“ดูท่าโอรสของข้าจะชื่นชอบการแสดงนี้ ใช่หรือไม่หลี่เฉียง”
“พ่ะย่ะค่ะ งดงามยิ่ง” เด็กน้อยวัยสาวหนาวพูดเจื้อยแจ้ว
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ตกรางวัลให้พวกนางเสียหน่อย”
ลี่อิ่งอดยิ้มให้กับความช่างพูดของเด็กน้อยไม่ได้ แม้จะรู้สึกหน่วงๆ อยู่บ้าง แต่นางก็พยายามเก็บซ่อนความโศกเศร้าที่สูญเสียบุตรไว้ เพราะวันนี้ถือเป็นวันดี
“อิ่งเอ๋อร์ วันนั้นเจ้ากับท่านแม่ทัพมีเรื่องกันรุนแรงหรือ พี่ใหญ่เห็นเขาหันมามองเจ้าอยู่หลายครา” เพราะเคยชินกับการอยู่ในค่าย สวีต้าหัวจึงเอ่ยเรียกว่าที่น้องเขยว่าท่านแม่ทัพ
“มิมีสิ่งใดเจ้าค่ะ พี่ใหญ่อย่าได้ใส่ใจ ท่านดูแม่นางน้อยพวกนั้นร่ายรำเถิด อยู่ในค่ายคงไม่ได้เห็นกระมัง”
“ก็จริง ฮ่าๆ แต่ละคนงดงามทั้งนั้น” ลี่อิ่งส่ายหัวให้กับท่าทีกระชุ่มกระชวยของพี่ชาย ก่อนจะปรายตาไปทางที่นั่งของเชื้อพระวงศ์ ซึ่งก็เป็นอย่างที่พี่ใหญ่พูด
เขามองนางอยู่จริงๆ
แต่ไม่นานอีกฝ่ายก็มองไปทางอื่น ลี่อิ่งจึงไม่คิดจะสนใจ หันมาดูความน่ารักขององค์ชายน้อยแทน
เด็กชายวัยสามขวบพูดคุยไม่หยุด เดินไปหาคนนั้นทีคนนี้ที ทั้งยังอ้าปากรับเอาอาหารที่มารดาป้อน ด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อย
แต่แล้วคิ้วได้รูปก็ขมวดเข้าหากัน เมื่อเห็นว่าองค์ฮองเฮากำลังป้อนบางอย่างให้องค์ชายน้อย
“ช้าก่อนเพคะ! นะ น้ำแกงนั่นมีส่วนผสมของกุ้ง” ลี่อิ่งตะโกนออกมาท่ามกลางการร่ายรำ ทำให้นักดนตรีต้องหยุดเล่น
“คุณหนูสวีว่าอย่างไรนะ” คำถามขององค์กษัตริย์ทำให้คนในลานพิธีจ้องมาที่สวีลี่อิ่งเป็นตาเดียว
“เมื่อครู่หม่อมฉันชิมน้ำแกง พบว่าเนื้อหมูบดที่ปั้นเป็นก้อน มีส่วนผสมของกุ้งอยู่เพคะ ฝ่าบาท”
เรื่องที่องค์ชายน้อยแพ้กุ้งมิได้เป็นความลับ ไม่แปลกที่ลี่อิ่งจะรู้ ดีที่นางชิมน้ำแกงถ้วยนี้แล้ว จึงได้เอ่ยเตือนทันเวลา
“ฝ่าบาท เป็นจริงอย่างที่คุณหนูสวีว่าเพคะ” ฮองเฮาลองตักเข้าปาก ก็พบว่ามีส่วนผสมของกุ้งอยู่จริงๆ
“เสด็จพ่อ เรื่องนี้ลูกของตรวจสอบด้วยตนเองได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ให้พ้นงานนี้ไป รัชทายาทก็จัดการให้เรียบร้อยเถิด” องค์รัชทายาทเจี้ยนหลิวเหว่ยรับคำสั่ง
เรื่องนี้อาจจะเป็นเพียงความผิดพลาด หรือมากกว่านั้น อย่างไรเสียก็ต้องตรวจสอบให้รู้เรื่อง มิเช่นนั้นน้องชายร่วมมารดาของเขาคงต้องตกอยู่ในอันตราย
“ดีที่คุณหนูสวีเตือนไว้ก่อน หม่อมฉันจึงยังไม่ได้ป้อนน้ำแกงให้กับหลี่เฉียง” องค์ฮองเฮาถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลันทำให้ทุกคนในลานพิธีพลอยยินดีไปด้วย
“ขอบใจคุณหนูสวีมาก เจ้าอยากได้สิ่งใดเล่า ข้าจะให้เป็นรางวัลตอบแทน” ก่อนหน้าก็เอ็นดูบุตรสาวของท่านอาจารย์อยู่แล้ว ยิ่งนางช่วยชีวิตโอรสของพระองค์ไว้ ก็ยิ่งรู้สึกยินดี
“เอ่อ มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันเพียงเป็นห่วงองค์ชายน้อยเท่านั้น”
“ว่ามาเถิด เจ้าอยากได้สิ่งใด ข้าจะมอบให้”
สวีเหมิงซานพยักหน้าให้บุตรสาวเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกไป เพราะการไม่รับของพระราชทานจากฝ่าบาท มิใช่เรื่องดีนัก
“หม่อมฉันมีเพียงเรื่องเดียวที่อยากให้ฝ่าบาทช่วยเหลือเพคะ”
“เจ้าว่ามา”
“หม่อมฉันกำลังจะแต่งให้กับท่านชายเจี้ยนอี้โจวในอีกสามเดือนข้างหน้า” ลี่อิ่งเหลือบไปมองสีหน้าร้อนรนของว่าที่สามีเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขอออกไป
“…”
“จึงมิอยากให้ท่านชายแต่งสตรีใดเข้ามา นับจากนี้ไปอีกสามปี”
“คุณหนูใหญ่คงอิจฉาคุณหนูของบ่าวจนมิอาจทนดูได้”“จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือมี่มี่ สายตาของนางตอนที่พูดเรื่องเครื่องประดับติดรำคาญเสียมากกว่า” แทนที่จะเป็นแววตาที่โศกเศร้า น้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่ยินดี“แต่เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ก็ดูจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”“นั่นเป็นเพราะข้าพูดถึงเรื่องข่าวลือเสียหายของนาง” ตอนขอให้ช่วยเลือกเครื่องประดับงานสมรส แสดงท่าทีรำคาญ แต่พอพูดเรื่องข่าวลือจึงเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด โมโห“…”“หมายความว่านางไม่สนใจการสมรสของข้ากับท่านชายหรือ” เด็กสาววัยสิบหกพึมพำกับตัวเอง“…”“มี่มี่ ไปเรียกป้าเถากับอาซิวมา ข้ามีเรื่องจะสอบถามพวกเขา” เรื่องการเลือกเสื้อผ้าเครื่องประดับถูกพักไว้ เพราะสายตาติดรำคาญของเสี่ยวปิงหรือชายหญิงคู่นั้นจะแอบวางแผนบางอย่างเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่เจี้ยนอี้โจวมาที่เรือน ก็มิได้ขอพบสวีเสี่ยวปิงเลยสักครั้ง หากไม่มาพูดคุยเรื่องการทหารกับพี่ใหญ่ ก็นำของจากจวนอ๋องมามอบให้“คุณหนู”“ท่านป้าเถา อาซิว นั่งลงก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะสอบถาม”“มีเรื่องอันใดหรือขอรับคุณหนู” บ่าวชายในเรือนเอ่ยถาม“ช่วงนี้พวกท่านทั้งสองเห็นพี่หญิงทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบออกไปที่ใดหรือไม่”“เห็นออกไปนอกเรื
“ท่านแม่ทัพ ข้ามารับตัวน้องสาวขอรับ ไม่ทราบว่านางอยู่ด้านในหรือไม่”“พี่ใหญ่! ข้าอยู่ด้านใน” สวีลี่อิ่งตะโกนตอบราวกับกลัวว่าจะมีใครแย่ง เจ้าของกระโจมจึงได้แต่ส่ายหัว“เข้ามา”“ข้ามารับ-” สวีต้าหัวอ้าปากค้าง เมื่อเห็นท่านชายที่พ่วงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นกำลังคุกเข่า พันข้อเท้าให้น้องสาวของเขา ทั้งที่บอกว่าจะถอนหมั้น และไม่ยินดีจะแต่งงานด้วยแต่การกระทำเช่นนี้ มันน่าแปลกนัก“น้องสาวเจ้าบาดเจ็บที่ข้อเท้า หากคราหน้าจะให้นางขี่ม้า เจ้าก็ควรหาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลนาง”“ขอรับ อิ่งเอ๋อร์เจ้าเจ็บมากหรือไม่”“ไม่มากเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับเรือนแล้ว” เมื่อน้องสาวว่าดังนั้น ต้าหัวก็รีบย่อตัวให้น้องสาวขึ้นหลัง แล้วพาขึ้นรถม้า กลับเรือนทันทีหลังจากวันนั้น สวีลี่อิ่งก็ยังนึกแปลกใจกับการกระทำของเจี้ยนอี้โจว ทั้งที่คิดว่าเขาจะต้องโมโหและโกรธเรื่องที่นางขอกับฝ่าบาทมากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายกลับดูไม่ค่อยทุกข์ร้อนเท่าที่ควร“หรือข้าจะวางแผนการผิดมาโดยตลอด”คงมิใช่กระมัง เขาก็ยังตะคอกดุด่านาง เจอกับเสี่ยวปิงเมื่อใดก็ยังส่งสายตาหวานซึ้งให้กันอยู่ตลอด คงต้องเจ็บปวดทรมานอยู่บ้าง ที่มิอาจสมรสกับคนที่รักได้“คุณหนูเจ้า
“ท่านแม่ทัพ คือคุณหนูสวีนาง-” ยังไม่ทันที่นายกองไห่จะได้เอ่ยอธิบาย เจี้ยนอี้โจวอุ้มลี่อิ่งออกมาจากตรงนั้น“ทะ ท่านจะพาข้าไปที่ใด พี่ไห่ฉงไปบอกพี่ใหญ่เร็วเข้า”“คุณหนูเจ้าคะ ท่านปล่อยคุณหนูลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” มี่มี่วิ่งตามผู้เป็นนายไป ส่วนนายกองไห่ก็รีบนำเรื่องนี้ไปแจ้งรองแม่ทัพสวีลี่อิ่งมองสีหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก แต่แทนที่หญิงสาวควรกลัว กลับนึกสนุก ทั้งผลัก ทั้งดิ้นออกจากอ้อมกอดแกร่ง“อยู่นิ่งๆ หากตกลงไปจะเจ็บตัว”“เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้า ข้าฝึกม้ากับพี่ไห่ฉงอยู่ดีๆ ท่านจะมายุ่งทำไมกัน”“มี่มี่ เจ้ารออยู่ด้านนอก!” ร่างใหญ่หันมาสั่งเสียงเข้ม จนบ่าวสาวขาแข็ง มิอาจก้าวเดินตามนาย ที่ถูกพาเข้าไปในกระโจมส่วนตัวของแม่ทัพใหญ่ได้ร่างเล็กถูกวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะมายืนปักหลัก กอดอกอยู่ตรงหน้าว่าที่ภรรยา“เหตุใดจึงไปกอดรัดกับนายกองไห่ ชายหญิงไม่ควรเข้าใกล้กัน หรือเจ้าไม่รู้”“เช่นนั้นท่านอุ้มข้าเข้ามาในกระโจมทำไมกัน ชายหญิงมิควรเข้าใกล้กัน ท่านก็รู้อยู่แล้ว”“อย่ายอกย้อน! เจ้าเป็นคู่หมั้นข้าจะทำสิ่งใดก็ไตร่ตรองให้ดี อ่อ หรือว่าเจ้าคิดใช้แผนการทำให้ข้า
“อิ่งเอ๋อร์ ช่วงนี้พี่ใหญ่มีงานวุ่นวาย จึงมิได้สนทนากับเจ้าบ่อยนัก หากเจ้ามีเรื่องอยากปรึกษาพี่ ก็อย่าได้เกรงใจ พูดคุยมาได้ อย่าเก็บเรื่องที่อัดอั้นตันใจไว้เพียงผู้เดียว” ระหว่างทางกลับเรือน รองแม่ทัพของแคว้นก็ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับนาง เพราะบนรถม้ามีเพียงพวกเขาสองพี่น้อง“พี่ใหญ่อย่าได้เป็นห่วงไปเลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้เป็นอันใด”“พี่เป็นห่วงเจ้ามาก ยิ่งช่วงนี้เจ้าเปลี่ยนไป มิร่าเริงเหมือนเคย พี่ก็ยิ่งห่วง”“ข้าเพียงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เลยอยากเอาคืนพวกเขาบ้าง หรือท่านคิดว่าไม่ควร”“…” ต้าหัวได้แต่ลูบศีรษะเล็กเพื่อปลอบใจ“ทั้งที่ข้าดีกับพวกเขา ไว้ใจพวกเขา แต่กลับถูกหักหลังอย่างเลือดเย็น ท่านไม่คิดว่าข้าควรเอาคืนบ้างหรือ”“เหตุใดจะไม่ควรเล่า พี่ใหญ่เองก็เตือนเจ้าหลายครา เจ้ามีสิ่งใดก็ให้เสี่ยวปิงไปหมด ขนาดของที่พี่ซื้อให้ เจ้าก็ให้นางโดยไม่นึกเสียดาย”“พี่ใหญ่ เหตุใดกลายเป็นท่านน้อยใจข้าเสียได้เล่า” ลี่อิ่งหัวเราะเบาๆ กับการกอดอก เชิดหน้าของพี่ชาย“หึๆ อิ่งเอ๋อร์ มีเรื่องใดอยากให้พี่ชายคนนี้ช่วย อย่าได้ลังเล ในเมื่อเจ้าอยากเอาคืนพวกเขา พี่ก็จะช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด”“ข้ารักพี่ใหญ
หลังจากผ่านงานเลี้ยงคืนนั้นไป ผู้คนในท้องตลาดก็ลือกันสนั่น ว่าคุณหนูน้อยสกุลสวีใจจืดใจดำ มิเห็นแก่ความรักของท่านชายเจี้ยนอี้โจวกับพี่สาว ยืนยันจะไม่ถอนหมั้น ทั้งยังร้องขอต่อฝ่าบาท มิให้ท่านชายแต่งสตรีอื่นเข้ามา“นางคงต้องการกันท่า ไม่ให้พี่สาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องเป็นแน่”“ข้าก็คิดเช่นนั้น เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวาน จึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้”“สงสารก็แต่ท่านชายกับคุณหนูใหญ่สวี มีใจต่อกันแต่กลับไม่ได้ครองคู่”ปัง! เสียงตบโต๊ะดังลั่นไปทั่วเหลาอาหาร จนทุกคนต้องหันไปต้นเสียง ก็พบว่าผู้ที่นั่งทานอาหารอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน เป็นบุคคลที่กำลังถูกนินทา“ปากมากนักนะ มิอยากทานข้าวเสียแล้วกระมัง”“พี่ใหญ่ใจเย็นไว้” ลี่อิ่งห้ามปรามพี่ชาย เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นมองเขาไม่ดี“แต่-”“ให้ข้าจัดการเถิดเจ้าค่ะ” ลี่อิ่งเดินไปหาสตรีสองคนที่พูดถึงนางเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร“คุณหนูมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง”“เอ่อ ข้ายังไม่มี” สาวร่างอวบอ้วนเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นๆ แต่ก็ยังรักษากิริยาเอาไว้ได้“เพราะท่านไม่มีคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า”“…” พอเป็นเรื่อง
“หม่อมฉันมิอยากให้ท่านชายแต่งสตรีใดเข้ามา นับจากนี้ไปอีกสามปี” ตากลมชำเลืองไปมองใบหน้าของอี้โจวอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มตกใจจนเสียกิริยา ก็รู้สึกสนุกไม่น้อยป่านนี้ในใจคงเดือดพล่านแล้วกระมัง หึ!“จะเป็นไปได้อย่างไร! อี้โจวไม่มีพี่น้อง อย่างไรก็ต้องมีทายาสืบสกุลให้มาก เจ้าจะแต่งเป็นฮูหยินเอก อย่างไรก็ต้องใจกว้างเข้าไว้”“…”“เจ้าขออย่างอื่นเถิด แล้วข้าจะมิขัด” ฮ่องเต้ยื่นข้อเสนอให้สาวงามที่ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง“ในใจของหม่อมฉันประสงค์เพียงเรื่องนี้ จึงไม่รู้จะกล่าวขอสิ่งใด ในเมื่อเรื่องที่ขอมิอาจเป็นจริงได้ หม่อมฉันก็มิอยากรบกวนฝ่าบาทเพคะ”“…”“เดิมทีหม่อมฉันไม่ได้ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน เพียงมิอยากเห็นองค์ชายประชวรก็เท่านั้น ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาเพคะ” ลี่อิ่งก้มคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะหันหลังกลับ แต่เสียงของมารดาแผ่นดินก็ขัดขึ้นเสียก่อน“ฝ่าบาท คุณหนูสวีรักษาชีวิตของเชื้อพระวงศ์ ถือเป็นความดีใหญ่หลวง อีกอย่างสิ่งที่นางขอก็มิได้เหลือบ่ากว่าแรง นางขอเพียงสามปีเท่านั้น”“…”“ฝ่าบาท กษัตริย์ตรัสแล้วมิอาจคืนคำนะเพคะ” หงส์เคียงบัลลังก์กระซิบเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคนพระนางพอจะทราบข่าวเรื่องของ