เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เสิ่นลี่จูก็รีบออกจากวังหลวงในทันที แม้ในใจจะสงสัยว่าวันนี้เจิ้งจิ่งเหอดูแปลกไป แต่นางก็ไม่มีเวลาคิดมาก การหาเบาะแสของคนร้ายสำคัญกว่าจะล่าช้าไม่ได้
เมี่ยวเถียนแม้จะร้อนใจแต่ไม่อาจห้ามปรามเจ้านายของตนได้
เสิ่นลี่จูออกจากวังหลวงมาหยุดอยู่ที่ตรอกแห่งหนึ่ง นางสวมชุดชาวบ้านธรรมดาและใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้เพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตนของนาง หญิงสาวเดินตรงไปที่ร้านรวงต่าง ๆ ที่พี่สาวเคยไป สืบหาเบาะแสของเสิ่นอ้ายเยว่ แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่พบเบาะแสใด เสิ่นลี่จูเม้มริมฝีปากแน่น มันยากเกินไป นางไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหนเลยด้วยซ้ำ
เดินอยู่นานเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเสียแล้ว เสิ่นลี่จูจึงตรงเข้าไปที่โรงน้ำชาจิ้งหลง นางสั่งน้ำชาและขนมมากินเพื่อคลายความหิว ในขณะที่หญิงสาวกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนกำลังมองตนอยู่ เมื่อนางหันซ้ายขวามองรอบกายกลับไม่พบเงาของใคร มีเพียงลูกค้าที่มาหาความสำราญจากโรงน้ำชาจิ้งหลงเพียงเท่านั้น เสิ่นลี่จูย่นหัวคิ้ว นางรู้สึกว่ารอบด้านเหมือนจะไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก
เมืองหลวงแคว้นตงหลางงดงามไม่เป็นสอง อีกทั้งยังคึกคักเป็นอย่างมาก สองข้างทางมีพ่อค้าแม่ขายมาทำการค้าขายกันอย่างเนืองแน่น ผู้คนก็สัญจรผ่านไปมาเพื่อจับจ่ายซื้อของตลอดเส้นทาง มีชั่วขณะหนึ่งที่เสิ่นลี่จูเผลอคิดว่าบางคราฆาตกรอาจจะเดินปะปนอยู่ในฝูงชนโดยที่นางไม่รู้ก็เป็นได้
ในขณะที่นางกำลังมองสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อย ดวงตาคู่งามก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยผู้หนึ่งเข้า
องค์หญิงเจิ้งหมี่!
เสิ่นลี่จูหรี่ตามองอย่างไม่ลดละ สตรีนางนั้นเดินเร็วยิ่งนัก แต่เพียงแค่เห็นแผ่นหลังเสิ่นลี่จูก็จำได้ว่าคือเจิ้งหมี่ นางคิดว่าตนเองจำไม่ผิดแน่
เจิ้งหมี่มาทำอันใดที่นอกวังหลวงกันนะ
เดิมทีเสิ่นลี่จูไม่ชอบยุ่งเรื่องของใครและไม่ชอบหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่อาจยับยั้งฝีเท้าตนเองได้ เสิ่นลี่จูเดินตามเจิ้งหมี่ไปอย่างไม่ลดละ นางพยายามระแวดระวังเพื่อไม่ให้เจิ้งหมี่รู้ตัว
เจิ้งหมี่ิเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ เสิ่นลี่จูเองก็เร่งฝีเท้าเดินตามไปอย่างไม่ลดละเช่นเดียวกัน แต่ทว่าอยู่ ๆ นางก็คลาดจากเจิ้งหมี่
เสิ่นลี่จูขมวดคิ้วมุ่น สตรีนางนั้นช่างรวดเร็วยิ่งนัก
ที่ตรงนี้เป็นตรอกที่ค่อนข้างเปลี่ยวผู้คน ไม่ค่อยมีคนสัญจรไปมามากเท่าใดนัก เสิ่นลี่จูเริ่มลังเลไม่แน่ใจแล้วว่าเมื่อครู่นี้คนที่นางเห็นจะใช่เจิ้งหมี่หรือไม่ สตรีมากมายที่ละม้ายคล้ายกันก็มีมากมาย อีกอย่างเจิ้งหมี่ก็เป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ เป็นสตรีที่อยู่ในกฎระเบียบ และการจะออกจากวังหลวงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
เสิ่นลี่จูส่ายหน้าไปมา คิดจะเดินออกจากตรอกนี้เสีย แต่นางเพิ่งจะหันหลังเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ถูกใครบางคนใช้ผ้ารัดคอนางจากทางด้านหลัง แรงรัดนั้นไม่เบาเลย มันทำให้เสิ่นลี่จูหายใจไม่ออก
"อั๊ก อะ!"
เสิ่นลี่จูดิ้นทุรนทุราย พยายามปัดป่ายมือไม้ไปมาเพื่อหาทางป้องกันตัว แต่ไม่อาจทำได้โดยง่าย เพราะนางดิ้นไม่หยุดทำให้ผ้าที่ปิดหน้าหลุดร่วงลงพื้น ชายหนุ่มที่กำลังจะสังหารนางถึงกับย่นหัวคิ้วคราหนึ่ง เหมือนไม่คาดคิดว่าคนที่ตนสังหารจะเป็นนาง
แม้จะตกใจกับภาพตรงหน้า แต่เขากลับไม่ได้ผ่อนปรนแรงรัดให้น้อยลงเลย ซ้ำยังเพิ่มออกแรงมากอีกเป็นเท่าตัว!
เสิ่นลี่จูถูกรัดคอจนหน้าแดงก่ำ ลมหายใจเริ่มติดขัด หญิงสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามดิ้นรนจากความตายตรงหน้า
"ชะ ช่วย อื้อ"
นางกำลังจะเปล่งเสียงแต่คนข้างหลังกลับเอามืออีกข้างมาปิดปากนางไม่ให้ส่งเสียง เขาลงมือรวดเร็วเสียจนเสิ่นลี่จูหาทางใช้วรยุทธ์ตอบโต้ไม่ได้เลย
นางจะมาตายเช่นนี้ไม่ได้
เสิ่นลี่จูไม่ยินยอม นางอ้าปากงับมือของเขาอย่างแรงจนคนถูกกัดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แรงที่รัดคอนางคลายลงจนเริ่มหายใจสะดวกมากขึ้น เสิ่นลี่จูรีบควานมือไปหยิบมีดที่นางนำติดตัวมาถือเอาไว้ ก่อนจะแทงเข้าไปที่ขาขวาของมันจนสุดแรง แต่แทนที่มันจะปล่อยนางกลับเพิ่มแรงรัดหนักเข้าไปอีก!
แต่คงเพราะนางยังไม่ถึงเวลาตาย อยู่ ๆ ก็มีใครบางคนใช้มีดแทงเข้าที่แผ่นหลังของนักฆ่าผู้นั้นจนคลายมือออกจากคอของนาง นักฆ่ารีบไหวตัวไม่รอให้ตนถูกจับได้ก็หนีหายไปเสียแล้ว
"แค่กแค่ก!"
เสิ่นลี่จูล้มลงไปนอนขดตัวบนพื้นพลางหายใจเหนื่อยหอบ เหมือนกับเพิ่งจะผ่านความตายครั้งที่สองมาอย่างไรอย่างนั้น ตัวของนางสั่นเทาไม่คิดว่าเพราะการมาหาเบาะแสกลับมาเจอเรื่องเช่นนี้เข้า
"แต่ไหนแต่ไรเสิ่นกุ้ยเหรินก็ได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่เก่งกาจ ซ้ำยังได้รับสมญานามว่าเป็นสตรีอันดับหนึ่งในเมืองหลวง เห็นทีคงไม่ใช่เรื่องจริงเสียแล้ว"
เสิ่นลี่จูหันขวับไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นกู้อวิ๋นหานนั่นเอง
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
เสิ่นลี่จูมองบุรุษตรงหน้าอย่างใช้ความคิด ก่อนหน้านี้ที่พบเจอกันในอุทยานนางไม่ได้เห็นเขาชัด ๆ ยามนี้ได้มาเห็นเขาระยะใกล้ก็พบว่าเขาหน้าตาหล่อเหลาไม่ต่างจากเจิ้งจิ่งเหอเลย อีกทั้งใบหน้ายังมีส่วนคล้ายกับเจิ้งจิ่งเหออีีกด้วย
ด้านกู้อวิ๋นหานที่ถูกเสิ่นลี่จูจ้องมองอย่างไม่ลดละก็รู้สึกไม่ชอบใจ สตรีนางนี้จะเกินไปแล้ว เป็นพระสนมของญาติเขา แต่กลับใช้สายตายั่วยวนมองเขาเช่นนี้
บัดซบ!
"ลุกไหวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
เขาเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย เสิ่นลี่จูเพียงพยักหน้าน้อย ๆ นางค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นยืนโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากเขา ก่อนหน้านี้นางก็พอรู้แล้วว่าทั้งเจิ้งจิ่งเหอและกู้อวิ๋นหานนี้ไม่ชอบหน้านาง เพราะฉะนั้นอย่าไปอ้อนวอนขอร้องให้เสียเวลาจะดีกว่า
เสิ่นลี่จูยกมือลูบลำคอตนเอง นางไอออกมาอย่างแรง ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือดเป็นอย่างมาก กู้อวิ๋นหานมองนางอย่างครุ่นคิดคราหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เจิ้งจิ่งเหอส่งคนมาแจ้งเขาว่าเสิ่นลี่จูจะออกจากวังหลวงเพื่อมาหาเบาะแสของคนร้าย เขาจึงรีบตามนางมาอย่างลับ ๆ เพราะอยากรู้ว่านางคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ บางทีนางอาจจะต้องการกลบเกลื่อนหลักฐานก็เป็นได้
แต่ผิดคาด นอกจากจะพบว่านางมาสืบหาเบาะแสการตายของเสิ่นอ้ายเยว่จริง ๆ แล้ว ยังเกือบจะถูกสังหารอีกด้วย
เดิมทีเขาตามนางไม่ให้คลาดสายตา แต่หญิงสาวนางนี้ว่องไวนัก เพียงพริบตาเดียวเขาก็คาดกับนางเสียแล้ว ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เสิ่นลี่จูจะพบเจอบางอย่างเข้า แต่เขาเองไม่รู้ว่านางไปเห็นสิ่งใดเข้า จึงทะเล่อทะล่าเข้ามาที่นี่
คราแรกที่เห็นถูกทำร้ายเขาคิดอย่างเลือดเย็นว่า ให้นางถูกรัดคอตายไปเสียก็ดี
แต่อีกใจหนึ่งเขาก็คิดว่านี่ไม่ถูกต้อง หากฆาตกรไม่ใช่นางเล่า นั่นไม่เท่ากับว่าเขาทำร้ายคนบริสุทธิ์เช่นนั้นหรือ
อีกอย่างนางเป็นบุตรสาวคนโปรดของแม่ทัพใหญ่เสิ่น หากเกิดเรื่องกับนางและแม่ทัพใหญ่เสิ่นบ้าดีเดือดขึ้นมาจนคิดเป็นกบฏนั่นจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม เจิ้งจิ่งเหอเพิ่งขึ้นครองราชย์การผิดใจกับขุนนางนับว่าไม่ใช่เรื่องที่พึงกระทำ
"ไปโรงหมอก่อนเถอะ กระหม่อมรู้จักโรงหมอฝีมือดีอยู่"
"ข้าไม่เป็นอันใด ขอบคุณไคกั๋วกงมากที่ช่วย หากมีโอกาสข้าจะตอบแทนท่าน จะได้ไม่ติดค้างกัน"
เอ่ยจบนางก็หันหลังจากไป ตรงนี้ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว นางต้องรีบกลับวังหลวงเพื่อตั้งหลักเสียก่อน
แต่ทว่าระหว่างที่เดินอยู่นั้น นางก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนเดินตามมาตลอดเวลา เมื่อเสิ่นลี่จูหันไปมองก็พบว่าเป็นกู้อวิ๋นหานนั่นเอง เขาเดินกอดอกตามนางมาอย่างไม่ลดละ ซ้ำยังจ้องมองนางอย่างจับผิด เสิ่นลี่จูถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันไปประจันหน้ากับเขา
"กู้อวิ๋นหาน ฝ่าบาทให้ท่านตามประกบข้าหรือ"
กู้อวิ๋นหานเลิกคิ้วมองเสิ่นลี่จู ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ทำไมหรือ หากไม่ได้มีความผิดติดตัวก็ไม่เห็นต้องคิดเล็กคิดน้อยนี่พ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าไม่ใช่นักโทษ ไม่ต้องมาตามข้า เหอะ หากล่ามโซใส่ตรวนข้าได้ ท่านคงทำไปแล้วกระมัง"
"พระสนมทรงอนุญาตหรือไม่เล่า ข้าจะได้สั่งให้คนนำโซ่ตรวนมาล่ามท่าน"
กวนประสาท!
เสิ่นลี่จูส่งเสียงเหอะออกมา กู้อวิ๋นหานผู้นี้บาดเลือดแค้นกับนางไม่น้อยเลยจริง ๆ เขาถึงกับรวมหัวกับเจิ้งจิ่งเหอเพื่อจับตาดูนางทุกฝีก้าว หญิงสาวรู้สึกอับจนหนทางยิ่งนัก แค่ทำภารกิจก็เหนื่อยจะแย่แล้ว นางยังต้องมานั่งทะเลาะกับสองคนนี้อีก
"กู้อวิ๋นหาน หากที่ผ่านมาข้าทำให้ท่านไม่ชอบใจ ข้าขออภัยก็แล้วกัน ต่อไปพวกเราไม่มีเรื่องใดติดค้างกัน ข้าขอบอกท่านตรงนี้เลยว่า ข้าไม่ใช่คนที่ลงมือสังหารเสิ่นอ้ายเยว่ สำหรับวันนี้ข้าขอบคุณท่านมาก คนอย่างข้าไม่ลืมบุญคุณคน ท่านกลับไปเสียเถอะ ข้าเองก็จะกลับวังหลวงแล้วเหมือนกัน"
กู้อวิ๋นหานถึงกับชะงักไปชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดประโยคนี้จากปากของนาง
โดนผีเสิ่นอ้ายเยว่หลอกเข้าหรือไร จึงกลับใจมาเป็นคนดีเช่นนี้!
แม้ในใจจะครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ใบหน้าของเขากลับเรียบเฉย อีกทั้งยังยกยิ้มเย็นชามองเสิ่นลี่จู
"นี่คือคำสั่งของฝ่าบาท กระหม่อมไม่อาจขัด อีกอย่างพระสนมยังเป็นหนึ่งในคนที่น่าสงสัยที่สุด กระหม่อมจึงไม่อาจละเลยหน้าที่ได้"
"อุ๊ยตาย ฝ่าบาท ถวายพระพรเพคะ!"
กู้อวิ๋นหานที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปมองด้านหลังแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เสิ่นลี่จูได้ทีจึงยกเท้าเตะเข้าไปที่หว่างขาของกู้อวิ๋นหานอย่างเต็มแรง จนคนถูกเตะแหกปากร้องไม่เป็นภาษา
“ไคกั๋วกง ท่านรีบไปหาหมอเถอะ ก่อนจะให้กำเนิดทายาทไคกั๋วกงรุ่นต่อไปไม่ได้อีก แบร่!”
เอ่ยจบนางก็แลบลิ้นใส่เขาอย่างยียวนและรีบหันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว กู้อวิ๋นหานที่เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับสบถออกมาอย่างหัวเสีย
"เสิ่นลี่จู ฝากไว้ก่อนเถอะ!"
ยามนี้ทหารกบฏตายหมดสิ้นแล้ว อู๋อ๋องถูกตัดศีรษะ แต่ทว่าเจิ้งจิ่งเหอกลับหาตัวของเจิ้งมู่หยางไม่พบเวลาเดียวกันนั้น เสิ่นฮูหยินก็มาแจ้งว่า เสิ่นลี่จูหายตัวไปตั้งแต่กลางดึกแล้ว นางส่งคนออกตามหาแต่กลับไม่พบตัวคนเจิ้งจิ่งเหอและกู้อวิ๋นหานตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาสั่งคนออกตามหาเสิ่นลี่จูแต่กลับไร้วี่แวว เจิ้งจิ่งเหอคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับเจิ้งมู่หยางเป็นแน่เมื่อหาเสิ่นลี่จูไม่พบ เจิ้งจิ่งเหอก็ไม่เป็นอันทำสิ่งใด เขาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง ในขณะที่กำลังสิ้นหวังเต็มที เขาก็เหลือบไปเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษมีข้อความเขียนเอาไว้คนรักของเจ้าอยู่ที่ป่าไผ่รกทึบ ห่างจากจวนตระกูลเฉิงไปไม่ไกล ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีร่องรอยของการขุดฝัง รีบไปก่อนจะไม่ทันการณ์เจิ้งจิ่งเหอกำจดหมายนั้นเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา แต่ยามนี้ทางใดที่เหมือนแสงสว่างเขายินดีทำทั้งหมด กู้อวิ๋นหานเมื่อได้ทราบข่าวจากเจิ้งจิ่งเหอก็รีบไปช่วยตามหา แม่ทัพใหญ่เสิ่นนั้นก็เร่งตามไปเช่นเดียวกันชายหนุ่มทั้งสองมายังจุดที่จดหมายปริศนาบอกเอาไว้ เขาตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่และพบร่องรอยการขุดดินจริง ๆเจิ้งจิ่งเหอรีบใช้
หลายสิบวันต่อมา ในที่สุดเจิ้งจิ่งเหอก็เดินทางมาถึงชายแดนเมืองหวายเยียนพร้อมกับกู้อวิ๋นหาน ครั้งนี้เขานำกำลังทหารมาไม่น้อยเลย แม่ทัพใหญ่โต้วรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ครั้งนี้บิดาของเสิ่นลี่จูก็ออกมารับเสด็จเช่นเดียวกัน เจิ้งจิ่งเหอยังไม่ทันได้พบกับเสิ่นลี่จูก็รีบเร่งรุดไปที่ชายแดนเสียก่อน เขาจัดกำลังทหารใหม่ ได้พักเพียงวันเดียวก็ต้องออกรบทำศึกเสียแล้วเสิ่นลี่จูอยู่ที่จวนตระกูลเฉิง นางทำอาหารหลายอย่างและให้เจิ้งจิ่งเหอ กู้อวิ๋นหาน และคนอื่น ๆ ได้กินรองท้อง ตั้งแต่เขาเดินทางมาที่นี่ยังไม่ได้พบกับนางเลย แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจ นางรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการมากกว่าเรื่องของนางเจิ้งจิ่งเหอออกรบอยู่ที่นอกกำแพงเมือง เมื่อเขามาถึงก็ทำให้ได้ทราบว่า แท้จริงแล้วกุนซือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อสงครามครั้งนี้ก็คือเจิ้งมู่หยางเจิ้งมู่หยางยังไม่ตาย ศพที่พบก่อนหน้าคือคนทีี่ปลอมตัวเป็นเจิ้งมู่หยางโดยใช้หน้ากากหนังมนุษย์เพื่อหลอกให้เขาตายใจเจิ้งมู่หยางนำกำลังทหารของตนไปผนวกร่วมเข้ากับแคว้นอู๋ และร่วมมือกันก่อกบฏ โดยใช้อู๋อ๋องเป็นคนนำทัพ ส่วนตนเองนั้นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
หลายวันต่อมา เสิ่นฮูหยินก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาจากเมืองหวายเยียน บอกว่าน้องชายของนางเกิดล้มป่วยกะทันหัน คาดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และอยากจะพบหน้านางซึ่งเป็นพี่สาวครั้งสุดท้าย เสิ่นฮูหยินจึงรีบสั่งให้คนเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเมืองหวายเยียนทันทีเสิ่นฮูหยินมารดาของเสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีถิ่นฐานเดิมมาจากเมืองหวายเยียน ยามนั้นแม่ทัพใหญ่เสิ่นไปออกรบ คนทั้งสองได้พบรักกัน มารดาของนางเป็นบุตรสาวของคหบดีที่ร่ำรวยผู้หนึ่งในเมืองหวายเยียน อีกทั้งยังมีกิจการอยู่ที่เมืองหลวงไม่น้อย เมื่อแต่งกับแม่ทัพใหญ่เสิ่นจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง ร้านรวงที่อยู่ในเมืองหลวง ทางครอบครัวได้มอบให้เป็นสินเดิมของนางทั้งหมดแม่ทัพใหญ่เสิ่นที่ได้ทราบข่าวก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปกับภรรยาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่มีสิ่งใดต้องรับผิดชอบอีกแล้ว เสิ่นลี่จูก็ต้องร่วมเดินทางไปด้วยเช่นเดียวกัน เผื่อว่าทางใต้มีทำเลทิศทางทำการค้าได้ดี นางอาจจะเปิดภัตตาคารที่นั่นอีกสาขาหนึ่งเจิ้งจิ่งเหอที่ได้ทราบข่าวเดิมทีเขาไม่อยากให้นางไป ตอนนี้ทางทิศใต้สงครามยังไม่สงบ รองแม่ทัพโต้วซึ่งยามนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่โต้วคนใหม่ ได้ไปปราบ
เอ่ยจบเขาก็กึ่งเดินกึ่งลากตัวนางออกมาจากเรือน เสิ่นลี่จูรีบรั้งตนเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงทำเช่นนี้เล่าเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอหันมาจ้องสตรีตรงหน้าเขม็ง"ทำไม หรือว่าเจ้าอยากแต่งกับเขา เสิ่นลี่จู ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้สมใจ""เพราะเหตุใด เราต่างไม่มีเรื่องติดค้างใจต่อกันแล้ว พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาทำเช่นนี้ตามใจชอบ""เพราะว่าข้าชอบเจ้าได้ยินหรือไม่!""ฮะ!"เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางรู้สึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไป จึงเอ่ยถามเขาย้ำอีกหน"ฝ่าบาททรงเอ่ยว่าอย่างไรนะเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอถอนหายใจออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น เสิ่นลี่จูนางหูหนวกหรือว่าหูตึงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาบอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตะโกนจนลั่นจวน"ข้าชอบเจ้า สตรีหน้าโง่ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าชอบเจ้า!"เสียงของเขาดังมาก ดังเสียจนทำให้บ่าวที่กวาดลานถึงกับทำไม้กวาดหล่นจากมือ สาวใช้ที่กำลังเช็ดจวนถึงกับทำผ้าหล่นลงพื้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันไปมองฮูหยินของตนคราหนึ่งเมื่อได้ยินชัด ๆ แล้ว เสิ่นลี่จูก็ยิ้มออกมาในทันที นางไม่เคยคิดเลยว่ารักครั้งแรกของนางจะต้องมาเจ
เมื่อกลับมาอยู่ที่จวนแล้ว เสิ่นลี่จูก็เริ่มหมักสุราตามสูตรของนาง นางฝังสุราหลายไหเอาไว้ใต้ต้นไม้ สุราแต่ละชนิดล้วนมีเวลาการหมักบ่มของมัน เสิ่นลี่จูเองก็ไม่รีบร้อน อีกทั้งนางยังสั่งให้บ่าวไพร่ปลูกผักในจวนเอาไว้ขาย ไม่นานมานี้นางยังไปปรับปรุงภัตตาคารในเมืองหลวงซึ่งเป็นสินเดิมของมารดาเพื่อทำการค้าใหม่ ฝีมือการทำอาหารของเสิ่นลี่จูนับว่ายอดเยี่ยม ประจวบเหมาะกับนางนำความรู้จากยุคปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ จึงทำให้อาหารที่ภัตตาคารของนางไม่เหมือนกับที่ใดที่ชวนให้ผู้คนสนใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการสุ่มอาหาร ลูกค้าที่เข้ามาจะสามารถเลือกการจับฉลากสุ่มอาหารได้ เพียงจ่ายในราคาหนึ่งตำลึงสำหรับการสุ่มอาหารชุดใหญ่ ราคาสิบอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดกลาง และราคาสามอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดเล็ก พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าอาหารชุดใหญ่นั้นจะมีอะไรบ้าง บางครายังได้สุราชั้นดีแถมกลับบ้านอีกด้วย เรื่องนี้สร้างความสนุกสนานแก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่น้อยส่วนอาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างก็คือ สลัดผัก เพราะในยุคโบราณมีวัตถุดิบไม่มาก นางจึงใช้น้ำมันงามาทำน้ำสลัดอย่างง่าย ๆ แต่รสชาติกลมกล่อมเป็นอย่างมาก สตรีในเมืองหลวงหลายคนที่ต้องการล
กว่าจะเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงตำหนักเสิ่นลี่จูก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และมากินมื้อเย็น หลังจากกินอิ่มแล้ว นางจึงไปเยี่ยมกู้ไทเฮาและอยู่พูดคุยด้วยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่ตำหนักของตนเสิ่นลี่จูก็เดินไปที่โต๊ะตำรา ก่อนจะเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านในนั้นมีหนังสือสัญญาที่เขาและนางลงลายมือประทับเอาไว้ร่วมกัน ไม่รู้เพราะเหตุใดยามที่คิดว่าถึงเวลาจะต้องแยกทางกันแล้ว นางจึงรู้สึกเศร้าใจถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่านางเกิดความรู้สึกผูกพันกับเจิ้งจิ่งเหอยามใด เดิมทีเขาและนางเปรียบเหมือนกับเส้นขนานที่ไม่อาจจะมาบรรจบกันได้ เขาไม่เคยรักนาง ส่วนนางก็ต้องกลับไปยังที่ที่ตนเองจากมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการไม่สานความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันนับว่าเป็นเรื่องดีเมื่อนึกเรื่องที่ต้องกลับไปยังโลกอนาคต เสิ่นลี่จูก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องของเสิ่นอ้ายเยว่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่าเหตุใดนางจึงกลับไปไม่ได้เล่าหญิงสาวมองไปโดยรอบ ก่อนจะพบเข้ากับเทพธิดาจิ้งจกที่เกาะอยู่ตรงประตู"เทพธิดาจิ้งจก ข้าไขคดีการตายของเสิ้นอ้ายเยว่ได้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่สามารถกลับไปได้อีกเล่า"เทพธิดาจิ้งจกปรา