Share

บทที่ 4 เจ้าหมาน้อย

Author: ม่อเยี่ยน
ยายหลี่รู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก โค้งตัวคำนับและพูดว่า "บ่าวทราบแล้ว แต่ว่าเราควรจะตั้งชื่อให้พระโอรสก่อนไหมเพคะ"

เมื่อคิดถึงผู้ชายใจร้ายใจดำคนนั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกเย้ยหยัน

"ชื่อว่าหมาน้อยแล้วกัน ชื่อหยาบเลี้ยงโตง่าย"

อวิ๋นฉ่ายเอามือปิดปาก แล้วหัวเราะพรวดออกมา

"พระสนม มีชื่อแบบนี้ที่ไหนกันเพคะ"

ยายหลี่เองก็หัวเราะตาม ชื่อนี้ไม่น่าฟังมากเกินไปแล้ว

อินชิงเสวียนกลับเข้าห้องไปแล้ว อย่างไรเสียเด็กน้อยก็เป็นลูกของผู้ชายคนนั้น รอได้ออกจากวังแล้ว ค่อยตั้งชื่อใหม่ให้เด็กน้อยแล้วกัน

ตอนนี้เธอก็ไม่อยากเสียเวลาคิดเรื่องนี้ด้วย

กลับมาถึงห้อง อินชิงเสวียนก็เข้าไปในช่องว่างอีก เธอดื่มน้ำพุวิญญาณเล็กน้อย แล้วเริ่มเพาะปลูกต่อ

พื้นที่ในช่องว่างไม้ใหญ่นัก คงราวๆยี่สิบร่องแปลง แต่ละร่องแปลงอย่างมากสุดก็ยาวแค่ยี่สิบเมตร อินชิงเสวียนปลูกผักไปสองแปลง ส่วนที่เหลือเธอปลูกข้าวสาลี

ตอนที่กลับออกมา ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว

อินชิงเสวียนออกไปดูข้างนอก ก็พบว่ายายหลี่กับอวิ๋นฉ่ายนอนหลับไปแล้ว

เจ้าหมาน้อยก็เป็นเด็กดีเช่นกัน ตาคู่เล็กหลับพริ้มปิดสนิท

ตั้งแต่ที่ใช้น้ำพุวิญญาณชงนม เจ้าหมาน้อยก็เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน

ครั้งแรกที่อินชิงเสวียนเห็นเขา เนื้อหนังผิวพรรณเหี่ยวย่น แต่ตอนนี้ใบหน้าเนียนใสดุจหยก และผิวขาวเนื้อแน่นแล้ว

อินชิงเสวียนรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา

หากสวรรค์ไม่ได้มอบช่องว่างให้เธอ เด็กทารกเล็กๆ แบบนี้จะเลี้ยงให้รอดคงยากจริงๆ

เธอเลิกคิดแล้วเดินไปด้านนอกประตู หลังทำกิจส่วนตัวเสร็จก็ลุกยืนขึ้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงซู่ซ่าดังมาจากพุ่มหญ้า เธอรวบรวมความกล้าและถามออกไป "ใคร?"

เธอเพิ่งพูดจบ อะไรบางอย่างที่มีสีขาวก็กระโดดออกมาจากพุ่มหญ้า อินชิงเสวียนถูกมันผลักล้มลงบนพื้นในทันที เธอส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ

ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายได้ยินเสียงดังก็รีบหยิบตะเกียงวิ่งออกมา เมื่อแสงสีเหลืองนวลส่องมา ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็มองเห็นสุนัขสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง

หน้าตาของมันดูคล้ายๆ กับโกลเดินรีทรีฟเวอร์ในปัจจุบัน แต่ขนาดตัวใหญ่กว่ามาก เกือบเท่าลูกม้า มิน่าถึงผลักอินชิงเสวียนล้มด้วยขาข้างเดียว

สุนัขตัวนี้กลับดูเหมือนไม่ได้มุ่งร้ายอะไร มันเลียมือเลียแขนของอินชิงเสวียนและกระดิกหางไปมา

อวิ๋นฉ่ายพูดด้วยความตกใจ "นะ...นี่มันขององค์รัชทายาท อ๊ะ ไม่สิ มันคือไป๋เสวี่ยของฝ่าบาทมิใช่หรือ มันมาที่วังเย็นได้อย่างไร?"

เมื่อได้ยินอวิ๋นฉ่ายว่าดังนั้น อินชิงเสวียนก็เหมือนจะนึกออกด้วย

รู้สึกว่าเจ้าคนเฮงซวยแซ่เย่จะมีสุนัขตัวใหญ่แบบนี้อยู่ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่าเขาเก็บมันได้ตอนที่ไปทำสงครามกับแคว้นเจียงวู ก็เลยพามันกลับเมืองหลวงด้วย

มิน่าสุนัขตัวนี้ถึงรู้จักตนเอง

ตัวอินชิงเสวียนเองก็ค่อนข้างชอบสุนัขอยู่แล้ว เธอยื่นมือไปลูบหัวขนาดใหญ่ของมัน

ทันใดนั้นเจ้าสุนัขก็เกิดดีใจขึ้นมาอีก มันเอามือมั้งสองข้างพาดไปบนไหล่ของอินชิงเสวียน และพยายามกระโดดขึ้นไปบนตัวเธอ

อินชิงเสวียนรับน้ำหนักมันไม่ไหวจริงๆ จึงออกแรงดันมันออกไป

ยายหลี่ที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจและพูดว่า "นึกไม่ถึงว่าไป๋เสวี่ยยังจำพระสนมได้ ไม่เสียทีที่พระสนมเคยให้อาหารมันเพคะ"

แต่อวิ๋นฉ่ายกลับทำท่าทางสงสัย

"กำแพงวังเย็นสูงขนาดนี้ ไป๋เสวี่ยคงกระโดดข้ามมาไม่ได้ แล้วมันเข้ามาได้อย่างไรกัน?"

ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของอินชิงเสวียน หรือว่าจะมีรูบนกำแพงวังเย็น?

เธอจึงแหวกหญ้าแห้งทางที่สุนัขมุดเข้ามาดู มันมีรูใหญ่บนกำแพงอย่างที่คิด ด้านนอกของรูมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ข้างๆ มีหญ้าที่สูงเท่าเอวขึ้นอยู่ไม่น้อย นอกจากอ้อมมาด้านหลังต้นไม้ มิเช่นนั้นจะมองเห็นรูนี้ได้ยาก

การค้นพบครั้งนี้ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกตื่นเต้น มันหมายความว่าพวกเธอสามารถหนีออกจากวังเย็น ไปจากสถานที่แย่ๆ แบบนี้ได้แล้วใช่ไหม?

ไม่ได้ เธอจะวู่วามไม่ได้

พระราชวังมีทหารนับไม่ถ้วน คิดจะหนี จะต้องวางแผนทุกอย่างให้ดี...

อีกด้านหนึ่ง ขันทีนับสิบคนกำลังวิ่งวุ่นตามหาสุนัขไปทั่ว

ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าฮ่องเต้รักและหวงไป๋เสวี่ยมากแค่ไหน เกิดทำมันหายไป นั่นต้องตัดหัวทิ้งเลยทีเดียว

เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนรถม้า ตาเรียวยาวฉายแววเยือกเย็น สีหน้าหน้าอึมครึม

ระยะนี้ไม่มีเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจเลย ปัญหาภัยแล้งยังไม่ได้รับการแก้ไข ด้านแคว้นเจียงวูก็ซุ่มเคลื่อนไหวเงียบๆ ส่วนทหารที่ส่งไปก็พ่ายแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง ขายหน้าขายตาแคว้นต้าโจวจนสิ้น ช่างน่าอับอาย

และเมื่อนึกถึงบรรดาขุนนางที่ให้ความสนใจวังหลังบ่อยครั้ง ก็ยิ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น

ตอนนี้เรื่องที่พอจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้หน่อยก็มีเพียงไป๋เสวี่ยแล้ว แต่เมื่อมาถึงตำหนักข้างที่ไป๋เสวี่ยอาศัยอยู่ กลับพบว่าเจ้าตัวแสบหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

เมื่อเห็นสีหน้าตึงเครียดของฮ่องเต้ เหล่าขันทีก็ยิ่งหวาดผวาเข้าไปใหญ่ กระแฮมเสียงแล้วตะโกน "ท่านไป๋เสวี่ย ท่านรีบออกมาเถิด"

"ท่านไป๋เสวี่ย ท่านอยู่ที่ไหน"

ไป๋เสวี่ยหูดีมากๆ พอได้ยินเสียงคนเรียกชื่อตัวเอง มันก็มุดออกไปทางรูทันที แล้วส่งเสียงร้องโฮ่งๆ ออกไป

ค่ำคืนบรรยากาศเงียบสงัด ทำให้เสียงสุนัขเห่าดังออกไปไกล

ขันทีคนหนึ่งพูดด้วยความดีใจว่า "ฝ่าบาท รู้สึกว่าท่านไป๋เสวี่ยจะอยู่ด้านนั้นพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้ลองตั้งใจฟัง ก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าจริงๆ จึงสั่งไปว่า "ไปดูหน่อย"

อินชิงเสวียนได้ยินเสียงฝีเท้า นั่นทำให้เธอตกใจ จึงออกแรงช่วยดันก้นของสุนัข

"เจ้ารีบไปเถอะ อย่าให้ใครรู้เรื่องรูตรงนี้ มิเช่นนั้นข้าจะไม่เล่นกับเจ้าอีก"

ไป๋เสวี่ยเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่อินชิงเสวียนพูด ร้องโฮ่งแล้วรีบวิ่งออกไป

จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโกนด้วยความดีใจ "ฝ่าบาท ใช่ท่านไป๋เสวี่ยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ"

ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านนอกกำแพง น้ำเสียงปนความเอ็นดู

"กลางดึกกลางดื่น เจ้าไปไหนมา ครั้งหน้าอย่าวิ่งเพ่นพ่านอีกล่ะ"

ยายหลี่กำมือแน่นด้วยความตื่นเต้น ฝ่าบาท...นั่นคือฝ่าบาท!

ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ด้านนอกกำแพง

ถ้าตอนนี้พระสนมตะโกนออกไป บางทีอาจจะ...

อินชิงเสวียนย่อมเข้าใจความรู้สึกของยายหลี่ จึงส่ายหน้าให้เธอ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าก็ไกลออกไป ค่ำคืนกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

อินชิงเสวียนดึงยายหลี่เข้าไปในบ้าน

พูดด้วยเสียงเรียบ "ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เป็นของข้า ต่อไปนี้แม่นมก็ตัดใจจากเรื่องนี้เสียเถอะ ข้าจะหาวิธีพาเจ้าออกจากพระราชวัง ไปหาพ่อข้าเอง ฮ่องเต้ที่ไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ ข้าไม่สนับสนุนให้เสียแรงหรอก"

อวิ๋นฉ่ายมองอินชิงเสวียนด้วยความตะลึง

"ออกวัง? พระสนม พวกเราทำได้หรือเพคะ?"

อินชิงเสวียนชี้ไปที่รูบนกำแพง

"นั่นคือโอกาส วังเย็นไม่ได้ซ่อมบำรุงมาหลายปี และไม่มีใครสนใจที่นี่ ขอเพียงพวกเราวางแผนให้ดี บางทีก็อาจจะไปจากที่นี่ได้"

ยายหลี่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างจนใจ "นั่นก็จริง ใต้เท้าออกรบขึ้นเหนือลงใต้เพื่อแคว้นต้าโจวจนบาดแผลเต็มตัว ตอนนี้กลับถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดน ก็น่าผิดหวังจริงๆ แต่หากคิดจะไปจากที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก เราจำเป็นต้องวางแผนให้รอบคอบทุกด้าน มิเช่นนั้นลำพังแค่ประตูวัง พวกเราก็คงออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำ"

อินชิงเสวียนรับคำ และพูดว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องที่ร้อนใจแล้วจะทำสำเร็จได้ พวกเราอยู่ที่วังเย็นมาหนึ่งปีแล้ว อยู่ต่ออีกหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหา อย่างไรก็ควรรอให้ลูกน้อยอายุครบเดือนก่อนค่อยว่ากัน"

เพิ่งพูดถึงเด็กน้อยไม่ทันขาดคำ เจ้าหมาน้อยก็ร้องไห้แงขึ้นมา

อินชิงเสวียนตกใจสะดุ้ง รีบพูดขึ้น "ไปชงนมให้เขาเร็วเข้า อย่าให้คนอื่นได้ยินเสียงร้องล่ะ"

ขณะนั้นเอง เย่จิ่งอวี้ที่อยู่ในรถม้ากำลังหยอกเล่นกับไป๋เสวี่ย แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก เขาจึงยกมือขึ้น

ขันทีหยุดเดินทันที และถามด้วยความนอบน้อม "ฝ่าบาทมีรับสั่งอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้ตั้งใจฟังเสียงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้ยินแล้ว

จึงคิดว่าตัวเองหูแว่ว พูดด้วยเสียงเรียบ "กลับไปเถอะ"
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1540 สองพระองค์ครองราชย์ จบบริบูรณ์

    ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1539 เสวียนเอ๋อร์ขอบคุณเจ้านะ

    ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1538 ไท่เฟยไท่ผินออกจากวัง

    อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1537 ฮองเฮาทรงมีพระประสูติการ

    เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1536 องค์หญิงกำลังจะเสกสมรส

    ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1535 เหลวไหลจริงๆ

    เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status