Mag-log inหลังจากที่เจี้ยนอี้โจวประกาศกร้าวว่าจะไม่ตบแต่งกับลี่อิ่ง นางก็นั่งคิดนอนคิดมาหลายวันว่าจะทำเช่นไร เพราะแม้จะอ้างเรื่องหมั้นหมาย ให้ได้ตบแต่งเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง
เจี้ยนอี้โจวคงแต่งเสี่ยวปิงเป็นฮูหยินรองในทันที หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาคงครองคู่กันอย่างชื่นมื่น ทิ้งให้นางต้องช้ำใจ
“อิ่งเอ๋อร์ เสร็จหรือยังลูก ประเดี๋ยวจะไม่ทัน”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” สวีลี่อิ่งหมุนตัว สำรวจดูความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอีกครั้ง
เนื่องจากวันนี้นางต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลอง วันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ชายน้อยของราชวงศ์
แคว้นเจี้ยนในยามนี้ ปกครองโดยองค์ฮ่องเต้เจี้ยนเฟยหลง วังหลังมีฮองเฮาเซียวเลี่ยงซูเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด รองลงมาก็คงไม่พ้นสนมขั้นหวงกุ้ยเฟย ไป่ฟางชิน และมีสนมขั้นกุ้ยเฟยอีกสองพระองค์ คือ สนมเติ้งลู่ซือ สนมถานเจียวลู่ นอกจากนี้ก็เป็นเพียงสนมปลายแถว
โอรสธิดาของฮ่องเต้ก็มีมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่ก็มีเพียงเจ็ดพระองค์เท่านั้นที่มีบทบาทในราชสำนัก
คนแรกคงหนีไม่พ้น องค์รัชทายาทเจี้ยนหลิวเหว่ยหรือองค์ชายรอง ต่อมาเป็นองค์หญิงใหญ่เจี้ยนอันหรานที่แต่งเชื่อมสัมพันธ์ให้กับแคว้นหยาง ทำให้ทั้งสองแคว้นทำสัญญาไม่ก่อสงครามกัน และองค์ชายน้อยเจี้ยนหลี่เฉียงที่พึ่งมีอายุเพียงสามชันษา ทั้งสามพระองค์ประสูติจากฮองเฮาของแผ่นดิน
นอกจากนี้องค์ชายสาม เจี้ยนหลงเหยี่ยนที่พระสูติจากหวงกุ้ยเฟย ไป่ฟางซิน ก็มีบทบาทในการบริหารบ้านเมืองไม่น้อย ทั้งท่านตาขององค์ชายยังเป็นถึงขุนนางอาวุโส ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง
องค์หญิงรองเจี้ยนฟางฟางและองค์หญิงเล็กเจี้ยนฉู่หงที่ประสูติจากสนมขั้นกุ้ยเฟย สนมถานเจียวลู่ ก็ถูกทาบทามจากต่างแคว้นแล้วเช่นกัน หากได้แต่งเชื่อมสัมพันธ์กับต่างแคว้น คงทำให้มารดาและสกุลถานมีหน้ามีตามากขึ้น
และคนที่มีบาทบาทน้อยที่สุดคงเป็นองค์ชายใหญ่ เจี้ยนซ่งอวิ๋น เนื่องด้วยอาการป่วยอดๆ แอดๆ อยู่ตลอดเวลา ฝ่าบาทและมารดาอย่างกุ้ยเฟยเติ้งลู่ซือ จึงพยายามหาหมอมารักษา แต่ทำอย่างไรก็ไม่หายขาด ฝ่าบาทจึงมิค่อยอยากให้โอรสทำงานหนัก
“ท่านพี่ให้เสี่ยวปิงไปด้วยมิได้หรือเจ้าคะ อย่างน้อยก็ให้นางไปปรนนิบัติท่านพี่” เหลียงอี้ถงพูดไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจอยากให้บุตรสาวได้มีโอกาสได้พบบุรุษยศสูง
เพราะแม้ท่านชายอี้โจวมียศศักดิ์ แต่ก็เป็นเพียงบุตรชายชินอ๋อง หากมีเชื้อพระวงศ์สายตรง อย่างองค์รัชทายาทและเหล่าองค์ชายมาสนใจเสี่ยวปิงของนาง ก็คงเป็นเรื่องดี
“เหลียงอี้ถง นับวันเจ้ายิ่งจะไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ กลับเข้าห้องตนเองไปเสีย อย่าทำให้ข้าปวดหัวนักเลย” ท่านราชครูถือเรื่องกฎเกณฑ์เป็นที่สุด แต่อนุของเขาผู้นี้ กลับคะยั้นคะยอให้เขาพาบุตรสาวคนโตไปด้วย
หากเสี่ยวปิงเป็นบุตรฮูหยินเอก ไหนเลยเขาจะไม่ให้นางไป แต่งานเลี้ยงเหล่านี้ มีเพียงบุตรที่เกิดจากฮูหยินเอกเท่านั้น ที่สามารถออกงานได้
“ท่านพี่ก็เป็นเช่นนี้ทุกที เสี่ยวปิงมิใช่ลูกท่านหรืออย่างไรกัน”
“เฮ้อ! อาหัว พาน้องสาวเจ้าขึ้นรถม้า ประเดี๋ยวจะไม่ทัน” ท่านราชครูสวีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยุงภรรยาเอกขึ้นรถม้าไป
ไม่นานนักรถม้าของสกุลสวี ก็เดินทางมาถึงลานพิธีในพระราชวัง เนื่องด้วยสวีเหมิงซานเป็นถึงราชครูขององค์ฮ่องเต้และชินอ๋อง จึงมีผู้คนเข้ามาทักทายไม่ขาดสาย
ลี่อิ่งเองก็นั่งพูดคุยกับเหล่าคุณหนูหลายสกุลที่เคยรู้จัก กระทั่งฮ่องเต้และฮองเฮาพาองค์ชายน้อยเข้ามาในลานพิธี งานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้น
เสียงซ้อมดาบดังมาจากหลังเรือนอย่างชัดเจน ทำเอาลี่อิ่งที่พึ่งทำมื้อค่ำให้บุตรสาวคนเล็กเสร็จ ถึงกับต้องเดินไปดู จึงพบว่าเป็นบุตรชายคนโตกับสามีที่ต่อสู้กัน รอบสนามก็มีทหารสองสามคนที่บาดเจ็บอยู่“อันใดกัน แค่ฝึกซ้อมมิใช่หรือ เหตุใดรุนแรงถึงขั้นบาดเลือดตกยางออก”“อิ่งเอ๋อร์” / “ท่านแม่”“พวกเจ้าไปทำแผลก่อนเถิด ส่วนสองพ่อลูก ตามมาทางนี้”ศาลากลางเรือนถูกใช้เป็นสถานที่พูดคุยกันของสามพ่อแม่ลูก ชายทั้งสองนั่งคุกเข่ายกแขน ทำโทษตนเองไปตามระเบียบ เพราะสิ่งที่ลี่อิ่งสั่งห้ามโดยเด็ดขาดคือการโมโห แล้วไปลงกับการซ้อมต่อสู้ จนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บไปด้วย“ท่านชาย ท่านเป็นพ่อ เหตุใดไม่ห้ามลูก”“ท่านแม่อย่าโกรธท่านพ่อเลยขอรับ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีขอรับ” เจี้ยนตงหยางไม่อยากให้บิดามารดาผิดใจกัน จึงรีบยอมรับ“แม่เคยสั่งห้ามไปแล้ว”“ขออภัยขอรับ”“ลูกควรไปขอโทษทหารที่เจ้าฝึกด้วยเมื่อครู่ พวกเขาบาดเจ็บถึงขั้นเลือดตกยางออก” ลี่อิ่งยังคงใช้เสียงแข็ง“ขอรับ ลูกจะไปขอโทษพวกเขา”“อืม ลุกขึ้นมานั่งดีๆ ส่วนอาตงไปขอโทษทหารทั้งสามนายเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาพูดคุยกัน”“ขอรับ”เมื่อบุตรชายเดินลงไปจ
สองสตรีเดินชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ พูดคุยเรื่องความงามบ้าง เรื่องการบ้านการเรือนบ้างตามประสา“ท่านอาหญิงเองก็เลี้ยงปลามิใช่หรือเจ้าคะ เห็นว่ามีถึงยี่สิบตัว”“ใช่เพคะ หม่อมฉันเลี้ยงพวกมันมาตั้งแต่อาตงเกิดแล้ว มันจึงออกลูกออกหลานเสียเต็มสระ”“เพราะแบบนั้นถึงอยากสร้างสระเพิ่มสินะเจ้าคะ”“…”“แล้วท่านอาหญิงจำชื่อพวกมันได้อย่างไรเจ้าคะ ตงหยางเอ่ยว่าท่านเรียกชื่อถูกตลอด”ลี่อิ่งขมวดคิ้วกับคำพูดขององค์หญิง ปกติแล้วตงหยางมิใช่คนที่จะพูดคุยเรื่องในเรือนให้ใครฟัง เพราะติดนิสัยจากบิดาพฤติกรรมเช่นนี้น่าแปลกนัก…“อาตงเล่าให้องค์หญิงฟังหรือเพคะ” องค์หญิงผู้นี้เกิดจากชายาขององค์ชายใหญ่เจี้ยนซ่งอวิ๋น ที่พึ่งรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์หลังจากที่สามีก่อกบฏลี่อิ่งก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่าการอยู่ในวังหลังไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเจียงหนี่ว์เลยสักนิด หญิงสาวเติบโตมา ด้วยแววตาที่สดใสได้ถึงเพียงนี้ถือว่าเก่งมากแล้ว“เจ้าค่ะ ตงหยางเล่าให้ฟัง มีหลายเรื่องเลยนะเจ้าคะ แต่…ต่อจากนี้คงไม่ได้ฟังแล้ว ดูเหมือนเขาจะโกรธข้ามาก”“องค์หญิงมีใจให้อาตงหรือเพคะ” ลี่อิ่งถามกับหญิงสาวตามตรง และก็ได้รับการตอบกลับเป็นใบหน้าที่แดงก่ำ“…”“
“ขอฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยใหม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพใหญ่เจี้ยนอี้โจวกล่าวขอร้องต่อองค์ฮ่องเต้เจี้ยนหลิวเหว่ย“ตั้งแต่เล็กจนโต องค์หญิงเจียงหนี่ว์ นางประพฤติดีมาโดยตลอด ทั้งยังไม่เคยขอสิ่งใดจากข้า แต่ครั้งนี้นางเอ่ยขอร้องข้าด้วยตัวเอง เจ้าจะให้ข้าปฏิเสธนางลงได้อย่างไร”“แต่ฝ่าบาท บุตรชายกระหม่อมยืนยันว่าคิดกับองค์หญิงเพียงพี่น้องเท่านั้น ขอฝ่าบาทพิจารณาอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ก็รู้ว่าความรักมิอาจบังคับกันได้”“เอาเถิด ข้าจะลองคิดดู แต่ตอนนี้ข้ากับเจ้าต้องออกไปร่วมพิธีเปิดเทศกาลล่าปาก่อน”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เจี้ยนอี้โจวคำนับลูกพี่ลูกน้องที่บัดนี้ดำรงตำแหน่งฮ่องเต้ของแคว้น ก่อนจะออกจากกระโจม เพื่อมานั่งกับฮูหยินและบรรดาบุตร“ท่านพ่อ ว่าอย่างไรขอรับ ฝ่าบาททรงยกเลิกงานแต่งของข้ากับองค์หญิงใหญ่หรือไม่” เจี้ยนตงหยาง หนุ่มวัยสิบแปดหนาว เอ่ยถามบิดาด้วยความร้อนใจแม้ผู้คนนอกแคว้นจะคิดว่า เจี้ยนตงหยางเป็นเชื้อพระวงศ์ปลายแถว ทว่าคนในแคว้นกลับรู้ดีว่าเขาเป็นถึงหลานรักของฝ่าบาท เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น จึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปศึกษาเล่าเรียนกับเหล่าองค์หญิงองค์ชายในวังด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้จักกับองค
ท้องใหญ่โตใกล้คลอดมิใช่เรื่องง่ายสำหรับลี่อิ่งเลยสักนิด อาการปวดหลัง ปวดเท้า มีมากขึ้นทุกวัน จะเดินเหินไปที่ใดก็ต้องมีคนคอยประคองอยู่ไม่ห่าง“เป็นอย่างไร สวนที่พี่สร้างให้เจ้ากับลูก ชอบหรือไม่” อี้โจวพยุงภรรยาไปเดินเล่นในสวน พลางพยุงร่างอวบให้นั่งลงบนตั่งใต้ร่มไม้“งดงามมากเจ้าค่ะ เหลือแค่ปลาที่ข้ายังไม่ได้ออกไปซื้อเสียที” อันที่จริงสวนนี้ควรจะสร้างเสร็จตั้งนานแล้ว แต่ช่วงก่อนจวนอ๋องติดปัญหามากมาย ทั้งยังเกิดเรื่องกบฏ ขึ้นอีก ทุกอย่างจึงล่าช้า แต่ก็ยังดีที่เสร็จก่อนที่ลี่อิ่งจะคลอดบุตร“มิต้องกังวลไป พอเจ้าคลอด พักฟื้นให้หายดีแล้ว พี่ย่อมพาเจ้าไปซื้อ”“เจ้าค่ะ” ลี่อิ่งหันมองตามสามี มาถึงตอนนี้นางก็รู้ว่าตนเองตัดสินใจไม่ผิด ที่ให้โอกาสอีกฝ่าย อย่างน้อยเขาก็ก้มลงนวดเท้าให้นางโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด ไม่สนใจว่าใครจะมองว่าเสียเกียรติ“เดินจากตรงนั้นมา เจ้าปวดเท้าหรือไม่”“ปวดเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ พอท่านพี่นวดให้ก็ดีขึ้นมาเลย”“หึ ปากหวานนัก”“ท่านก็เคยชิมแล้วมิใช่หรือ อ๊ะ โอ๊ย!” ทั้งที่กำลังเอ่ยเย้าสามี แต่บุตรในครรภ์ดันไม่เป็นใจเสียอย่างนั้น“อิ่งเอ๋อร์ เป็นอันใด น้ำ มีน้ำออกมา”“อึก!”“มี่มี
ความหวาดกลัวกัดกินหัวใจแกร่งจนเจ็บปวด แทบเอ่ยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แม่ทัพหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าระยะทางจากค่ายทหารกับจวนอ๋องจะห่างไกลถึงเพียงนี้ทันทีที่มาถึงหน้าประตูจวน ร่างกำยำก็กระโดดลงจากหลังม้า วิ่งตรงไปที่เรือนของตน โดยมีรองแม่ทัพสวีตามมาติดๆ“อิ่งเอ๋อร์! อิ่งเอ๋อร์!”“อาโจว ใจเย็นก่อน รอให้ท่านหมอตรวจอาการก่อนเถิด” ชินอ๋องรีบรั้งบุตรชายเอาไว้ไม่ให้ไปขัดขวางท่านหมอ“ท่านชายอย่าได้กังวลอิ่งเอ๋อร์ของข้าแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่เป็นอะไรร้ายแรง”“จริงอย่างท่านพ่อว่าขอรับท่านแม่ทัพ” สวีต้าหัวรีบยืนยันคำพูดของบิดา เพราะไม่อยากให้น้องเขยกังวลเกินเหตุ“ท่านพ่อตาก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” อี้โจวก้มคำนับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อตาและอาจารย์ของบิดา เมื่อครู่เขาคิดถึงแต่ฮูหยินรัก จึงไม่ทันเห็นว่าท่านพ่อตาก็อยู่ด้วยแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้อี้โจววางใจ แม้จะได้รับคำปลอบใจจากทุกคน ชายหนุ่มกลับย้อนนึกถึงความสูญเสียในชาติก่อน ตอนนั้นเขาเองก็ทำได้เพียงจ้องมองนางตายตกไปต่อหน้า โดยไม่ได้ทำสิ่งใด“ท่านหมอว่าอย่างไร เหตุใดยังไม่รู้อีก!”“ท่านชายโปรดระงับอารมณ์ ข้าต้องตรวจให้ละเอียดว่าเป็นชีพจรมงคลหรือไม่” ท่านหม
ในขณะที่เอกบุรุษกำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงตะโกนกู่ร้องและเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากวิ่งตรงมาทางนี้และก็เป็นรองแม่ทัพสวีที่ควบม้า ชูตราทัพนำหน้าขบวนทหารมา“หึ สมกับเป็นฮูหยินของข้า ย๊า!”เมื่อกำลังพร้อม จิตใจพร้อม ก็ไม่มีทางที่เจี้ยนอี้โจวจะแพ้กว่าการต่อสู้จะสิ้นสุดลง กว่าเหล่าศัตรูจะตายตกไป ก็กินเวลาไปนานและสูญเสียเลือดเนื้อไปมากองค์ฮ่องเต้จึงได้ประกาศเยียวยาให้กับครอบครัวทหารที่ล้มตาย และประชาชนที่เดือดร้อนกับเหตุการณ์ในครั้งนี้“ฝ่าบาททรงหายจากอาการประชวรแล้วหรือเจ้าคะ” ลี่อิ่งนอนซบอกเปลือย พลางเอ่ยถามผู้เป็นสามี“อืม พอได้รับยาถอนพิษจากองค์ชายใหญ่ พระอาการก็ดีขึ้น”“องค์ชายใหญ่น่าสงสารเสียจริง”“พี่ก็คิดเช่นนั้น”“เฮ้อ” ลี่อิ่งถอนหายใจ เมื่อนึกถึงสิ่งที่องค์ชายใหญ่ต้องพบเจอ ทั้งอาการป่วยนานนับสิบกว่าปี ทั้งต้องมารู้ว่าบิดาวางยาตน ไหนจะเรื่องที่ไม่ใช่สายเลือดของฮ่องเต้อีก“แต่ตอนนี้คงไม่มีผู้ใดน่าสงสารไปกว่าพี่ ขนาดนอนกอดกัน ภรรยายังนึกถึงชายอื่น”“อันใดกันเจ้าคะ ท่านพี่ก็รังแกข้าทั้งคืนแล้วมิใช่หรือ” ลี่อิ่งหันหลังหมายจะลงจากเตียง แต่กลับถูกฉุดดึงให้ไปอยู่ในอ้อมกอดเหมื







