หลังจากผ่านไปกว่าสิบวัน หงลี่ก็เริ่มดีขึ้น นางทำใจได้แล้ว เพราะถึงทำใจไม่ได้นางก็ทำอะไรไม่ได้ ครอบครัวที่ถูกเนรเทศไปก็ยังดีกว่าถูกประหาร นางได้คิดก็เพราะมีนางกำนัลวัยกลางคนที่นำอาภรณ์และข้าวของมาให้กับนางได้เตือนสตินางเช่นนี้ ใช่ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ตาย แค่เพียงย้ายถิ่นฐานไปอยู่แคว้นอื่น หากมีวาสนาภายหน้าอาจจะได้พบกัน ส่วนนางบัดนี้มาอยู่ในวังหลวง ไม่ได้ทำการงานอะไร เพียงนั่งทอดถอนหายใจทิ้งไปไว้ๆ
นางมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสองวันก็มีสาวใช้นางหนึ่งมาแนะนำตัวกับนาง ว่ามีชื่อว่าฟางเอ๋อ ได้รับมอบหมายให้มาเป็นนางกำนัลประจำตัวของพระสนม แม้นางจะเป็นสนมขั้นต่ำสุด แต่ก็ยังมีคนรับใช้ และเมื่ออยู่ๆ ไปก็ได้รับความรู้จากนางกำนัลที่มารับใช้ว่านางคือพระสนมขั้นเฟย ที่เป็นชั้นต่ำสุดในบรรดาพระสนม และพระสนมทุกคนในวังหลวงก็ใช่ว่าจะได้ถวายตัวให้แก่ฮ่องเต้ บางคนก็ไม่เคยได้พบหน้าพระองค์เลยด้วยซ้ำ ฟางเอ๋อยกตัวอย่างฮ่องเต้รัชกาลที่ผ่านมาให้ฟัง
ส่วนฮ่องเต้องค์ใหม่พระองค์นี้ เพิ่งจะรับนางสนม และพระชายาเข้ามาเป็นชุดแรก ส่วนฮองเฮายังไม่ได้สถานปนาเพราะพระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ หงลี่นั่งรับฟังการบอกเล่าของนางกำนัลคนใหม่ของตนเองไปตามแกน นางไม่ได้สนใจเรื่องฮ่องเต้พระองค์เลยนี้สักนิด แต่นางเฝ้าแต่สงสัยว่าบิดาไปทำสิ่งใดให้เป็นที่ขัดเคืองพระทัยของพระองค์กันแน่ ถึงได้รับโทษหนักหนาปานนั้นทั้งครอบครัว
และในบางเวลาความคิดคำนึงของนางก็หวนไปถึงอดีตคนรักซ่งหลี่หมิง ว่าป่านนี้เขาจะเป็นเช่นไรบ้าง เขาจะรับรู้ข่าวบ้างหรือไม่ว่าบัดนี้ครอบครัวของนางไม่ได้อยู่ที่หนิงโจวอีกแล้ว เพราะครอบครัวทั้งหมดถูกเนรเทศส่วนตัวของนางถูกจับตัวขึ้นรถม้ามายังเมืองหลวง
และบัดนี้กลายมาเป็นพระสนมของฮ่องเต้ แต่ถึงแม้หลี่หมิงจะรู้ข่าวนี้เข้า เขาก็คงจะสะใจกระมังที่ครอบครัวนางต้องเผชิญเคราะห์กรรมและมีอันต้องพลัดพรากจากกันเช่นนี้
ส่วนนางสตรีแพศยาที่เขาใช้เรียกนั้น ก็มานั่งจับเจ่าอยู่ในวังหลวงอย่างไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางไม่ถูกเนรเทศไปพร้อมกับครอบครัวแต่กลับถูกจับตัวมาไว้ในวังหลวงแห่งนี้
หลังจากนางกำนัลเสร็จงานประจำวันของตนเอง และออกไปจากตำหนักหลังน้อยของนายหญิงของตนแล้วก็เดินไปพักผ่อนในห้องพักด้านหลังที่เป็นห้องพักของนางกำนัลรับใช้ ส่วนในเรือนหลังเล็กหรือเรียกกันว่าตำหนักฉางโหรวแห่งนี้ ก็มีเพียงพระสนมหยูพำนักอยู่เพียงผู้เดียว
อยู่ๆ ก็มีร่างหนาในอาภรณ์สีเข้มร่างหนึ่ง ปรากฏขึ้นที่หน้าประตูตำหนัก เขาผลักบานประตูตรงหน้าเรือน ออกช้าๆ แล้วก้าวเข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูลง
แต่ด้านหน้าเรือนนั้นยังมีร่างอีกสองสามร่างปรากฏขึ้น พวกเขาคือขันทีประจำพระองค์ที่ตามเสด็จฮ่องเต้มาที่นี่ โดยที่ไม่ได้บอกผู้ใดทั้งสิ้น เดิมทีจะเสด็จมาเพียงลำพัง แต่ขันทีคนสนิทไม่ยินยอมด้วยความเป็นห่วง จึงได้ตามเสด็จมาและเฝ้ารออยู่ด้านนอก
ร่างหนาล่ำสันที่สวมเพียงเสื้อคลุมเนื้อมันลื่นสวมสบายสีเข้ม ต่างจากวันอื่นๆ ที่พระภูษาฉลองพระองค์เป็นสีทองแต่วันนี้ไม่ต้องการเปิดเผยตัวแก่สตรีนางนั้น ที่ในคราวแรกไม่คิดว่าจะมาพบหน้านาง คิดว่าจะให้นางเข้ามาอยู่ในตำแหน่งสนมขึ้นต่ำที่สุด
ทั้งที่ในคราแรกจะส่งไปที่แผนกซักล้างให้ทำงานรับใช้ผู้อื่นเสียให้เข็ด แต่ด้วยความรักที่ยังหลงเหลืออยู่ในส่วนลึกของหัวใจ กลับทนเห็นนางลำบากไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนคำสั่งเสียใหม่ให้นางไปเป็นสนม
ขณะนั้นหยูหงลี่หรือบัดนี้มีฐานะเป็นพระสนมหยู กำลังยอดทอดถอนใจอยู่ที่ริมหน้าต่างบานหนึ่ง ที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นที่เวลานางจะอาบน้ำหรือเปลี่ยนอาภรณ์ฟางเอ๋อนางกำนัลน้อยก็จะปิดหน้าต่างบานนี้เอาไว้ แต่บัดนี้หงลี่เปิดมันออกกว้างเพื่อยืนจ้องมองดวงจันทร์กลมโตที่ใสกระจ่าง พลางส่งใจไปถึงคนผู้หนี่งที่นางซุกซ่อนเอาไว้ในซอกหลืบของหัวใจ
แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีมือหนาข้างหนึ่งโอบกอดนางจากทางด้านหลัง ทำให้หงลี่ตกใจมาก รีบพลิกกายหันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางอย่างแนบชิด และแล้วดวงตากลมโตของหงลี่ก็เบิกกว้าง หลี่หมิงชายที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึงของนาง เขามาที่นี่ได้อย่างไรกัน
“ หลี่หมิง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ที่นี่คือวังหลวง ท่าน….เข้ามาได้อย่างไรกัน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่ ” หงลี่เมื่อจ้องมองใบหน้าหล่อคมคายของคนตรงหน้าจนแน่ใจแล้ว นางก็ถามออกไปรัวเร็ว เพราะตกใจและแปลกใจที่ได้พบเขาที่ในตำหนักของตนเองที่อยู่ในวังหลังแถมยังตั้งอยู่ปลายแถวสุดแนวของเหล่าตำหนักน้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่มากมายนัก
นางแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะได้พบใบหน้าหล่อคมคายของเขาอีกครั้ง
“ ทำไม ตกใจมากหรือที่ได้พบหน้าข้าอีกครั้ง แต่ที่ข้ามาหาเจ้าที่นี่ก็ไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าหรอกนะ แค่อยากจะมาดูหน้าสตรีที่เคยคิดว่าตนเองสูงส่งหนักหนา ทั้งที่ชาติกำเนิดก็แค่เพียงบุตรีของขุนนางบ้านนอกผู้หนึ่งเท่านั้น และบัดนี้เป็นเช่นไรเล่า เจ้าก็เหลือเพียงตัวคนเดียว แถมยังต้องเข้ามาอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ด้วยฐานะที่ต่ำต้อยที่สุดในวังหลังของฮ่องเต้ ”
หลี่หมิงเอ่ยขึ้นขณะที่จ้องมองใบหน้าหวานของสตรีตรงหน้า
“ ข้าตกใจที่เห็นท่านใช่ แต่ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แม้บัดนี้ข้าจะถูกนำเข้ามาอยู่ในวังหลวง แต่ก็ยังมีฐานะเป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้ แม้จะอยูในลำดับชั้นอะไรก็ยังสูงส่งกว่าท่านที่เป็นแค่ช่างไม้บ้านนอกก็แล้วกัน ” หงลี่เชิดหน้าขึ้น นางเมินมองไปทางอื่นเพื่อจะไม่ต้องเห็นหน้าของเขาที่พอพบหน้ากันก็ใช้วาจาเสียดแทงนางทันที
“ เป็นเพียงสนมปลายแถว แต่ก็ยังอดจะเย่อหยิ่งตามนิสัยเดิมไม่ได้ แต่เสียใจด้วยนะ ฮ่องเต้ยกเจ้าให้เป็นนางบำเรอของข้าแล้ว ข้ากับฮ่องเต้เป็นสหายกัน แม้ข้าจะเป็นช่างไม้ต่ำต้อย แต่ก็ได้รับพระราชทานนางบำเรอเช่นเจ้าให้มาปรนนิบัติข้า คืนนี้ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็แล้วกัน ”
หลี่หมิงกระซิบเสียงแหบห้าวใกล้กับใบหูเล็กของสตรีที่สูงเพียงไหล่ขอเขาที่บัดนี้เมินหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีเขาอยู่ นางยังคงเย่อหยิ่งผยองเช่นเดิม ขนาดตกต่ำถึงเพียงนี้ยังไม่วายดูแคลนเขา
แต่คนที่นางดูแคลนคนนี้แหละ จะเป็นผัวของนาง และนางจะต้องปรนนิบัติเขาดังเช่นนางบำเรอที่ต่ำต้อย ไม่มีสถานะใดมากไปกว่านี้ จนกว่าเขาจะเบื่อหน่าย แล้วจึงจะเฉดหัวนางให้ตามครอบครัวของนางไป แค่ตอนนี้เขาแค่ยังไม่เบื่อนางจึงคิดอยากจะให้นางมาเป็นของเล่นคลายเหงาของเขา พอชิมรสนางจนเบื่อหน่ายแล้ว นางก็คงหนีไม่พ้นสภาพเดียวกับบิดามารดาของนาง
ร่างล่ำสันของหลี่หมิงกดตัวของสตรีร่างบางที่ตัวเล็กกว่าเขาลงนอนบนพื้น สตรีอย่างนางบนพื้นที่ไหน บนผืนหญ้าที่ไหนก็คงจะย่อมได้ ไม่ต้องนอนบนฟูกนอนชั้นดี ไม่ต้องเข้าพิธีวิวาห์ นางก็พร้อมจะทอดกาย แยกขาให้กับใครก็ได้แล้วกระมัง
หลังจากผ่านไปกว่าสิบวัน หงลี่ก็เริ่มดีขึ้น นางทำใจได้แล้ว เพราะถึงทำใจไม่ได้นางก็ทำอะไรไม่ได้ ครอบครัวที่ถูกเนรเทศไปก็ยังดีกว่าถูกประหาร นางได้คิดก็เพราะมีนางกำนัลวัยกลางคนที่นำอาภรณ์และข้าวของมาให้กับนางได้เตือนสตินางเช่นนี้ ใช่ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ตาย แค่เพียงย้ายถิ่นฐานไปอยู่แคว้นอื่น หากมีวาสนาภายหน้าอาจจะได้พบกัน ส่วนนางบัดนี้มาอยู่ในวังหลวง ไม่ได้ทำการงานอะไร เพียงนั่งทอดถอนหายใจทิ้งไปไว้ๆ นางมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสองวันก็มีสาวใช้นางหนึ่งมาแนะนำตัวกับนาง ว่ามีชื่อว่าฟางเอ๋อ ได้รับมอบหมายให้มาเป็นนางกำนัลประจำตัวของพระสนม แม้นางจะเป็นสนมขั้นต่ำสุด แต่ก็ยังมีคนรับใช้ และเมื่ออยู่ๆ ไปก็ได้รับความรู้จากนางกำนัลที่มารับใช้ว่านางคือพระสนมขั้นเฟย ที่เป็นชั้นต่ำสุดในบรรดาพระสนม และพระสนมทุกคนในวังหลวงก็ใช่ว่าจะได้ถวายตัวให้แก่ฮ่องเต้ บางคนก็ไม่เคยได้พบหน้าพระองค์เลยด้วยซ้ำ ฟางเอ๋อยกตัวอย่างฮ่องเต้รัชกาลที่ผ่านมาให้ฟังส่วนฮ่องเต้องค์ใหม่พระองค์นี้ เพิ่งจะรับนางสนม และพระชายาเข้ามาเป็นชุดแรก ส่วนฮองเฮายังไม่ได้สถานปนาเพราะพระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ หงลี่นั่งรับฟังก
แต่คำตอบของหงลี่ก็คือการที่นางตวัดฝ่ามือตบหน้าของเขาดังฉาด “ ออกไปนะ ออกไปจากห้องของข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะตะโกนให้คนรู้กันทั้งจวนว่าเจ้าลอบเข้ามาในห้องนอนของข้า ” หลี่หมิงชะงักไป เขาจ้องมองใบหน้าที่มองเขาด้วยดวงตาเฉยชา นางมองเมินไปทางอื่น หลี่หมิงจ้องมองใบหน้างามของอดีตคนรักแล้วก็ตัดสินใจถอยออกไปจากเรือนของนาง คนที่ไม่มีใจต่อให้เขายื้อยุดนางเอาไว้แทบตาย ก็คงจะยื้อนางเอาไว้ไม่ได้เขามาที่นี่ก็เพื่อให้แน่ใจว่าเขาได้ยินไม่ผิดไป นางไม่ได้มีใจให้เขา แค่เพียงหลอกปั่นหัวเขาเล่นๆ และวันนี้เขาแน่ใจแล้วว่านางไม่ได้รักเขาจริงๆเขากลับออกมาเพราะเสียใจที่ได้รู้ว่าอดีตคนที่เขาคิดว่ารักกลับไม่ได้รักตนเอง เพียงหลอกลวงเล่น ๆ และนางนั้นมิได้รักบุรุษใดทั้งสิ้น รักเพียงเงินของบุรุษผู้นั้น ส่วนเขาไม่มีสิ่งที่นางอยากได้นางจึงไม่ต้องการแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว หลี่หมิงเสียใจและผิดหวังเหลือเกิน เขาเดินออกมาจากเรือนของสตรีอดีตคนเคยรักแล้วก็ลัดเลาะออกมาจากจวนของขุนนาง หยูได้อย่างปลอดภัย หลังจากค่ำคืนแห่งรักและแค้นคืนนั้น หลี่หมิงก็ลอบออกมาจากจวนของขุนนางหยูแล้วก็กลับเรือนของตนเองไปเขาตั้งใจว
กบฎนั้นก่อโดยอ๋องเผยอันน้องชายของฮ่องเต้องค์เก่าที่เพิ่งจะสวรรคตไป และนางเองอดีตฮองเฮาต้องหอบหิ้วบุตรชายหนีมาเพราะนางให้กำเนิดเขาเมื่ออายุมากแล้ว ทั้งๆที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่านางจะสามารถมีบุตรได้ และแล้วสวรรค์ก็ประทานบุตรชายให้กับนาง เขาคือองค์รัชทายาท แต่ก็มิอาจจะครองบััลลังฆ์ตามที่ควรจะเป็นได้ เพราะถูกก่อกบฎไปเสียก่อน แต่นางยังมีความหวัง เพราะนางเชื่อเต็มหัวใจว่ายังมีขุนนางและแม่ทัพนายกองมากมายที่ยังภักดีต่อฮ่องเต้พระองค์เดิม และองค์รัชทายาทที่บัดนี้เติบใหญ่จนสามารถจะกลับไปทวงบังลังฆ์ที่ควรจะเป็นของเขากลับคืนมาได้แล้วส่วนสตรีต่ำต้อยที่เป็นเพียงบุตรีของขุนนางขั้นสามนั่นก็ไม่ได้คู่ควรกับองค์รัชทายาทเช่นหลี่หมิงสักนิด ดีแล้วที่มันแสดงธาตุแท้ออกมาก่อน ตอนแรกนางก็ไม่เห็นด้วยนักที่เขาจะรับบุตรีขุนนางขั้นสามมาเป็นชายา แต่เมื่อบุตรชายทั้งรักทั้งหลงสตรีนางนั้นมากเหลือเกิน แม่อย่างนางที่รักบุตรชายมากและสงสารในชะตากรรมของเขา ที่ควรจะอยู่ในที่สูงส่งแต่กลับต้องมาลำบากอยู่ปะปนกับชาวบ้านทั่วไปเช่นนี้แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะซ่งหลี่หมิงแท้จริงเขาคือองค์รัชทายาทที่ไม่นานจะต้องได้คืนบังลังฆ
“ น่าขบขันนัก เจ้าช่างไม้ต่ำต้อย เงินสินสอดแค่หยิบมือ คิดจะมาสู่ขอบุตรสาวของขุนนางอย่างข้า คิดหรือว่าข้าจะยกหงลี่ให้กับเจ้า ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี คำสัญญาที่เจ้าบอกข้า มันจับต้องไม่ได้หรอกนะ เจ้าจะทำมันได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เจ้าคือช่างไม้รับจ้างที่ยากจน มีเพียงบ้านหลังเล็กๆ เอาไว้ซุกหัวนอนกับแม่ที่แก่ชราของเจ้า เพียงเท่านั้น ข้าไม่โง่เง่าพอที่จะยกบุตรสาวของข้าให้ไปตกระกำลำบากกับเจ้าหรอก เป็นการิอยากจะกินเนื้อหงส์ ช่างน่าขบขันนัก ” ขุนนางหยูเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าทมึงถึงขัดกับคำพูดของเขาที่บอกว่าคำสัญญาของหลี่หมิงช่างน่าขบขัน เขากับฮูหยินจ้องมองช่างไม้หนุ่มกับมารดาด้วยสายตาดูแคลนไม่ปิดบังซักนิด พวกเขาไม่ยอมเรียกบุตรสาวออกมาพบกับทั้งสองเลยด้วยซ้ำ “ แต่ข้ากับหงลี่เราได้เสียกันแล้ว หากท่านไม่ยอมให้นางแต่งงานกับข้าแล้วนางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา จะทำเช่นไร ” ช่างไม้หนุ่มตัดสินใจใช่้ไม้ตายของเขาที่คิดว่าหากพูดออกไปแล้วพ่อตาแม่ยายอาจจะใจอ่อนยอมให้หงลี่กับเขาแต่งงานกันก็เป็นได้“ หากนางตั้งครรภ์ข้าก็จะไม่เก็บเจ้าเด็กนั่นไว้ประจานสกุลของข้าหรอกนะ หรือไม่ข้าก็จะให้นางรีบแต
พวกเขาเข้าหอล่วงหน้าแล้ว แม้ในคราวแรกเขาไม่ได้ตั้งใจเลย เขาคิดจะถนอมนางเอาไว้จนกว่าจะถึงวันวิวาห์ของพวกเขา แต่ครั้งนี้ความใกล้ชิด ถูกเนื้อต้องตัวกันมันพาให้อารมณ์หนุ่มของเขาเตลิดจนกู่ไม่กลับ แต่เมื่อได้ล่วงเกินกันแล้วก็หยุดยั้งตนเองไม่ได้อีกต่อไป เมื่อกลับไปแล้ว ก็จะไปสู่ขอนางกับบิดามารดาของนาง แม้ในตอนนี้เขาจะยังไม่พร้อมทางด้านฐานะ อาจจะดูต่ำต้อยกว่าครอบครัวของนางไปสักนิด แต่เขาเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานเขาจะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวให้มีฐานะที่เป็นปึกแผ่นมากกว่านี้ เขาจะไม่ยอมให้หงลี่น้อยหน้าผู้อื่นอย่างแน่นอน ส่วนหงลี่บัดนี้นางโยกสะโพกอวบอัดเข้าหาชายที่กำลังโยกกระแทกนางอย่างรุนแรงนี้ นางเองก็หลงรักเขาดังเช่นที่เขาหลงรักนาง และยิ่งได้ตกเป็นของกันและกันแล้ว ความผูกพันธ์ของพวกเขาสองคนก็จะยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น บัดนี้พี่หลี่หมิงไม่ใช่เพียงคนรักในความลับของนางอีกแล้ว แต่เขาคือสามีที่นางจะต้องได้แต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน หงลี่คิดด้วยความสุขใจ นางยกแขนเรียวขาวเกี่ยวต้นคอของสามีหมาดๆ ลงมา แล้วทั้งสองก็จูบกันอย่างดูดดื่ม บทรักในสายธารน้ำตกดำเนินไปจนกระทั่งแตกระเบิดในเวลาไล่เลี่ยกัน แ
บัดนี้ในป่าแถบนี้แทบจะร้างผู้คน ซ่งหลี่หมิงสำรวจทั้งหมดแล้ว จึงได้ปลอดโปร่งโล่งใจ เพราะเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของคนรักของเขา ทั้งสองสบตากันนิ่ง ในดวงใจทั้งสองดวงเปี่ยมไปด้วยความรักที่แทบจะล้นปรี่ออกมา ดวงตาของทั้งคู่ต่างก็มีไฟปรารถที่ลุกโชนไม่ต่่างกัน และแล้วใบหน้าก็ค่อยๆเลื่อนเข้าหากัน และในที่สุดลิ้นร้ายที่ร้อนรุ่มนั่นก็สอดเข้ามาในปากอวบอิ่มที่อ้าออกน้อยอย่างเต็มใจ แขนเรียวของหงลี่ยกขึ้นโอบต้นคอชายตรงหน้าของนางเอาไว้ และแล้วจูบที่ดูดดื่มและเร่าร้อนก็เกิดขึ้น และดำเนินต่อไปจนคุณหนูสาวแทบจะขาดอากาศหายใจนางยกมือทุบไปที่ไหล่หนาของคนตรงหน้า คนรักหนุ่มจึงยอมปล่อยปากอิ่มของนางเป็นอิสระ และเข้าซุกไซร้พรมจูบสองแก้มนวลของนาง แล้วละเรื่อยมาที่ซอกคอขาวผ่อง เขาขบเม้มทำรอยรักเอาไว้ประปรายอย่างหวงแหน เพราะเขาถือว่าหยูหงลี่คือคนรัก ที่เขาจะต้องได้นางมาครอบครอง แม้ฐานะของพวกเขาจะแตกต่าง แต่เขาจะมุมานะสร้างตัวเพื่อให้คู่ควรกับนาง เพื่อจะได้ไปสู่ขอนางมาร่วมชีวิตกับเขาให้ได้เร็วที่สุด ที่อยู่ของนางคือข้างกายเขาเพียงเท่านั้น ชาตินี้เขากับนางจะต้องได้ครองคู่กัน เขาจะไม่ยอมให้มีสิ่