เข้าสู่ระบบหลีหลงเว่ยเป็นบุรุษหล่อคมคายผู้หนึ่งซ้ำยังเป็นแม่ทัพกล้า มีร่างกายแข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้าและยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจิตใจล้วนต้องสงบนิ่งตามด้วย ทว่าในยามนี้เองสุรารสหวานที่ได้ดูดดื่มจากสตรีตรงหน้ากับทำให้ร่างกายเขาร้อนรุ่มหลงใหลจนไม่อยากผละตัวออกห่าง
เห็นได้ชัดแล้วว่านางกำลังเคลิบเคลิ้มไม่ปฏิเสธ ถึงแม้ในคราแรกลู่อันจะตกใจที่เขาฉกฉวยโอกาสแต่หากสังเกตจากนัยน์คมกริบคู่นั้นแล้ว นางจึงค่อย ๆ ดึงตัวออกห่างทันทีซ้ำยังหลยสายตาไม่กล้ามอง “ท่าน…ท่านเมาแล้ว” น้ำเสียงแผ่วเบาพูดขึ้น สำหรับหลีหลงเว่ยแล้วไม่ว่าจะฟังอย่างไรน้ำเสียงแหบพร่านี้จงใจยั่วเย้าชัด ๆ รสหวานจากนางยังคละคลุ้งส่งกลิ่นหอมในปากของเขา มุมปากหนาหยักยิ้มเยาะ หลีหลงเว่ยไม่ได้พูดอันใด เขาเอาแต่จดจ้องใบหน้าคนงามที่ขึ้นสีแดงจนเข้มด้วยสุราแรงที่หน้าดื่มไปหมดไหก่อนหน้านี้มิหนำซ้ำตอนนี้ยังคงดื่มต่ออีกไห “ข้าคงเมามายไปแล้วจริง” หลีหลงเว่ยช้อนสายตามอง เมื่อเห็นว่าแม่ทัพหนุ่มตั้งท่าลุกขึ้นจะเดินจากไป นางจึงคว้ามือเอาไว้ “อยู่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่” ‘ระวังตัวเจ้าไว้ให้ดี คนพวกนี้ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคุณหนูจากบ้านไหน’ ถ้อยคำพูดนั้นยังคงดังก้องในหัวไม่จางหายไป สายตากลมโตพลันกวาดมองทั่วบริเวณแล้วล้วนเต็มไปด้วยบุรุษฉกรรจ์มากมาย ซ้ำเมื่อสุราลงคอแล้วล้วนแปรเปลี่ยนให้ผู้คนกลายเป็นปีศาจตัวหนึ่งได้ หลีหลงเว่ยเหลียวมอง “…..” “ข้ากลัวพวกคนเหล่านั้น” นัยน์ตาของนางสั่นระริก ว่ากันตามตรงมีเพียงบุรุษตรงหน้าที่นางไว้ใจได้เท่านั้น หลีหลงเว่ยกับหัวเราะเสียงเย็น “ข้าดูเป็นคนดีขณะนี้เพียงหรือไร” ภายในใจของเขาดูแคลนนางไม่น้อย…ผู้ที่สมควรหวาดกลัวคือเขา แม้แต่คำพูดของนางก็ไม่อาจฉุดรั้งไว้ได้.. นางถูกทิ้งไว้อีกครั้งท่ามกลางผู้คนแปลกหน้ามากมาย สายตาได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของหลีหลงเว่ยเดินจากไปหายลับเข้ากระโจม “ข้าเป็นเพียงแค่ท่านช่วยชีวิตไว้เท่านั้น” น้ำเสียงปนความน้อยใจ นางอุดอู้อยู่ในกระโจมมาหลายวันแล้ว มิหนำซ้ำจูบเมื่อครู่ยังทำให้นางกระอักกระอ่วนไม่กล้าเผชิญหน้าเกรงจะทำให้อึดอัก “เอาเถอะ! เดิมสุราอีกสักไห” โชคดีนักบริเวณที่กำลังนั่งอยู่ถูกความมืดปกคลุมไม่น้อย เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่แน่ ทว่าในช่วงเวลานั้นก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของเหล่าทหารที่กำลังลอบมองท่านแม่ทัพและสตรีงามผู้นั้นด้วยความลุ้นระลึก ว่ากันตามตรง นางเป็นสตรีงามแต่เมื่อเป็นของของแม่ทัพหลีย่อมไม่กล้าแตะต้องผ หลังจากนั้นไม่นานจู่ ๆ บรรยากาศพลันเงียบสงบลง เหล่าทหารต่างทยอยออกไปจนหลงเลือนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มิหนำซ้ำยามที่ลมหนาวพัดผ่านมาก็เย็นสะท้านไปทั่วร่าง เห็นที่ว่านางคงถูกหลอกลวงซะแล้ว สุราแรงไม่สามารถคลายหนาวได้เลย มิสู้การซุกตัวใต้ผ้านวมอุ่น ๆ สักผืน ลู่อันลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลทุกย่างก้าวโซเซแทบจะล้มหน้าขมำลงกับพื้น นางใช้เวลาสักพักจึงเดินเข้ามาในกระโจมได้ สุราทั้งไหแรกและไหที่สองเริ่มออกฤทธิ์แล้ว นางกำลังรู้ปวดหัวตุบ ๆ อย่างจะล้มลงเตียงนอนเดี๋ยวนี้ กึก! หลีหลงเว่ยเป็นอาศัยอยู่ในค่ายทหารมานับไม่ล้วนซ้ำยังได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีต้องคอยระมัดระวังอยู่เสมอแม้แต่ยามข่มตาหลับนอนยังต้องตั้งสติปเอาไว้ให้ได้ จู่ ๆ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเหนึ่งเดินอุกอาจเข้ามา “ข้าหนาว!” “เหตุใดถึงหนาวเพียงนี้!” ลู่อันหนาวสะบั้นจนปวดกระดูก ปากพรำพูไม่หยุด ที่แท้ก็เป็นสตรีผู้นั้น! หลีหลงเว่ยหยิบดาบสั้นจึงเก็บกลัยเข้าไปที่เดิม ภายในกระโจมยามนี้มืดสนิท แม่ทัพหนุ่มมองไม่เห็นว่าสตรีผู้นั้นกำลังทำอันใดอยู่แต่เขากับได้ยินเมื่อสวบสาบของอาภรณ์และกลิ่นสุราที่เสมือนว่ากำลังเข้าใกล้เรื่อย ๆ ลู่อันถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า นึกเวทนาตนเองที่ดื่มเมามายจนแทบไม่มีสติ “มืดเพียงนี้เลย!” พอสุราออกฤทธิ์นางจึงกลายเป็นคนเมาที่พาลหาเรื่องไปทั่ว “ข้ามองไม่เห็นทาง!” กว่าจะเดินลูบคลำตามทางมาถึงเตียงได้ก็เล่นเอานางถอนหายใจทอไปหลายครั้งหลายครา เพียงชั่วพริบตาลู่อันจึงกระโดดคลานขึ้นเตียงไปทันที แต่แล้วกลับต้องสะดุ้งเพราะสะดุดกับร่างกายแข็งทื่อของคนผู้หนึ่งที่นอนขวางทางเอาไว้ ใบหน้าคนงามขมวดคิ้วมุ่นฉายความไม่พอใจทันที นางในตอนนี้กำบังกลายเป็นคนโง่งมไร้สมอง “บัดซบเถอะ!” ลู่อันสถบออกมา “บังอาจขวางทางงั้นหรือ!” ลู่อัน หลีหลงเว่ยยังไม่หลับ เขายังคอยสังเกตการกระทำของกระต่ายน้อย “กำลังด่าข้าอยู่หรือไร” !!!! เขายังไม่หลับหรือ? ลู่อันขมวดคิ้วมุ่นยังคงพยายามไปยังที่ของตนเอง ยามที่สตรีบนร่างนุ่มนิ่มขยับเขยื้อนกายอาภรณ์ของนางและเขาต่างเสียดสีกันแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงร่างอย่างร้อนรุ่ม หลีหลงเว่ยพลันสูดดมความหอมจากกลิ่นกายของนางอย่างไรเหตุผล “อยู่นิ่ง ๆ ก่อนข้าจะโมโห” หลีหลงเว่ยพึงเข้าใจท่องแท้ว่าสตรีกลิ่นกายหอมดั่งดอกไม้ ทว่าลู่อันหรือจะฟัง…เมื่อเมาแล้วนางกลายเป็นคนดื้อดึง “ข้าจะนอน” นางยืนกราด “หลีกไปซะ!” หลีหลงเว่ยกัดฟันกรอด รพลันรู้สึกถึงคสามปวดหนึบของร่างกาย “เช่นนั้นก็นอนบนตัวข้า” “ข้าจะนอนที่ของข้า” นางโวยวายไม่ยอม ร่างกายพลัน เกิดการบดเบียดเสียดสีร่างกายอีกครั้ง สิ้นสุดความอดทน! เรือนร่างอรชรของนางถูกพลิกลงนอนราบกับเตียงด้วยความรวดเร็ว จากนั้นหลีหลงเว่ยจึงคร่อมนางไว้ไม่ให้ขยับหนี เขาเองก็เป็นบุรุษหากใช่เศษก้อนกรวด ลู่อันนิ่วหน้าด้วยความเจ็บเมื่อร่างกายกระแทกกับเตียงแข็ง ๆ นี้แม้จะถูกปูด้วยผ้านิ่ม ๆ กี่ชั้นก็ยังคงเจ็บอยู่ “ข้าเจ็บ!” มุมปากหนาหยักยิ้ม ยามนางอยู่ใต้พันธะการของเขากลัยดูยั่วยวนไม่น้อย หลีหลงเว่ยเป็นแม่ทัพย่อมมีความอดทนแต่อาจไม่สามรถใช้ได้กับสตรีผู้นี้ ยามที่สายตาจ้องมองนางล้วนเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ในตอนนี้เองลู่อันยังคงไม่รู้ตัวว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เพียงใด นางยังคงเมามายเกิดกว่าจะมีสติคิดสิ่งใดได้ “ลู่อัน…” ร้ำเสียงแหบพร่าเป่ารดใบหูจนนางขนลุก หลีหลงเว่ยอย่างเรียกขนานางซ้ำ ๆ นางพลันกลอดตามองบนหาได้สนใจ “ข้าเจ็บไปทั้งร่างเลยหลีหลงเว่ย! ออกไปให้พ้น!” “…..” หลีหลงเว่ย ลู่อันต้องการซุกตัวใต้ผ้าห่มผืนโต ยามที่สายลมพัดผ่านเล็ดลอดเข้ามาในกระโจมนั้นนางแทบจะแข็งแล้ว ภายใต้ความมืดนั้นยากจะคาดเดาใบหน้าและสายตาคมกริบคู่นั้นได้ว่ากำลังมองนางด้วยความรู้สึกแบบใด นางพยายามขัดขืนจนเหนื่อยแล้ว “เช่นนั้นก็เอาผ้าห่มมาให้ข้า” “เจ้าต้องการคลายหนาวเช่นนั้นหรือ” หลีหลงเว่ยย้อนถาม เขากำลังตะล่อมไล่ต้อนกระต่ายน้อยให้ติดกับ… ลู่อันพยักหน้าหงึก ๆ “หนาวยิ่งนัก” “จะให้ข้าทำอย่างไรดี” น้ำเสียงนิ่ง ๆ ถามอีกครั้ง “เอาผ้านวมมาให้ข้าห่มคลายหนาวได้หรือไม่คุณชาย” ดวงตาเมล็ดซิ่งเริ่มปรือขึ้นอย่างยากลำบาก นางเริ่มง่วงงุนต้านเอาไว้ไม่อยู่แล้ว จู่ ๆ หลีหลงเว่ยจึงเอ่ยขึ้น “เรียกข้าว่าหลีหลงเว่ยได้หรือไม่” หากได้ยินน้ำเสียงหวานครวญครางเรียดชื่อจะรู้สึกดีเพียงใดกัน “หลีหลงเว่ย” นางตอบออกไปม่ทันได้คิดวหวังว่าจะได้เป็นอิสระนอนหลับสบาย สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ดูจงใจยั่วยวนนัก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าไม่จางหาย “ข้าจะมอบความอบอุ่นให้” หล่อหลงเว่ยอยากเชยชิมความหวานอีกครั้ง “คุณชายใจดีนัก!” ช่างเป็นกระต่ายน้อยที่ใสซื่อยิ่งนัก!จวนหลีเคยเงียบสงบในยามนี้กับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของคุณหนูหลี หลีหลงเว่ยกลายเป็นบิดาที่อบอุ่นต่างจากคนในอดีตที่แข็งกร้าว ตั้งแต่ยามรุ่งสางจนอาทิตย์ตกดิน หลีหลงเว่ยโอบอุ้มบุตรสาวตัวน้อยเดินเล่นรอบจวนเหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายที่พบเอ็นต่างอมยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายท่านหลีหวงแหนคุณหนูหลี จนกระทั่งเมื่อถึงยามหลับนอหลีหลงเว่ยนจึงเป็นผู้เกลี่ยกล่อมเด็กน้อยนอนหลับในซบอก โดยไม่ต้องการร้องขอความข่วยเหลือจากแม่นมหรือแม้กระทั่งภรรยาตน แค่เพียงนางคลอดบุตรสาวน่ารักผู้หนึ่งออกมาให้เขาด้วยความยากลำบากก็เกินพอแล้ว “อวี้เหม่ยนางหลับไปแล้วหรือ” น้ำเสียงของผู้เป็นภรรยาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นผู้เป็นสามีปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอก “วางนางลงบนเตียงแล้วปล่อยให้แม่นมดูแลเถอะ” ลู่อันเองก็จนปัญญาจะพูด บุรุษผู้นี้ลุ่มหลงและห่วงใจบุตรสาวจนเกิดเหตุไปแล้ว จนกระทั่งคลอดออกมาเกือบถึงแปดเดือนแล้วยังไม่ยอมให้ผู้ใดโอบอุ้มหรือกล่อมนอนทั้งสิ้น หลีหลงเว่ยพูด “นางคือบุตรสาวของข้า” “นางก็เป็นลูกข้าเช่นกัน” ลู่อันเท้าสะเอว จ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง แม่นมที่
หลายเดือนต่อมา…ภายในวังหลวงล้วนตลบอบไปด้วยบรรยากาศที่สื่อความมงคล ทั่วทั้งวังหลวงถูกตกแต่งประดับประดาตกไปด้วยผ้าแพร สีแดงสดและโคมไฟที่แขวนเรียงรายอย่างประณีตงดงาม ความสว่างจากโคมไฟหลายร้อยดวงที่แขวนอยู่ทั่วบริเวณยิ่งแสดงถความยิ่งใหญ่ของงานแต่งงานฉีฮ่องเต้ยืนอยู่แท่งพิธีการหน้าบัลลังก์อย่างสง่างาม อาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนเป็นสีแดงปักดิ้นทองลวดลายมังกรด้วยความวิจิตรประณีตสลับซับซ้อน ขับให้ใบหน้าดูสง่างามน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้นในยามที่สะท้อนแสงจากโคมไฟหลายร้อยดวงส่วนหงส์ที่เคียงข้างมังกรย่อมหญิงงามไม่แพ้กันสตรีต่างแคว้นที่ถูกนำมาเป็นเครื่องบรรณาการยุติความสงครามทางการเมืองย่อมถูกคำสบประมาท ดูหมิ่นและถูกครหา ไม่น้อยเลยทีเดียวทว่าทันทีที่นางปรากฏในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักลายดอกไม้และหงส์สีทองที่เปี่ยมไปด้วยความละเอียดอ่อนอย่างงดงาม ผ้าคลุมหน้าโปร่งบางที่ปิดบังใบหน้าของนางไว้เพียงบางส่วนยิ่งทำให้นางดูงดงามและลึกลับในคราเดียวกันช่างเหมาะสม!เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยกจริง ๆเพียงชั่งพริบตาก็เกิดเสียงกึกก้องดังสนั่นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสนิทว่าสตรีต่างแคว้ยผู้นี้งดงามยิ่งนัก เป็นที่น่าเชิญชู ของแค
หลีหลงเว่ยคิดว่าถ้อยคำเมื่อครู่เป็นการยั่วยวนแต่ไฉนเลยพอกลับเข้ามาในห้องแล้ว นางถึงเอาแต่นั่งบนเตียงสายตากำลังจ้องมองเขาอย่างไม่วาง“ถอดอาภารณ์ของเจ้าออก” เขาออกคำสั่งในขณะที่ลู่อันยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้นพอเห็นว่านางยังคงนิ่งเฉย หลีหลงเว่ยจึงกระจ่างแจ้งในใจทันทีคิดว่านางยังคงเป็นห่วง สายตาคมกริบก้มมองบาดแผลก็จะเงยหน้าคิด“ข้าแผลนี้ช่างประไรหาได้สำคัญกับข้า”นางหรี่ตามอง “เฟิ่งหมิงบอกว่าท่านจงใจให้ตนเองถูกแทงงั้นหรือ” ความรู้สึกเป็นห่วงวันนั้นนางรู้สึกเสียดายจริง ๆ “ทึ่มทื่อ!” ก่อที่จะโยคหลังจากด่าทออีกฝ่ายความง่วงงุ่นยังคงไม่สาง ลู่อันยกมือปิดปากห้าวก่อนจะล้มตัวนอนราบบนเตียงมันทีหลีหลงเว่ยพลันทำตัวไม่ถูกราวกับว่าเขากำลังถูกภรรยาจับได้หลีหลงเว่ยยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นข้าจะรู้ได้อย่างได้ว่าผู้ใดหวังหรือต่อข้าหรือต้องการสังหารข้าทิ้ง” เขาพูดพลางถอนอาภรณ์ออกจนเผยท่อนบนเปลือยเปล่านเห็นได้ว่านางเชิญชวนเขาแท้ ๆ แต่กลับเป็นฝ่ายถอยหนีด้วยความใจร้อน หลีหลงเว่ยกระโดดขึ้นเตียงก่อนจะคร่อมร่างของนางไว้ใต้เรือนร่างด้วยความรวดเร็วลู่
ยังโชคดีที่นางตื่นมาทัน ไม่เช่นนั้นนางคงจะถูกใส่ใจร้ายบิดเยือนความจริงแน่ลู่หันจ้องมองเหนียวหนิงด้วยสายตาอาฆาต “เหตุใดถึงตามหาเรื่องข้าไม่ยอมปล่อยไปสักที” อีกใจหนึ่งนางก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายซ้ำยังไม่ได้อยากมีเรื่องกับผู้อื่นตลอดทั้งวัน ก่อนที่สายตา จะปรายไปมองบุรุษข้างกาย “เพราะท่าน! หลีหลงเว่ย!”จู่ ๆ ผู้กระทำผิดก็พลันกลายเป็นเขาเสียแล้วหลีหลงเว่ยขมวดคิ้วมุ่นแต่ใบหน้ากับมีรอยยิ้มจาง ๆ“นอกจากข้าแล้วเจ้ายังทุบตีผู้อื่นจนหัวแตกอีกหรือ” เขาย้อนถามพวกเหล่าบ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นจึงยกมือทาบอกอีกครั้ง เกรงว่าเหนียวหนิงนางคงจะประหม่าสตรีผู้นี้เกินไปแล้วเหนียวหนิงเลิกคิ้ว “เจ้าร้ายกาจจนถึงขั้นทำร้ายหลีหลงเว่ยเชียวหรือ!”ลู่อันก้าวเดินมาตรงหน้า “แม้แต่หลีหลงเว่ยยังต้องยอมข้าแล้วข้ายังมีอันใดต้องหวาดกลัวเจ้าหรือเหนียวหนิง” สายตาของนางกำลังไล่มองสตรีตรงหน้าด้วยความเหยียดหยาม “ไม่ว่าจะ ส่วนใด..ย่อมไม่อาจเทียบเคืองข้าได้”หลีหลงเว่ยปล่อยให้ลู่อันจัดการเรียกนี้ด้วยตนเอง เขาอยากจะรู้นักว่านางจะทำเช่นไรปล่อยไปหรือสังหารทิ้ง?เหตุการณ์ในตอนนี้ใหญ่โตชุลมุ่นวุ่นวายไม่น้อยคนเกือบทั่วทั้งจวนหลี
ลู่อันปิดประตูลงก่อนจะเดินมานั่งที่เตียงท่าทางไม่ค่อยสบายใจนัก พลันนึกถึงคำพูดของเฟิ่งหมิงและฉีฮ่องเต้เมื่อหลายวันที่ผ่านมา อำนาจจวนหลีอยู่ในมือนางแล้วแม้แต่หลีหลงเว่ยยัง ไม่กล้ายุ่งจริงเท็จอย่างไรนางไม่อาจแน่ใจได้“เจ้าอยากมีบิดาหรือไม่” มือน้อย ๆ ยกขึ้นลูบท้องของตนเอง พักหลังมานี้นางพูดพร่ำคนเดียวเช่นนี้อยู่บ่อยครั้งไม่ว่าผู้ใดพบเห็นล้วนซุบซิบว่านางนั้นสตรีฟั่นเฟือนเพราะโดนตีหัวครานั้นหาได้รู้ความจริงว่าในยามนี้นางกำลังตั้ครรภ์ทายาทสกุลหลีนางพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่อาหารมื้อเที่ยงที่กินเข้าไปมากมายยังไม่ทันย่อยแต่กลับรู้สึกหิวอีกแล้ว ซ้ำยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าง่วงงุนแทบปรือตาไม่ขึ้น“เช่นนั้นพวกเรานอนกันเถอะ!”นางยกมือปิดปากพลางห้าว “เอาไว้ค่อยคิดถึงวันข้างหน้า ยามนี้มารดาต้องจะนอนแล้ว”หากฝืนไปก็รั้งแต่จะเหนื่อยล้าซ้ำยังคิดอันใดไม่ออก มิสู้นางนอนเอาพักผ่อนให้เต็มที่ยามตื่นมาค่อยว่ากันไม่ดีกว่าหรือ อีกทั้งหากวันไหนนางไม่ได้งีบนั้นพลันรู้สึกได้ว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรงไม่ว่าขยับทำอย่างไรก็เกียจคร้านไปหมดทุกส่วน“ว่าให้ง่ายเช่นนี้ตลอดไป”นางยังพึมพำไม่หยุดอดคิดไม่ได้ส่าหากบุตรออกมาไม
หลีหลงเว่ยไม่ปริปากพูดอันใด สายตากำลังจ้องมองบุรุษตรงหน้านิ่ง ๆ และไม่ได้ลุกลี้ลุกลนแสดงอาการใด ๆ ให้จับผิดได้ทว่าองครักษ์ข้างกายกับมีสีหน้าตื่นตะหนกมีสีหน้าซีดเซียว“ช่วยได้หรือไม่” เป็นลู่อันที่เอ่ยขึ้นจะจงใจหรือพลาดพลั้งก็ช่างเถอะ ยามนี้ต้องช่วยเหลือรักษาชีวิตไว้ให้ปลอดภัยซะก่อนเฟิ่งหมิงพยักหน้าภายหลังสำรวจดูบาดแผลแล้วกลับไม่ได้ลึกอย่างที่คาดคิดไว้แต่กับโดนจุดสำคัญที่ขั้นเลือดไหลไม่หยุดเช่นนี้ เฟิ่งหมิงจัดการบดยาสมุนไพรประคบบาดแผลให้หยุดเลือดไว้ก่อนจะนำผ้าสีขาวมาคาดพันไว้หลายรอบจนกว่าจะรู้สึกแน่น“โชคดีที่บาดแผลไม่เข้มลึกหากแต่โดนจุดสำคัญ” เฟิ่งหมิงพูดโดยไม่ได้หันขึ้นไปมอง “เกรงว่าพวกที่แทงท่านแม่ทัพคงโง่งมเป็นพวกลูกเต่าในกระดอง”ถ้อยคำด่าทอเจ็บแสบเท่าเอาจินหัวกัดฟันกรอด กำมือแน่น “เหอะ! ท่านหมอช่างคาดการณ์ได้แม่นยำ”จินหัวเอ่ยขึ้นความผิดพลาดนี้ไม่ค่อยดีนัก หากร้ายแรงอาจจะถึงแก่ชีวิตของผู้เป็นนาย ในตอนนี้จินหัวได้แต่สำนึกผิดในใจ“หากไม่ตาบอดคงมองออกว่านี้เป็นการจงใจให้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เฟิ่งหมิงเงยหน้าขึ้นสบตาจินหัวด้วยสายที่ยากจะคาดเดาได้ ไม่ย่อมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไ







