้องสอบถามความเป็นไปของเขาจากพี่ชายของนางเสียหน่อย ในขณะที่นางกำลังจะก้าวขึ้นรถม้า ก็พลันรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะ ดวงตาพร่าเลือนก่อนจะมืดมิดลงไปชั่วขณะ ในขณะที่นางกำลังซวนเซจะล้มลงนั้น ก็มีใครบางคนยื่นมือมาประคองนางเอาไว้ ไป๋เหมยเหม่ยไม่ทันมองหน้าคนผู้นั้นให้ชัดเจนก็หมดสติไปเสียก่อน
จางเหยียนเหว่ยแอบหันกลับมามองนางคราหนึ่ง จึงได้เห็นว่ายามนี้ใบหน้านางซีดเผือดร่างกายซวนเซจวนจะล้ม เขาจึงรีบตรงเข้าไปประคองนางด้วยความรวดเร็ว เขามีวรยุทธ์การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วรวดเร็ว ไป๋เหมยเหม่ยจึงไม่ได้รับบาดเจ็บที่ตรงไหน
"พานางไปที่โรงหมอก่อนเถิด ข้ารู้จักท่านหมอฝีมือดีผู้หนึ่ง อยู่ไม่ไกลนัก"
"เช่นนั้นก็ได้"
จางเหยียนเหว่ยช้อนอุ้มไป๋เหมยเหม่ยขึ้นมา ก่อนจะรีบตรงไปที่โรงหมอในทันที โดยไม่สนใจสายตาจากคนที่มองมาเลยแม้แต่น้อย จางเหยียนเหว่ยไม่ได้ปิดบังสถานะตน ผู้คนต่างรู้ว่าเขาคือจวิ้นอ๋องที่เพิ่งกลับมาจากชายแดน ผู้คนที่ได้พบเห็นจึงเริ่มจับกลุ่มยกหัวข้อวันนี้มาสนทนากันอย่างสนุกปาก
หลังจากวันนั้นก็มีข่าวลือว่าไป๋เหมยเหม่ยใช้มารยาล่อลวงจวิ้นอ๋อง หย่าขาดจากหยางเจ๋อหยวนได้ไม่นาน ก็คิดปีนป่ายขึ้นเตียงจวิ้นอ๋องผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์
ช่างน่าเห็นใจท่านอ๋องเหลือเกิน ได้ยินว่าเพิ่งกลับมาจากสนามรบ คงไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของนางมารร้ายตัวมารดาผู้นี้!!!
เมื่อมาถึงโรงหมอ ท่านหมอก็ตรวจอาการของไป๋เหมยเหม่ยอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยกับจางเหยียนเหว่ย"ทูลท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ศีรษะนางได้รับความกระทบกระเทือนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"จางเหยียนเหว่ยหันมองไป๋จินเซียงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“ท่านถามเขาเถิด เขาเป็นพี่ชายของนาง” เมื่อได้ยินเช่นนั้นท่านหมอชราจึงรอคอยคำตอบจากไป๋จินเซียง ไป๋จินเซียงยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ใช่ขอรับท่านหมอ ไม่นานมานี้นางศีรษะกระแทกขอบโต๊ะจนสลบไป"ท่านหมอพยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ข้าเข้าใจแล้ว เพราะไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่องทำให้ข้ามองเห็นรอยโลหิตจ้ำๆ เป็นจุดที่บาดแผลบนศีรษะของนาง ร่างกายของนางยังไม่แข็งแรงดี เมื่อออกมาเดินจนร่างกายเหนื่อยล้า จึงหมดสติไป ข้าจะจัดยาให้สักสองเทียบ แล้วมาตามที่ข้านัดพบอีกครา มิทราบว่าพวกท่านจะสะดวกหรือไม่"จางเหยียนเหว่ยหันไปมองไป๋จินเซียงคราหนึ่ง เรื่องนี้เขาไม่อาจตัดสินใจได้ ทำได้เพียงให้ไป๋จินเซียงเป็นคนให้คำตอบกับท่านหมอเพียงเท่านั้นไป๋จินเซียงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบ“เช่นนั้นรบกวนท่านหมอไปตรวจนางที่จวนตระกูลไป๋ได้หรือไม่ ข้าไม่อยากให้นางออกมาตากลมเกรงว่าอาการจะหายช้าไปอีก"“อืม ได้
หลายวันต่อมาอากาศค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อย ไป๋เหมยเหม่ยตื่นขึ้นมาในยามเช้า หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว นางก็ดื่มยาที่ท่านหมอจัดให้ ซึ่งเฉียวเหลียนเป็นคนต้มให้นาง ไป๋เหมยเหม่ยเบ้หน้าคราหนึ่ง เพราะรสชาติยานั้นขมจนนางอยากจะอาเจียนออกมา เฉียวเหลียนยื่นผลไม้เชื่อมให้นางหนึ่งชิ้นด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ไป๋เหมยเหม่ยรับมันมาอมไว้ในปาก ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย สองสามวันมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับภาษาและการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้มากขึ้น นางค้นพบว่าโลกโบราณเช่นนี้ก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างเช่นที่นางคิดเลยสักนิด"เหมยเหม่ย""พี่ใหญ่"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปยิ้มให้ไป๋จินเซียงคราหนึ่ง ไป๋จินเซียงที่เห็นว่าสีหน้าของน้องสาวดูสดใสขึ้นมากก็เบาใจลงไปไม่น้อย"อาการของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ดีขึ้นแล้วกระมัง"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มให้ไป๋จินเซียงคราหนึ่ง พลางเอ่ยตอบ"ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ติดตรงที่ยาขมไปหน่อย"ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมองนางคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกพี่ชายตนจ้องมองก็สงสัยไม่น้อย"พี่ใหญ่ ท่านมองเช่นนั้นด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ"ไป๋จินเซียงยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"พี
เย่เพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็แข้งขาอ่อนไปโดยพลัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ"หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ เอ่อ หม่อมฉันไม่อยากเป็นอนุคนที่หนึ่งร้อยของพระองค์เพคะ!!"“เช่นนั้นก็เป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งดีหรือไม่?”“ไม่เพคะ!!!”เย่เพ่ยส่ายหน้าไปมาอย่างถี่ระรัว นางเคยได้ยินเรื่องเล่าของจวิ้นอ๋องผู้อยู่ในสนามรบมาไม่น้อย ผู้คนเล่าลือว่าเขามีใบหน้าหล่อเหลา และรบเก่งจนศัตรูยอมพ่ายแพ้ แต่ทว่ากลับมีจิตใจอำมหิต เคยมีเรื่องเล่าว่ายามอยู่ชายแดนมีอนุนางหนึ่งทำไม่ถูกใจเขา เขาจึงบีบคอนางตายในคืนที่นางเข้ามาปรนนิบัติ เหล่าทหารลากศพนางไปฝังที่นอกด่านอย่างน่าเวทนานางไม่อยากถูกเขาบีบคอตาย!!!เมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของเย่เพ่ย จางเหยียนเหว่ยก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวลือหนึ่ง บอกว่าเขามีจิตใจอำมหิต ฆ่าอนุ ข่มเหงสตรี ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่มันกล้าใส่ร้ายเขา เมื่อเห็นเย่เพ่ยหวาดกลัวเขาเช่นนี้ เขาก็พอจะเดาทิศทางได้ จึงเอ่ยกับนางอย่างเบื่อหน่าย“เช่นนั้นเจ้าก็ไสหัวไปเถิด อย่าเอ่ยเรื่องราวเมื่อครู่ไปทั่วอีกเล่า มิเช่นนั้นข้าคงต้องรับเจ้าเข้าจวนเป็นอนุแล้ว เพื่อปิดปากไม่ให้
หลายวันต่อมา ร้านของไป๋เหมยเหม่ยก็ปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย ยามนี้เป็นช่วงที่นางกำลังจัดแต่งร้านให้ดูงดงาม นางใช้ดอกไม้ตามฤดูกาลที่มีอยู่ประดับตกแต่งไปทั่วทั้งร้าน ร้านค้าของนางเป็นร้านที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ถ้าหากกิจการไปได้ดี นางเองก็ตั้งใจที่จะขยายกิจการเพิ่มไป๋เหมยเหม่ยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตน ก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยชาจากเฉียวเหลียนขึ้นมาดื่ม ยามนี้ร้านของนางตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเปิดขายเท่านั้น "คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะตั้งชื่อร้านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองเฉียวเหลียนคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย"หม้อไฟคนงาม""เอ""ทำไม ข้าไม่อยากตั้งชื่อเหมือนคนอื่น เอาชื่อนี้แหละ ไปๆ เจ้ากับข้าไปเลือกซื้อวัตถุดิบกันเถิด วันนี้พี่ใหญ่ไม่มาด้วย เราคงต้องไปกันสองคนแล้ว""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนยิ้มตาหยี นางชื่นชอบคุณหนูที่สมองกระทบกระเทือนเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะนางจะไม่ต้องถูกทุบตีเช่นแต่ก่อนอีก ยามนี้คุณหนูของนางอารมณ์ดี ไม่ทุบตีบ่าวไพ่่ บ่าวในเรือนก็เริ่มไม่หวาดกลัวคุณหนูอีกแล้วเฉียวเหลียนเดินตามไป๋เหมยเหม่ยมาซื้อของที่ตลาดอย่างสนุกสนาน ระหว่างทางไป๋เหมยเหม่ยก็แบ่งขนมให้นางกิน ไม่รู้ว่าเมื
ไป๋เหมยเหม่ยไม่สนในสองสามีภรรยาบัดซบคู่นั้นอีก เมื่อหยางเจ๋อหยวนและฟ่านกุ้ยอิงกลับไปแล้ว นางก็สั่งให้คนมาลากสาวใช้ของฟ่านกุ้ยอิงออกไปโยนที่หน้าร้าน แล้วจึงหันมามองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง"เอ่อ ขอบพระทัยท่านอ๋องมากนะเพคะ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เขาจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น จนคนถูกมองเริ่มมีอาการประหม่า"เอ่อ ท่านอ๋องทรงมองหม่อมฉันทำไมกันเพคะ"ไป๋เหมยเหม่ยเสียงสั่นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พูดจากับเขาด้วยประโยคยาวๆ เช่นนี้ นางพยายามควบคุมตนเองพลางครุ่นคิดในใจใจเย็นไว้!!! ถึงเขาจะหน้าเหมือนพระเอกคนนั้น แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่พระเอกที่นางเคยชอบ ก็แค่หน้าเหมือนหรอกน่า!!!แม้จะเป็นการหลอกตนเองที่ดูไร้เหตุผลยิ่งนัก แต่มันก็ทำให้ไป๋เหมยเหม่ยสบายใจและหายประหม่าไปได้ไม่น้อยทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาของจางเหยียนเหว่ยทั้งหมด เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้"เจ้าเป็นสตรีหม้ายที่งดงามและมากความสามารถที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาเลย"“ฮะ?” เมื่อเห็นท่าทีงงงันและเขินอายของนาง จางเหยียนเหว่ยก็นึกสนุกขึ้นมา เขาจึงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า
เช้าวันต่อมาไป๋เหมยเหม่ยก็รีบมาที่ร้านอาหารของตนเองตั้งแต่เช้า ร้านของนางเป็นเพียงร้านเล็กๆ ไม่ต้องจัดแจงสิ่งใดมากนักก็เปิดขายได้แล้วไป๋เหมยเหม่ยให้ไป๋จินเซียงหาคนที่เขียนอักษรได้งดงามมาเขียนรายการเมนูอาหารให้กับนาง โชคดีที่ไป๋จินเซียงมีสหายเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง เขาคัดอักษรได้งดงามยิ่งนัก ไป๋เหมยเหม่ยมองดูรายการอาหารของนาง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยหม้อไฟคนงามหม้อไฟ หมู เนื้อ กุ้ง สามารถนั่งกินได้คนละครึ่งชั่วยาม จ่ายเพียงสามสิบอีแปะต่อคน ภายในครึ่งชั่วยามนี้สามารถเติมอาหารและผักเพิ่มได้ไม่เกินสองครั้ง สั่งมาแล้วกินไม่หมดปรับสองเท่าของราคาอาหาร พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่เข้ามาก่อนห้าโต๊ะแรก รับฟรีผลไม้เชื่อมตามฤดูกาลและมันฝรั่งเส้นผัดพริกโต๊ะละหนึ่งที่นางไม่ได้คิดจะขายในราคาที่แพงเกินไปนัก อยากให้ทุกคนจับต้องได้“เฉียวเหลียน ระฆังใบเล็กที่ข้าสั่งเอาไว้ได้หรือยัง”ไป๋เหมยเหม่ยหันไปถามเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ไม่นานมานี้นางให้เฉียวเหลียนไปหาซื้อระฆังกระดิ่งใบเล็กมาสักสองใบ สาวใช้น้อยพยักหน้าก่อนจะเอ่ย“ได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวสั่งให้คนแขวนมันเอาไว้ตรงที่คิดเงินของคุณหนู ว่าแต่คุณหนูจะนำมันมาทำสิ่งใดหรื
เขาค่อยๆ ใช้ปลายมีดกรีดมันลงไปกลางฝ่ามือข้างซ้ายของตนอย่างช้าๆ กลิ่นโลหิตปะทะเข้ากับปลายจมูกของเขา ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดตรงหน้ามันทำให้เขาราวกับได้ปลดปล่อยความทุกข์ทนในใจได้เป็นอย่างดี เขาปล่อยให้เลือดสีแดงสดไหลซึมลงมาตามปลายนิ้วอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้ มันหลายต่อหลายครั้ง ทั้งมือและแขน รวมถึงลำตัวล้วนมีร่องรอยของบาดแผลหลงเหลือเอาไว้มากมาย ฉับพลันก็มีเสียงเปิดประตู ผู้ที่เดินเข้ามาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี“นายน้อย ท่านทำร้ายตนเองอีกแล้วหรือ!!!”จางเหยียนเหว่ยไม่ตอบ บนใบหน้าของเขายามนี้เลื่อนลอย ต่างจากท่าทีก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ไม่มีท่าทีขี้เล่นหยอกเย้าเช่นเดิมอีก มีเพียงใบหน้าที่เฉยชาเงียบขรึม เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโลหิตจะไหลออกมามากเพียงใด มืออีกข้างกำมีดเอาไว้แน่น ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าผู้ใดที่เข้ามาในห้องแห่งนี้นี่คือช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดผู้ที่เข้ามาคือพ่อบ้านกัว พ่อบ้านที่ดูแลเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ ยามที่เขาเดินทางไปชายแดนเพื่อเข้าสนามรบ พ่อบ้านกัวก็ติดตามไปด้วย จวนจวิ้นอ๋องจึงถูกทิ้งร้างมานานหลายปีพ่อบ้านกัวรีบวิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนจะจัดการท
ด้านไป๋เหมยเหม่ยนั้นเมื่อกลับมาถึงร้านก็ไม่ได้พัก จวบจนยามบ่ายลูกค้าก็เริ่มบางตาลง ในขณะที่นางกำลังจะสั่งให้เฉียวเหลียนเก็บร้าน ก็มีบุรุษสองคนและสตรีอีกหนึ่งนางกำลังก้าวเดินเข้ามาในร้าน ผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายคุณชายชนชั้นสูง ส่วนสตรีอีกนางก็แต่งกายราวกับคุณหนูสูงศักดิ์ บุรุษอีกผู้หนึ่งก็สวมชุดคล้ายคนรับใช้ที่ติดตามมาดูแลเจ้านาย ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยทันที"ขออภัยด้วย ยามนี้หม้อไฟไม่เหลือแล้วเจ้าค่ะ"จางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิงที่ปลอมตัวออกมาหาความสำราญนอกวังหลวงจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง พบว่าสตรีนางนี้ค่อนข้างงดงามไม่น้อยเลย เขาได้ยินเสียงเล่าลือว่านางคือภรรยาที่ถูกสามีหย่า สามีของนางก็คือหยางเจ๋อหยวนนั่นเองภรรยางามถึงเพียงนี้ก็ยังทิ้งขว้างได้ลงคอ เหลือเกินจริงเชียว!!!ด้านจางหนิงหนิงก็จ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยแววตาที่เป็นประกายคราหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากร้านหม้อไฟคนงาม งามสมชื่อจริงๆไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกจ้องมองก็สงสัยไม่น้อย นางจึงขมวดคิ้วมุ่นบุรุษที่ติดตามจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิงมาด้วยคือองครักษ์ของพวกเขา องครักษ์ผู้นั้นที่เห็นว่าไป๋เหมยเหม่ยจ้องเจ้านายตนจนเกินงาม จึง
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด
หากนับย้อนไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ยามนั้นเขายังเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซียว แคว้นเซียวนั้นแต่เดิมรุ่งเรืองและรักสงบ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับแคว้นไท่เหลียง ยามที่จางเหยียนเหว่ยมาทำสงครามรบกับแคว้นเยี่ยนนั้น เขาก็ได้พบกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นคนทั้งสองก็สนิทสนมกันเรื่อยมา ชายแดนแคว้นเซียวและแคว้นไท่เหลียงอยู่ใกล้กัน ทำให้เขามาพบเจอกับจางเหยียนเหว่ยได้ทุกเมื่อ อีกทั้งบางครายังช่วยส่งทหารมาร่วมรบต่อต้านกบฏด้วยกันแต่ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน สามปีก่อนชายแดนสงบ แต่ทว่าแคว้นเซียวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เซียวหลิ่น น้องชายต่างมารดาลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ และสังหารเสด็จแม่ของเขา ใช้กำลังคนไล่ล่าทำร้ายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพ่ายแพ้เพราะไม่ได้เตรียมการรับมือ ท้ายที่สุดเซียวหลิ่นก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นเซียวพระองค์ใหม่ ความละโมบทำให้เซียวหลิ่นคิดก่อสงคราม สังหารผู้คนไปทั่ว แคว้นใดไม่ยอมศิโรราบก็บุกตีแคว้นนั้นจนราบคาบ ไฟสงครามคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ในขณะที่เขาเองทำได้เพียงมองดูภาพนั้นอย่างโศกเศร้าโดยที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้เขาหนีไปซ่อนตัวหลายต่อหลายแห่ง คนที่ภักดีล้วนตายเพราะปกป้องเขา ครั้นจะกลับไปหาจ
วันเวลาล่วงเลยมาร่วมเดือน จวบจนเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวอีกครา ไป๋เหมยเหม่ยมองดูหิมะที่ตกลงมาประปราย ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายของนางจะเป็นเช่นไรบ้างด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นนางกับเขาได้พบกันบ้าง แต่ระยะหลังมานี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย จึงไม่ได้มาพบหน้านางหลายวัน นางเองก็ไม่ได้รบเร้าสิ่งใดจากเขาเพราะเข้าใจว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนนางเองก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการหม้อไฟทั้งสองสาขา ยามนี้ร้านของนางขยายกิจการแล้ว บางคราก็มีเย่เพ่ยมาคอยช่วยเหลือ นางกับเย่เพ่ยสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ทุกๆ วันเย่เพ่ยมักจะมาเที่ยวหานางทั้งที่จวนและที่ร้านหม้อไฟ "คุณหนูเจ้าคะ ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ อย่าออกไปตากหิมะเลย"เฉียวเหลียนเดินเข้ามาหานางก่อนจะส่งเตาอุ่นมือมาให้ พร้อมกับหาผ้าคลุมมาคลุมกายให้ความอบอุ่นแก่นาง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มให้เฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ขอบใจเจ้ามาก""วันนี้คนเข้าร้านไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ""อืม ดูแลลูกค้าให้ดีเล่า""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนพยักหน้าก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไป๋เหมยเหม่ยมองออกไปที่นอกร้าน พบว่ายามนี้หิมะเริ่มตกหนักเ
จวนตระกูลไป๋ยามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังนั่งอยู่ข้างจางเหยียนเหว่ย นางกำมือแน่นไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ไป๋จินเซียงเล่นถีบประตูห้องโผล่เข้าไปในขณะที่เขาและนางกำลังพลอดรักกัน นางจึงไม่อาจแก้ตัวได้แม่ทัพใหญ่ไป๋จ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง แม้ในใจจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใด ทำได้เพียงหันไปกระซิบกับไป๋จินเซียงที่นั่งอยู่ข้างกัน"เจ้าแน่ใจนะว่าท่านอ๋องรังแกนาง ไม่ใช่นางไปฉุดท่านอ๋องหรอกนะ"เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีหรือเขาจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาวตน ไป๋เหมยเหม่ยหากอยากได้สิ่งใดย่อมต้องทำทุกวิถีทางจนได้มาครอบครอง เขาเกรงว่าครั้งนี้นางจะใช้อุบายหลอกจางเหยียนเหว่ยเสียมากกว่าไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะพ่นชาร้อนออกมาจากปาก เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย"ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ตอนที่ข้าเข้าไปก็เห็นอาเหยียนอยู่บน ส่วนเหมยเหม่ย เอ่อ นางนอนอยู่ข้างล่าง สองมือโอบรอบคอของอาเหยียนเอาไว้และส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยขอรับ"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่ โอบลำคอแน่หรือ ไม่ใช่รัดคอหรอกนะ!!!"ไป๋จินเซียงที่ถูกบิดาตนเอ่ยถามเช่นนั้นก็เร