หลีหลงเว่ยเป็นบุรุษหล่อคมคายผู้หนึ่งซ้ำยังเป็นแม่ทัพกล้า มีร่างกายแข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้าและยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจิตใจล้วนต้องสงบนิ่งตามด้วย ทว่าในยามนี้เองสุรารสหวานที่ได้ดูดดื่มจากสตรีตรงหน้ากับทำให้ร่างกายเขาร้อนรุ่มหลงใหลจนไม่อยากผละตัวออกห่าง
เห็นได้ชัดแล้วว่านางกำลังเคลิบเคลิ้มไม่ปฏิเสธ ถึงแม้ในคราแรกลู่อันจะตกใจที่เขาฉกฉวยโอกาสแต่หากสังเกตจากนัยน์คมกริบคู่นั้นแล้ว นางจึงค่อย ๆ ดึงตัวออกห่างทันทีซ้ำยังหลยสายตาไม่กล้ามอง “ท่าน…ท่านเมาแล้ว” น้ำเสียงแผ่วเบาพูดขึ้น สำหรับหลีหลงเว่ยแล้วไม่ว่าจะฟังอย่างไรน้ำเสียงแหบพร่านี้จงใจยั่วเย้าชัด ๆ รสหวานจากนางยังคละคลุ้งส่งกลิ่นหอมในปากของเขา มุมปากหนาหยักยิ้มเยาะ หลีหลงเว่ยไม่ได้พูดอันใด เขาเอาแต่จดจ้องใบหน้าคนงามที่ขึ้นสีแดงจนเข้มด้วยสุราแรงที่หน้าดื่มไปหมดไหก่อนหน้านี้มิหนำซ้ำตอนนี้ยังคงดื่มต่ออีกไห “ข้าคงเมามายไปแล้วจริง” หลีหลงเว่ยช้อนสายตามอง เมื่อเห็นว่าแม่ทัพหนุ่มตั้งท่าลุกขึ้นจะเดินจากไป นางจึงคว้ามือเอาไว้ “อยู่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่” ‘ระวังตัวเจ้าไว้ให้ดี คนพวกนี้ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคุณหนูจากบ้านไหน’ ถ้อยคำพูดนั้นยังคงดังก้องในหัวไม่จางหายไป สายตากลมโตพลันกวาดมองทั่วบริเวณแล้วล้วนเต็มไปด้วยบุรุษฉกรรจ์มากมาย ซ้ำเมื่อสุราลงคอแล้วล้วนแปรเปลี่ยนให้ผู้คนกลายเป็นปีศาจตัวหนึ่งได้ หลีหลงเว่ยเหลียวมอง “…..” “ข้ากลัวพวกคนเหล่านั้น” นัยน์ตาของนางสั่นระริก ว่ากันตามตรงมีเพียงบุรุษตรงหน้าที่นางไว้ใจได้เท่านั้น หลีหลงเว่ยกับหัวเราะเสียงเย็น “ข้าดูเป็นคนดีขณะนี้เพียงหรือไร” ภายในใจของเขาดูแคลนนางไม่น้อย…ผู้ที่สมควรหวาดกลัวคือเขา แม้แต่คำพูดของนางก็ไม่อาจฉุดรั้งไว้ได้.. นางถูกทิ้งไว้อีกครั้งท่ามกลางผู้คนแปลกหน้ามากมาย สายตาได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของหลีหลงเว่ยเดินจากไปหายลับเข้ากระโจม “ข้าเป็นเพียงแค่ท่านช่วยชีวิตไว้เท่านั้น” น้ำเสียงปนความน้อยใจ นางอุดอู้อยู่ในกระโจมมาหลายวันแล้ว มิหนำซ้ำจูบเมื่อครู่ยังทำให้นางกระอักกระอ่วนไม่กล้าเผชิญหน้าเกรงจะทำให้อึดอัก “เอาเถอะ! เดิมสุราอีกสักไห” โชคดีนักบริเวณที่กำลังนั่งอยู่ถูกความมืดปกคลุมไม่น้อย เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่แน่ ทว่าในช่วงเวลานั้นก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของเหล่าทหารที่กำลังลอบมองท่านแม่ทัพและสตรีงามผู้นั้นด้วยความลุ้นระลึก ว่ากันตามตรง นางเป็นสตรีงามแต่เมื่อเป็นของของแม่ทัพหลีย่อมไม่กล้าแตะต้องผ หลังจากนั้นไม่นานจู่ ๆ บรรยากาศพลันเงียบสงบลง เหล่าทหารต่างทยอยออกไปจนหลงเลือนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มิหนำซ้ำยามที่ลมหนาวพัดผ่านมาก็เย็นสะท้านไปทั่วร่าง เห็นที่ว่านางคงถูกหลอกลวงซะแล้ว สุราแรงไม่สามารถคลายหนาวได้เลย มิสู้การซุกตัวใต้ผ้านวมอุ่น ๆ สักผืน ลู่อันลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลทุกย่างก้าวโซเซแทบจะล้มหน้าขมำลงกับพื้น นางใช้เวลาสักพักจึงเดินเข้ามาในกระโจมได้ สุราทั้งไหแรกและไหที่สองเริ่มออกฤทธิ์แล้ว นางกำลังรู้ปวดหัวตุบ ๆ อย่างจะล้มลงเตียงนอนเดี๋ยวนี้ กึก! หลีหลงเว่ยเป็นอาศัยอยู่ในค่ายทหารมานับไม่ล้วนซ้ำยังได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีต้องคอยระมัดระวังอยู่เสมอแม้แต่ยามข่มตาหลับนอนยังต้องตั้งสติปเอาไว้ให้ได้ จู่ ๆ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเหนึ่งเดินอุกอาจเข้ามา “ข้าหนาว!” “เหตุใดถึงหนาวเพียงนี้!” ลู่อันหนาวสะบั้นจนปวดกระดูก ปากพรำพูไม่หยุด ที่แท้ก็เป็นสตรีผู้นั้น! หลีหลงเว่ยหยิบดาบสั้นจึงเก็บกลัยเข้าไปที่เดิม ภายในกระโจมยามนี้มืดสนิท แม่ทัพหนุ่มมองไม่เห็นว่าสตรีผู้นั้นกำลังทำอันใดอยู่แต่เขากับได้ยินเมื่อสวบสาบของอาภรณ์และกลิ่นสุราที่เสมือนว่ากำลังเข้าใกล้เรื่อย ๆ ลู่อันถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า นึกเวทนาตนเองที่ดื่มเมามายจนแทบไม่มีสติ “มืดเพียงนี้เลย!” พอสุราออกฤทธิ์นางจึงกลายเป็นคนเมาที่พาลหาเรื่องไปทั่ว “ข้ามองไม่เห็นทาง!” กว่าจะเดินลูบคลำตามทางมาถึงเตียงได้ก็เล่นเอานางถอนหายใจทอไปหลายครั้งหลายครา เพียงชั่วพริบตาลู่อันจึงกระโดดคลานขึ้นเตียงไปทันที แต่แล้วกลับต้องสะดุ้งเพราะสะดุดกับร่างกายแข็งทื่อของคนผู้หนึ่งที่นอนขวางทางเอาไว้ ใบหน้าคนงามขมวดคิ้วมุ่นฉายความไม่พอใจทันที นางในตอนนี้กำบังกลายเป็นคนโง่งมไร้สมอง “บัดซบเถอะ!” ลู่อันสถบออกมา “บังอาจขวางทางงั้นหรือ!” ลู่อัน หลีหลงเว่ยยังไม่หลับ เขายังคอยสังเกตการกระทำของกระต่ายน้อย “กำลังด่าข้าอยู่หรือไร” !!!! เขายังไม่หลับหรือ? ลู่อันขมวดคิ้วมุ่นยังคงพยายามไปยังที่ของตนเอง ยามที่สตรีบนร่างนุ่มนิ่มขยับเขยื้อนกายอาภรณ์ของนางและเขาต่างเสียดสีกันแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงร่างอย่างร้อนรุ่ม หลีหลงเว่ยพลันสูดดมความหอมจากกลิ่นกายของนางอย่างไรเหตุผล “อยู่นิ่ง ๆ ก่อนข้าจะโมโห” หลีหลงเว่ยพึงเข้าใจท่องแท้ว่าสตรีกลิ่นกายหอมดั่งดอกไม้ ทว่าลู่อันหรือจะฟัง…เมื่อเมาแล้วนางกลายเป็นคนดื้อดึง “ข้าจะนอน” นางยืนกราด “หลีกไปซะ!” หลีหลงเว่ยกัดฟันกรอด รพลันรู้สึกถึงคสามปวดหนึบของร่างกาย “เช่นนั้นก็นอนบนตัวข้า” “ข้าจะนอนที่ของข้า” นางโวยวายไม่ยอม ร่างกายพลัน เกิดการบดเบียดเสียดสีร่างกายอีกครั้ง สิ้นสุดความอดทน! เรือนร่างอรชรของนางถูกพลิกลงนอนราบกับเตียงด้วยความรวดเร็ว จากนั้นหลีหลงเว่ยจึงคร่อมนางไว้ไม่ให้ขยับหนี เขาเองก็เป็นบุรุษหากใช่เศษก้อนกรวด ลู่อันนิ่วหน้าด้วยความเจ็บเมื่อร่างกายกระแทกกับเตียงแข็ง ๆ นี้แม้จะถูกปูด้วยผ้านิ่ม ๆ กี่ชั้นก็ยังคงเจ็บอยู่ “ข้าเจ็บ!” มุมปากหนาหยักยิ้ม ยามนางอยู่ใต้พันธะการของเขากลัยดูยั่วยวนไม่น้อย หลีหลงเว่ยเป็นแม่ทัพย่อมมีความอดทนแต่อาจไม่สามรถใช้ได้กับสตรีผู้นี้ ยามที่สายตาจ้องมองนางล้วนเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ในตอนนี้เองลู่อันยังคงไม่รู้ตัวว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เพียงใด นางยังคงเมามายเกิดกว่าจะมีสติคิดสิ่งใดได้ “ลู่อัน…” ร้ำเสียงแหบพร่าเป่ารดใบหูจนนางขนลุก หลีหลงเว่ยอย่างเรียกขนานางซ้ำ ๆ นางพลันกลอดตามองบนหาได้สนใจ “ข้าเจ็บไปทั้งร่างเลยหลีหลงเว่ย! ออกไปให้พ้น!” “…..” หลีหลงเว่ย ลู่อันต้องการซุกตัวใต้ผ้าห่มผืนโต ยามที่สายลมพัดผ่านเล็ดลอดเข้ามาในกระโจมนั้นนางแทบจะแข็งแล้ว ภายใต้ความมืดนั้นยากจะคาดเดาใบหน้าและสายตาคมกริบคู่นั้นได้ว่ากำลังมองนางด้วยความรู้สึกแบบใด นางพยายามขัดขืนจนเหนื่อยแล้ว “เช่นนั้นก็เอาผ้าห่มมาให้ข้า” “เจ้าต้องการคลายหนาวเช่นนั้นหรือ” หลีหลงเว่ยย้อนถาม เขากำลังตะล่อมไล่ต้อนกระต่ายน้อยให้ติดกับ… ลู่อันพยักหน้าหงึก ๆ “หนาวยิ่งนัก” “จะให้ข้าทำอย่างไรดี” น้ำเสียงนิ่ง ๆ ถามอีกครั้ง “เอาผ้านวมมาให้ข้าห่มคลายหนาวได้หรือไม่คุณชาย” ดวงตาเมล็ดซิ่งเริ่มปรือขึ้นอย่างยากลำบาก นางเริ่มง่วงงุนต้านเอาไว้ไม่อยู่แล้ว จู่ ๆ หลีหลงเว่ยจึงเอ่ยขึ้น “เรียกข้าว่าหลีหลงเว่ยได้หรือไม่” หากได้ยินน้ำเสียงหวานครวญครางเรียดชื่อจะรู้สึกดีเพียงใดกัน “หลีหลงเว่ย” นางตอบออกไปม่ทันได้คิดวหวังว่าจะได้เป็นอิสระนอนหลับสบาย สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ดูจงใจยั่วยวนนัก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าไม่จางหาย “ข้าจะมอบความอบอุ่นให้” หล่อหลงเว่ยอยากเชยชิมความหวานอีกครั้ง “คุณชายใจดีนัก!” ช่างเป็นกระต่ายน้อยที่ใสซื่อยิ่งนัก!ยามเว่ย (13.00-15.00)หลีหลงเว่ยนั่งอยู่ศาลากลางน้ำบรรยากาศเงียบสงบมีสายลมโชยพัดผ่านมาเบา ๆ เย็นสบาย แม้สายตากำลังจับจ้องม้วนกระดาษในมือแต่จิตใจกับล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“ว่าอย่างไรหลงเว่ย”“สตรีบรรณาการ” เขาเลิกคิ้วถามพร้อมกับเงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าเชิงคำถามว่านี้คงไม่ผิดเพี้ยนกระมัง“เจ้าคิดจะทำอะไรฉีเซียว”ฮ่องเต้หนุ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูกนัก “ใช่! สตรีต่างแคว้นบรรณาการสงบศึกทางสงคราม” ว่ากันตามตรงแล้วเขาเผยออกไปไม่หมดเมื่อหลายวันก่อนมีกีฎาฉบับหนึ่งถูกส่งมาทางตอนเหนือของแคว้น ฉีฮ่องเต้เพียงแค่เห็นภาพวาดหนึ่งส่งมาพอคลี่ออกมาดูแล้วสตรีผู้นั้นงดงามดังเทพธิดาใบหน้ารอยยิ้มเคลิ้มเคลิบเพ้อฝันไม่รู้ตัวมุมปากเหยียดยิ้ม “บัลลังก์ของเจ้าสั่นคลอนหรือไรกัน ฉีเซียวแต่นั่นช่างประไรไม่ว่าอย่างไรย่อมมีข้าแบกรับไว้” หลีหลงเว่ยเลือกหนทางนี้ตั้งแต่ช่วยเหลือซู่กั๋วกงฉีเซียวสังหารฮ่องเต้องค์ก่อนออกศึกทำสงครามปกป้องความมั่นคง“คิดว่าข้าปกป้องเจ้าไม่ได้แล้วหรือฉีเซียว”ประโยคของบุรุษตรงหน้าทำให้ฮ่องเต้หนุ่มทำตัวไม่ถูกนักเขาปรึกษาเพื่อชั่งน้ำหนักในใจแต่ไหนเลยจะเคว้งคว้างสับสนแทน สายตาเยือกเย็นจ้องมองส
บรรยากาศในยามเช้าตรู่ พระอาทิตย์เริ่มสาดส่องแสง อ่อน ๆ ทะลุผ้าม่านที่พริ้วไสวตามสายลมพัดโชยมาอ่อน ๆ ร่างของคนผู้หนึ่งที่กำลังนอนหลับสบายบนเตียงเริ่มขยับตัวพลิกไปพลิกมาด้วยความรำคาญก่อนที่จะรู้สึกถึงความผิดแปลกลู่อันสะดุ้งตัวตื่นขึ้นเบิกตากว้างตกใจนางหนักเพียงนี้เลย!แรงกอดรัดแน่นช่วงท้องจนรู้สึกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก!!!!นางหันหน้ามองซ้ายมองขวาก็จะพบเข้ากับใบหน้าหล่อ คมคายที่แนบชิดกายอยู่ ลู่อันสะดุ้งตกใจอีกครั้งจนต้องรีบผลักออกไม่ทันได้สังเกตให้แน่ชัดว่าเป็นผู้ใด“กรี๊ดดดด!!...” นางหวีดร้องโวยวายสุดเสียงหลีหลงเว่ยค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นช้า ๆ สายตาเต็มไปด้วยความงุนงงไม่เข้าใจ ใบหน้าแฝงความเหนื่อยเต็มส่วน “หุบปากเจ้าหน่อยล่กอันข้ากำลังนอน”หลีหลงเว่ย!ลู่อันเบิกตากว้าด้วยความตกใจแทบขวัญผวาพอเห็นเสี้ยวใบหน้าหล่อ ๆ กระทบกับแสงแดดให้นางเห็นชัด ลู่อันกระจ่างแจ้งในใจทันทีแต่แล้วเหตุใดเขามาอยู่ในห้องของนาง..บนเตียงเดียวกัน มิหนำซ้ำประโยคแรกที่ปริปากขึ้นราวกับไม่มีอันใดแปลก“กับผีน่ะซิ!”นางลุกขึ้นจากเตียงด้วยความรวดเร็ว สถบคำหยาบคายออกมาด้วยตวามโมโห กลายเป็นว่าในตอนนี้นางตื่นเต็มทันทีหลีหลง
ข่าวลือเรื่องถูกโจรบุกปล้นระหว่างทางค้าขายสินค้ามีมายาวนานก่อนจะเกิดสงครามด้วยจนกระทั่งช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้นกลับย่ำแย่ลงไปอีก ไม่ว่าจะกีฏาที่ส่งมาอยู่บ่อยครั้งจนเริ่มเกิดความรำคาญใจฉีฮ่องเต้จึงมอบหมายให้แม่ทัพกล้าอย่างหลีหลงเว่ย ลงมาปราบปรามให้สิ้นซากไม่มีที่ไปที่มาอย่างแน่ชัดมีเพียงข่าวลือเท่านั้น ซ้ำยังไม่พบรายละเอียดมากนัก นี่ไม่ต่างหาเข็มเล่มหนึ่งในทะเลหลีหลงเว่ยใช้เวลาเดินทางขึ้นไปตอนเหนือของแคว้นอยู่หลายวันแต่กลับไม่พบความผิดปกติใด ๆ ระหว่างทางทว่ายิ่งสถานการณ์ยิ่งปกติมากเท่าไหร่กับยิ่งเห็นหางที่โผล่ออกจนปิดไม่มิด ในเมื่อครั้งนี้เงียบเชียบเกินไปมิสู้แสดงตัวอย่างโจ้งแจ้งให้เป็นที่น่าจับตามองไม่ดีกว่าหรือภายหลังส่งจินหัวองครักษ์ข้างกายไปพบนายอำเภอของตำบลคราแรกไม่ยอมเปิดปากเอาแต่ข่มขู่บ่ายเบี่ยงเรื่องความอดทนเช่นนี้ไม่ยากเกินความสามารถของจินหัว บุรุษหนุ่มนำพักอยู่จวนนายอำเภอพูดจาหว่านล้อมอยู่นานถึงสองสามวันก่อนจะได้ความกลับมารายงานผู้เป็นนายนายอำเภอผู้นี้รับสินบนจากโจรป่าตัดสินโทษส่งเมืองหลวงตามคำบอกเล่าของนายอำเภอผู้นั้นแล้วโจรป่ามักดักรอปล้นอยู่บริเวณนี้ หลีหลงเว่ยซุ่
ลู่อันยังไม่เข้าใจกระจ่างแจ้งกับสถานการณ์ตรงหน้า นางกวาดสายตามองจวนหลังนี้มีขนาดใหญ่โตโอ่อ่าด้วยความตกตระลึงเกรงว่าคงร่ำรวยไม่น้อย และหากเทียบกับบ้านของนางเมื่อคราวก่อนแล้วล้วนเป็นบ้านของขอทานให้เมืองหลวงเท่านั้นพอนึกถึงเรื่องราวเช่นนั้นลู่อันพลันรู้สึกจุกออกจนขอบตาร้อนผ่าวอีกครั้งตอนนี้นางไม่มีบ้านให้กลับอีกแล้ว“นี่แม่บ้านอิ๋น” จินหัวปรายสายตามองสตรีข้างกายที่จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลางกระซิบกระซาบกับหญิงวัยกลางคนตรงหน้า “นางสติไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักแม่บ้านอิ๋น”แม่บ้านอิ๋นได้ยินเช่นนั้นจึงยกมือทาบอกตกใจ“ข้าไม่ได้หูหนวก” ลู่อันตั้งสติ หันขวับจ้องเขม่ง“เอาล่ะข้าไม่ได้มีเวลาว่างมาเล่นกับเจ้าทั้งวันนี้” จินหัว ทอดถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “แม่บ้านอิ๋นนี่คือลู่อัน”“…..” แม่บ้านอิ๋นโน้มศีรษะเล็กน้อย สายตาของนางกำลังจ้องมองสังเกตสตรีตรงหน้า ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มหรือรูปร่างอรชรเห็นส่วนโค้งส่วนเว้า…ทว่าคนผู้นี้หรือจะมาเป็นบ่าวรับใช้ได้แม่บ้านอิ๋นเผลอขมวดคิ้วมองอย่างมิไม่มิด“…..” นางมองด้วยความไม่เข้าใจ มีอะไรผิดแปลกหรือ?เขายังคงพูดไม่จบ “สาวเจ้า! นี่คือแม่บ้านอิ๋น”ลู่อันพยักเข้าใจแ
ท่ามกลางบรรยากาศความเงียบสงบของศาลากลางน้ำ ฮ่องเต้หนุ่มนั่งอย่างสง่าผ่าเผย สายลมที่พักดโชยมาเบา ๆ พร้อมกับแสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องกระทบใบหน้าของฉีฮ่องเต้ เมื่อมองดูจากระยะไกลแล้วความหล่อเหล่านั้นไม่ต่างจากเทพเซียนผู้หนึ่งม้วนกระดาษหลายม้วนถูกวางเรียงรายจนเต็มโต๊ะ ภายในนั้นมีคำกล่าวรายงานเต็มหนากระดาษด้วยตัวอักษรเล็ก ๆ ฉีฮ่องเต้มีใบหน้าตึงเตรียดหม่นหมองสามส่วนสายตาของฮ่องเต้หนุ่มกำลังจดจ้องอ่านแต่ระบรรทัดอย่างละเอียดถีถ้วน ภายในใจเกิดความเบื่อหน่ายในขณะเดียวกันนั้นฉีฮ่องเต้กำลังจดจ้องมองม้วนกระดาษอย่างไม่ลดละสายตา เสียงฝีเท้าของผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบาและมั่นคงสายตาแข็งกร้าวของหลีหลงเว่ยยังคงจับจ้องที่คนผู้นั้น“ข้าตาบอดอยู่หรือไร” น้ำเสียงทุ้มพูดขึ้นดวงตาคมกริบของฮ่องเต้หนุ่มยังคงจับจ้องกีฏาไม่วางตาแต่ทว่ากับรับรู้และสัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นหรือหลีหลงเว่ยสหายใน วัยเยาว์ “ไฉนข้าถึงได้กลิ่นสตรีกัน”หลีหลงเว่ยนิ่งเงียบไม่ปริปาก เขาก้มศีรีษะเคารพเล็กน้อยก่อนจะนั่งตรงหน้ากับฮ่องเต้หนุ่ม“…..”“ขันทีเสี่ยวมีสตรีย่างกายเข้ามาในตำหนักของข้างหรือ” ฉีฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นปรายสายตาไปตามขันที
เรียวแขนทั้งสองข้างนางถูกตราตรึงไว้เหนือศีรษะ เรือนร่างถูกคร่อมทับด้วยบุรุษตัวโตกว่า ลู่อันไม่มีทางยอมให้เหตุการณ์ซ้ำซ่อนแน่“ปล่อยข้า!” นางโวยวายลู่อันพยายามดีดดิ้นให้เป็นอิสระแต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดหรือจะสู้แรงมหาศาลจากบุรุษซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นแม่ทัพกล้า!พอยิ่งเห็นนางโวยวายเท่าไหร่ หลีหลงเว่ยยิ่งสนุกสนาม“ไร้ประโยชน์” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นนิ่ง ๆลู่อันจ้องมองตาขวาง “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”มุมปากหนาหยักยิ้ม “เจ้าเป็นเมียข้ามิใช่หรือ” หลีหลงเว่ยโน้มใบหน้าเข้าใกล้นางพลางสูดดมกลิ่นหอมจากกายอย่างลุ่มหลงโดยไม่รู้ตัวกลิ่นกายราวกับดอกไม้ผลิบาน“เช่นนั้นก็ทำหน้าที่ของเจ้าเสีย”ใบหน้าของนางขมวดคิ้วมุ่นทันที “ท่านเสียสติไปแล้ว!” ท่าทางของบุรุษตรงหน้าทำเอานางขนลุกซู่นางยอมแลกชีวิตหากต้องอยู่ใต้พันธะการอีกครั้ง!สายตาของแม่ทัพหนุ่มจับจ้องริมฝีปากอวบอิ่มของนางที่พร่ำโวยวายไม่หยุดก่อนจะค่อย ๆ ไล่ต่ำตามลำคอระหงษและหัวไหล่ขาวเนียนอึก!“อ่าาส์!..” ลู่อันสะดุ้งตกใจหลีหลงเว่ยฉ