บทที่ 1
นางคณิกาจากหอหลันฮวา จวนเจ้าเมืองเป่ยซีได้มีการจัดงานเลี้ยงรื่นเริงเพื่อต้อนรับชินอ๋องเว่ยสือหยาง แขกผู้สูงศักดิ์ที่จะมาประจำการยังแดนเหนือของพวกเขา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกหวั่นเกรงกับชื่อเสียงของชินอ๋องมากเพียงใด ทว่าตัวเขากลับรู้สึกอุ่นใจมากกว่าเสียอีก ด้วยตั้งแต่ชินอ๋องมาที่นี่ พวกโจรป่าและชาวนอกด่านก็ไม่กล้าบุกเข้ามาทำร้ายชาวเมืองเป่ยซีอีกเลย "คารวะชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเกียรติมากที่ได้มีโอกาสรับใช้ชินอ๋องผู้ห้าวหาญของแคว้นเว่ยของเรา วันนี้กระหม่อมจึงบังอาจขออนุญาตจัดงานเลี้ยงต้อนรับชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" 'อี้ไฉ' ท่านเจ้าเมืองผู้อยู่ในวัย 40 กว่าปี ใบหน้าอวบอิ่มยิ้มแก้มปริด้วยความยินดียิ่ง ในตอนที่เขาขยับกายไปมาดูคล้ายกับก้อนซาลาเปาเดินได้ด้วยรูปร่างที่อ้วนท้วนอุ้ยอ้าย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเคยเป็นถึงนายกองคนสำคัญก่อนจะได้ถูกแต่งตั้งมาเป็นท่านเจ้าเมืองที่นี่ ผิดกับชาวบ้านในเมืองเป่ยซีที่ดูซูบผอมและใบหน้าอมทุกข์ มิรู้ว่าอี้ไฉผู้นี้ปกครองเมืองเป่ยซีอย่างไรกันแน่ เห็นทีเขาคงจะต้องลองสืบดูเสียหน่อยแล้ว "จัดงานได้ดี แต่ครั้งหน้าหากจะทำอะไรก็มาแจ้งข้าเสียก่อน ข้าไม่ชอบความวุ่นวายและไม่ชอบพวกรู้มาก" น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ใบหน้าคมไร้ระลอกคลื่นใดให้อี้ไฉได้สังเกตเห็น มีเพียงนัยน์ตาคู่ดำที่คมดุมองมาอย่างเฉยชาเท่านั้น ทว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวของชินอ๋องกลับทำแข็งขาของเขาอ่อนแรงโดยพลัน ไม่ได้การ! เขาจะต้องทำให้ชินอ๋องทรงพอพระทัยให้จงได้ "อะ เอ่อ เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นเชิญชินอ๋องนั่งตรงนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้นางคณิกามาร่ายรำเพื่อให้พระองค์ทรงสำราญพระทัยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" "อืม" เว่ยสือหยางนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงกลางที่ถูกจัดไว้เป็นอย่างดี ข้างกายมีสาวใช้ตัวน้อยที่มีใบหน้าจิ้มลิ้มคอยรินสุราให้อย่างระวัง นางคอยสอดส่องมองดูด้านข้างที่หล่อเหลาคมคายของท่านอ๋องด้วยความรู้สึกตื่นเต้น หัวใจดวงน้อย ๆ พลันเต้นระริกเมื่อได้พบเจอกับผู้สูงศักดิ์ จะดีแค่ไหนกันหนอถ้านางได้ปรนนิบัติพระองค์ให้ค่ำคืนนี้... แค่คิดก็รู้สึกเนื้อเต้นไปทั้งตัวแล้ว "หลิ่งเอ้อร์ ลากตัวนางออกไป!" เว่ยสือหยางผู้รำคาญสายตาของสตรีเช่นนี้เอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเอ่ยคำสั่งเช่นนี้กับ 'หลิ่งเอ้อร์' มือขวาคนสนิทผู้พูดน้อยแต่ทำงานได้อย่างฉับไวนัก "พ่ะย่ะค่ะ" หลิ่งเอ้อร์ผู้เป็นน้องชายฝาแฝดของหลิ่งอี้เข้ามาลากแขนสาวใช้ผู้นั้นออกไปทันที ท่ามกลางความตื่นตกใจของทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ และก่อนที่สาวใช้ผู้นั้นจะทันได้โวยวายขอร้องอะไร หลิ่งเอ้อร์ก็ได้ใช้สันมือสับไปที่ต้นคอของนางให้สลบไปในทันที "ชะ ชินอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ" อี้ไฉหน้าตาเลิ่กลั่กด้วยความตกใจ "ก็แค่ข้าไม่ชอบนาง" เขาเอ่ยตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเทสุราที่นางรินให้เขาทิ้งแล้วรินสุราให้กับตนเองใหม่ โดยไม่ได้สนใจสายตาของทุกคนที่มองมาด้วยความคาดไม่ถึงเลยสักนิดเดียว ชินอ๋องผู้นี้ช่างสมกับที่ร่ำลือมาเลยจริง ๆ รู้จักแต่การฆ่าสังหาร ธรรมเนียมปฏิบัติอะไรเขาไม่เคยสนใจเลย ทว่าการกระทำของเขากลับเข้าไปสะกิดใจของสตรีนางน้อยผู้นั่งอยู่ด้านหน้าสุด นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ "ปะ เป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นชินอ๋องเชิญชมการแสดงของนางคณิกาอันเลื่องชื่อของเป่ยซีดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ" อี้ไฉรีบพยักหน้าให้คนของตนทันที หากเขายังชักช้าเกรงว่าคงเป็นเขาเองนั่นแหละที่จะถูกลากตัวออกไปเสียเอง หนึ่งชั่วยามก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม รถม้าสองคันของหอหลันฮวา หอคณิกาชื่อดังของเมืองเป่ยซีได้เข้ามาจอดเทียบยังประตูข้างของจวนเจ้าเมือง บุรุษผู้เป็นคนดูแลความเรียบร้อยของหอหลันฮวากระโดดลงจากรถม้าเป็นคนแรก ก่อนจะยื่นมือให้สตรีผู้หนึ่งจับแล้วประคองนางเดินลงมาอย่างระมัดระวัง การกระทำของเขาช่างดูแปลกตานักในสายตาของคนในหอหลันฮวา "ขอบคุณเจ้าค่ะ" น้ำเสียงอันแว่วหวานดังขึ้นมาจากสตรีผู้มีผ้าคลุมหน้าอำพรางใบหน้าท่อนล่างเอาไว้ ทว่าผ้าคลุมหน้ากลับมิอาจเก็บงำความงดงามที่สาดแสงออกมาจากตัวนางได้เลย ไม่ว่าจะนัยน์ตาคู่สวยแวววาวดั่งดวงดาราที่เปล่งประกายระยิบระยับ กับท่วงท่าอรชรแบบบางเย้ายวนใจชาย กลิ่นกายหอมกรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์พลันลอยออกมาจากร่างของนาง เพียงแค่สูดดมก็รู้สึกร้อนรุ่มในทันใด "ข้าจะรออยู่ด้านนอก หากเกิดอะไรขึ้นจงรีบหนีมาทางด้านนี้ อย่าได้ฝืนตัวเองเป็นอันขาดคนผู้นั้นอันตรายมาก" ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายกับคุณชายเจ้าสำอางเอ่ยย้ำกับสตรีด้านข้าง ในแววตาของเขามีความห่วงใยต่อนางยิ่งนัก แต่หน้าที่มิอาจหลีกหนีได้ทำได้เพียงช่วยเหลือนางอย่างลับ ๆ เท่านั้น "ข้าไม่มีทางให้หนีหรอก จะอยู่หรือตายก็มีค่าเท่ากัน แต่ก็... ขอบคุณในความหวังดีของเจ้ามากนะอาจิน" นางแสยะยิ้มมุมปากด้วยท่าทีเฉยชา ความตายไม่ได้น่ากลัวสำหรับนางเลย แต่เพราะนางยังมีคนข้างหลังที่ยังห่วงพะวงจึงมิอาจตายโดยง่าย และงานครั้งนี้จะทำให้นางได้รับอิสระอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะเชื่อในคำพูดของคนปลิ้นปล้อนผู้นั้นหรอก แต่เป็นเขา... คนที่ทุกคนต่างหวาดผวาและเป็นเป้าหมายของนาง! "ระวังตัวด้วย" "เข้าใจแล้ว" นางก้าวเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับนางคณิกาคนอื่น ๆ ที่ถูกเชิญให้มาสร้างความสำราญให้กับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานในวันนี้ หญิงสาวผู้ได้กลายเป็นนางคณิกาชื่อดังของหอหลันฮวาเหยียดยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอยังห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ นางนั่งยังที่นั่งของตนด้วยท่าทีสงบ ทว่าหัวใจของนางกลับเต้นกระหน่ำราวกับพายุคลั่งเพราะความตื่นเต้นและกังวลใจ 'เจ้าทำได้เหมยซิง!' นางภาวนากับตนเองในใจเพื่อเรียกสติให้คืนกลับมา คืนนี้จะเป็นการชี้ชะตาว่าทางที่นางก้าวเดินไปข้างหน้านั้นจะถูกต้องหรือไม่! เมื่ออี้ไฉกล่าวต้อนรับชินอ๋องพอเป็นพิธีแล้ว นางคณิกาที่ถูกจ้างวานด้วยเงินจำนวนมากเยื้องกรายออกมาด้านหน้าตรงกลางห้องโถง พร้อมกับทำการแสดงอันงดงามตระการตา นางคณิกาทั้งสิบร่ายรำด้วยท่วงท่างดงามอ่อนช้อย ทว่าเย้ายวนใจชายปลุกเร้าอารมณ์กำหนัดให้กับพวกเขาที่วันนี้ภรรยาไม่ได้ติดตามมาด้วย เสียงเครื่องดนตรีของผีผาเร่งเร้าอารมณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับร่างของพวกนางทั้งสิบที่หมุนตัวไปมาเผยให้เห็นท่อนขาอันเรียวยาว แขนเรียวเสลากรีดกรายไปตามท่วงทำนองอันไพเราะ ก่อนจะหมุนตัวไปมาแล้วจบท่าอย่างสมบูรณ์ สร้างความประทับใจให้กับเหล่าบุรุษยิ่งนัก แปะ แปะ แปะ! บุรุษที่อยู่ในห้องต่างตบมือเสียงดังสนั่นด้วยความชอบใจ มีไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะได้เห็นนางคณิกาทั้งสิบออกมาร่ายรำอย่างงดงามเช่นนี้ นับว่าหอนางโลมในเมืองเป่ยซีมีฝีมือไม่น้อยที่สั่งสอนพวกนางจนมีความสามารถโดดเด่น โดยเฉพาะนางคณิกาผู้ที่ยืนอยู่หลังฉากกั้นด้านหลังที่บรรเลงผีผา เสียงดนตรีของนางมีทั้งความฮึกเหิมและยังปลุกเร้าอารมณ์ของพวกเขาไปด้วย "ตกรางวัล!" เว่ยสือหยางเอ่ยบอกหลิ่งเอ้อร์เสียงดัง "พ่ะย่ะค่ะ" เหล่านางคณิกาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแก้มปริ เหม่อมองบุรุษสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงกลางด้วยความดีใจ ทั้งยังอยากจะได้รับโอกาสเข้าไปปรนนิบัติพระองค์เสียด้วย "เจ้าน่ะ! ออกมานี่สิ" เว่ยสือหยางชี้นิ้วไปยังสตรีที่อยู่หลังฉากกั้น นางทำตัวลึกลับชวนให้เขาอยากจะค้นหา ถ้านี่คือสิ่งที่นางต้องการก็คงต้องบอกว่านางคิดถูกเสียแล้ว เขากำลังรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวนางยิ่งนัก! "เพคะ" เหมยซิงผู้บรรเลงผีผาก้าวออกมาจากหลังฉากกั้น นางยอบกายคารวะเว่ยสือหยางด้วยความนอบน้อม กิริยาของนางดูงดงามสง่างามเกินกว่าจะบอกว่าเป็นเพียงนางคณิกา หากมีใครบอกว่านางเกิดในตระกูลสูงศักดิ์เขาก็เชื่อ! "เหตุใดถึงปิดบังใบหน้าของตนเอง" คิ้วกระบี่ขมวดมุ่น นางทำตัวลึกลับเกินไปนัก "ทูลชินอ๋อง หม่อมฉันมีผดผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้าเพคะ เกรงว่าจะทำให้แขกในงานและชินอ๋องต้องระคายสายตาจึงได้ใช้ผ้าคลุมหน้าปิดบังเอาไว้เพคะ" ดวงตาคู่คมหรี่มองสตรีตรงหน้า ทั้งที่เขาใช้น้ำเสียงกดข่มถึงเพียงนี้แต่นางกลับยืนสงบนิ่ง หรือสายลับผู้นั้นที่แคว้นจ้าวส่งมาจะเป็นนาง... น่าสนใจนัก!บทที่ 3พูดออกมาจอกสุราถูกเขวี้ยงไปทางเหมยซิงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแฝงไปด้วยลมปราณอันเข้มข้นเสียด้วย เหมยซิงเบี่ยงตัวหลบได้ทันอย่างว่องไว ทว่าตัวนางกลับถูกบุรุษตรงหน้าคว้าตัวเข้ามากักขังในอ้อมกอด กายสูงแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาอย่างเข้มข้น นางเป็นวรยุทธ์จริงด้วย เพราะหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปย่อมหลบจอกสุราของเขาไม่พ้นอย่างแน่นอน!"หญิงคณิกาเช่นเจ้าเหตุใดถึงได้มีวรยุทธ์ พูด!"เหมยซิงแสร้งทำหน้าตาเลิ่กลั่ก เขาฉลาดยิ่งนัก "ท่านอ๋องพูดเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงนางระบำในหอคณิกาที่ขายศิลป์เท่านั้น สตรีเช่นหม่อมฉันจะมีวรยุทธ์ได้อย่างไร"เว่ยสือหยางพลันขบกรามแน่นเมื่อสตรีตรงหน้ายังกล้าปากแข็ง ท่าทางของนางดูหวาดกลัวเขาเหลือเกิน ทว่าดวงตาคู่นี้กลับแย้มยิ้มราวกับดีใจเสียอย่างนั้น"ในเมื่อเจ้าปากแข็งบอกว่าตัวเองเป็นเพียงสตรีที่มาจากหอคณิกา เช่นนั้นราตรีนี้เจ้าก็จงทำหน้าที่ของเจ้าซะ ปรนนิบัติข้าทั้งคืนจนกว่าข้าจะพอใจ!" เขาเอ่ยขู่เสียงเข้ม"หม่อมฉันไม่ขายเรือนร่างเพคะ ต่อให้เป็นท่านอ๋องหม่อมฉันก็ไม่ขาย" แววตาของเหมยซิงพลันแข็งกร้าวขึ้นมาทันที สร้างความสนุกสนานให้กับเว่ยสือหยางอย่างน่าประหลาด ด้วยท
บทที่ 2เจ้าเป็นใครกันแน่เหมยซิงผู้เป็นนางคณิกาของหอหลันฮวายืนนิ่งราวกับหินผา แม้ว่านางจะยืนอยู่ต่อหน้าของเว่ยสือหยาง ผู้เป็นชินอ๋องที่บ้าเลือดและน่าหวั่นเกรงผู้นั้น ทว่านางกลับมิได้รู้สึกหวาดกลัวเขาเลย กลับกัน... นางอยากจะรู้ว่าเขามีค่ามากพอที่นางจะใช้เป็นตัวหมากได้หรือไม่!"เจ้าร่ายรำได้หรือไม่""เพคะ หม่อมฉันถนัดร่ายรำและการเล่นผีผาเพคะ""ดี! เช่นนั้นเจ้าก็ร่ายรำให้ข้าดู""เพคะ"แม้จะแปลกใจกับการกระทำของเขา แต่เหมยซิงก็หาได้รู้สึกตกใจไม่ นางขยับตัวออกไปยืนตรงกลางโดยที่ผีผาได้ถูกนางคณิกาคนอื่นนำออกไปแล้ว ทันทีที่เสียงดนตรีขึ้น ร่างอรชรที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งภายใต้ชุดนางระบำที่เปิดเผยเนื้อหนังมังสาอย่างชัดเจน ก็ได้หมุนตัวไปตามจังหวะของเสียงดนตรีนั้นร่างกายของนางสอดประสานไปกับเสียงของดนตรีที่ดังก้องกังวานอย่างดงาม ท่วงท่าการร่ายรำมีทั้งความอ่อนช้อยและแข็งแรง พลิ้วไหวดั่งใบไผ่ที่ลู่ไปกับสายลมที่พัดโหมกระหน่ำดั่งพายุคลั่ง เห็นได้ชัดว่านางได้ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเว่ยสือหยางพลันกระตุกยิ้มเย็น ก่อนจะแกล้งโยนผลผิงกั่ว (แอปเปิล) ไปให้นาง หากเป็นสตรีธรรมดาจะตกใจและรีบหลบผลผิงกั่วทันที ทว่าสต
บทที่ 1นางคณิกาจากหอหลันฮวาจวนเจ้าเมืองเป่ยซีได้มีการจัดงานเลี้ยงรื่นเริงเพื่อต้อนรับชินอ๋องเว่ยสือหยาง แขกผู้สูงศักดิ์ที่จะมาประจำการยังแดนเหนือของพวกเขา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกหวั่นเกรงกับชื่อเสียงของชินอ๋องมากเพียงใด ทว่าตัวเขากลับรู้สึกอุ่นใจมากกว่าเสียอีก ด้วยตั้งแต่ชินอ๋องมาที่นี่ พวกโจรป่าและชาวนอกด่านก็ไม่กล้าบุกเข้ามาทำร้ายชาวเมืองเป่ยซีอีกเลย"คารวะชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเกียรติมากที่ได้มีโอกาสรับใช้ชินอ๋องผู้ห้าวหาญของแคว้นเว่ยของเรา วันนี้กระหม่อมจึงบังอาจขออนุญาตจัดงานเลี้ยงต้อนรับชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" 'อี้ไฉ' ท่านเจ้าเมืองผู้อยู่ในวัย 40 กว่าปี ใบหน้าอวบอิ่มยิ้มแก้มปริด้วยความยินดียิ่ง ในตอนที่เขาขยับกายไปมาดูคล้ายกับก้อนซาลาเปาเดินได้ด้วยรูปร่างที่อ้วนท้วนอุ้ยอ้าย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเคยเป็นถึงนายกองคนสำคัญก่อนจะได้ถูกแต่งตั้งมาเป็นท่านเจ้าเมืองที่นี่ ผิดกับชาวบ้านในเมืองเป่ยซีที่ดูซูบผอมและใบหน้าอมทุกข์ มิรู้ว่าอี้ไฉผู้นี้ปกครองเมืองเป่ยซีอย่างไรกันแน่ เห็นทีเขาคงจะต้องลองสืบดูเสียหน่อยแล้ว"จัดงานได้ดี แต่ครั้งหน้าหากจะทำอะไรก็มาแจ้งข้าเสียก่อน ข้าไม่ชอบความวุ่นวายและไม
บทนำเด็กน้อยในวันเพียง 7 ปีเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักของผู้เป็นมารดา ตั้งแต่นางจำความได้ไม่มีวันไหนที่ท่านแม่จะดุด่าหรือทุบตีนางเลยสักครั้งเดียว มีเพียงรอยยิ้มและน้ำเสียงอันอบอุ่นอ่อนโยนที่ดังก้องไปในจิตใจของเด็กน้อย ทว่าในทางกลับกันนางกลับเห็นท่านแม่แอบมานั่งร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อยครั้ง สาเหตุก็เป็นเพราะบิดาผู้ให้กำเนิดนางนั้นเอง จนกระทั่งในวันที่อากาศสดชื่นแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่สาดแสงลงมา ตัวนางกลับต้องแยกจากอกของมารดา เพียงเพราะผู้เป็นใหญ่แห่งแว่นแคว้นเล็งเห็นว่าจะใช้นางให้เป็นประโยชน์ได้ เขาส่งนางไปฝึกให้เป็นสายลับที่พร้อมจะพลีชีพเพื่อแคว้นจ้าว! นับจากวันนั้นชีวิตอันเรียบง่ายของนางก็จบสิ้นลง มีเพียงต้องตื่นมาฝึกหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หากนางทำไม่ดีหรือไม่เป็นที่น่าพอใจก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก ซ้ำร้ายมารดาที่อยู่ไกลออกไปยังถูกลงโทษเสียด้วย ชีวิตของนางราวกับตกอยู่ในขุมนรก มีวันคืนที่แสนเลวร้ายจนอยากจะปลิดชีพของตัวเองในวัยที่ 10 แต่เพราะการได้พบหน้ามารดาอีกครั้งทำให้ความคิดของนางเปลี่ยนไป..."ซิงเอ๋อร์... อดทนไว้นะลูก อย่าได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของเรา แม่เชื่อว