LOGIN“นายน้อยขอรับ” เสียงติงหลี่ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องหนังสือของเจียงอวี้เฉิง “นายน้อยสามและคุณหนูหกขอเข้าพบขอรับ”
คิ้วหนาของเจียงอวี้เฉิง เลิกสูงขึ้นด้วยความแปลกใจ ในขณะที่เขากำลังนั่งอ่านคัมภีร์สื่อจี้อยู่อย่างเงียบ ๆ
เจียงจุนหลี่... เจียงหมิงเย่ว์...?
“ท่านพี่/พี่ชายใหญ่!” ใบหน้าของน้องชายน้องสาวในไส้โผล่พรวดเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มเผล่ จนเจียงอวี้เฉิงหรี่ตาลงพลางรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เมื่อเห็นสองตัวป่วนเข้ามาพร้อมกันเช่นนี้
หลังจากที่เขาเข้ามาอยู่ในร่างของซื่อจื่อ ทั้งความทรงจำและภาพที่เห็นเกี่ยวกับน้องในไส้ทั้งสองแล้ว บอกได้คำเดียวเลยว่าเด็กสองคนนี้คือตัวตึงของจวน!!
อย่าให้พวกเขาได้ร่วมมือกันเชียว เห็นผู้ใดเป็นอริได้ซัดอีกฝ่ายจนยกธงขาวไปทั่ว ดีว่าเขาเป็นพี่ชายคนโตจึงได้ใช้สิทธิ์ทางสายเลือดกดข่มพวกเขาเอาไว้ได้
“พวกเจ้ามาหาพี่มีเรื่องอันใดรึ?” เจียงอวี้เฉิงวางคัมภีร์ในมือลง เมื่อเห็นเจียงจุนหลี่และเจียงหมิงเย่ว์เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พี่ชายใหญ่...” เจียงหมิงเย่ว์เรียกอีกฝ่ายเสียงหวาน “ข้าเห็นว่าพี่ชายใหญ่ฝึกซ้อมและอ่านหนังสือมาหลายวันติดต่อกันแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือเจ้าคะ?”
เจียงอวี้เฉิงหรี่ตาลง “ข้าจะเหนื่อยก็ตอนที่เห็นหน้าพวกเจ้านี่แหละ...”
“แหม... พี่ชายใหญ่ก็...” เจียงหมิงเย่ว์ส่งยิ้มอย่างประจบ “อย่าเอาความจริงมาพูดเล่นสิเจ้าคะ”
“...” เจียงอวี้เฉิงรู้ดีว่าเจียงหมิงเย่ว์เป็นแม่นางในห้องหอที่มีนิสัยซุกซน ชื่นชอบความครึกครื้นเป็นที่สุด เขาคิดได้ไม่นานก็ได้คำตอบในทันที “คืนนี้เป็นเทศกาลโคมไฟสินะ...”
“แหม... สมกับเป็นพี่ชายใหญ่จริง ๆ เจ้าค่ะ” เจียงหมิงเย่ว์ยิ้มระรื่น เมื่อถูกพี่ชายรู้ทัน “อย่างไรคืนนี้ พี่ชายใหญ่ออกไปเดินเล่นผ่อนคลายหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ?”
เจียงอวี้เฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาย้อนกลับมาในอดีตก็ร่วมเดือนแล้ว ยังไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาภายนอกจวนมากนัก... สายตาคมก้มมองกองตำราและคัมภีร์ที่วางอยู่บนโต๊ะ
ระยะเวลาในการคัดเลือกก็กระชั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังมีสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้และจดจำอีกมาก...
“ไม่ดีกว่า...” เจียงอวี้เฉิงปฏิเสธ “พี่ยังมีตำราอีกหลายเล่มที่ต้องทบทวนเสียก่อน”
“โธ่... พี่ชายใหญ่...” เจียงหมิงเย่ว์กระเง้ากระงอดพลางลุกขึ้นมาเกาะขอบโต๊ะหนังสือไม้ของพี่ชาย แล้วย่อตัวลงนั่งให้เจียงอวี้เฉิงที่นั่งอยู่อีกด้านเห็นเพียงดวงตาอ้อนวอนของนาง “พี่ชายใหญ่มิได้ไปเที่ยวกับข้านานแล้วนะเจ้าคะ”
แต่ถ้าข้าไม่ผ่านการคัดเลือก เจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้เที่ยวเทศกาลโคมไฟในเมืองหลวงอีกตลอดชีวิตเลยนะ แม่ตัวป่วน...
“เอาไว้ก่อนเถิด...” เจียงอวี้เฉิงบอกอย่างใจเย็น “พี่สัญญาว่าปีหน้า พี่จะไปเที่ยวงานนี้กับเจ้านะ”
“บู่ว...” เจียงหมิงเย่ว์ยู่ปากอย่าโดนขัดใจ “หากพี่ชายใหญ่ไม่ไป ข้าก็ไม่ไปเจ้าค่ะ”
เจียงอวี้เฉิงขมวดคิ้วอย่างงงงวย “เจ้าก็ไปกับน้องสามสิ”
เมื่อเอ่ยถึงน้องสาม เจียงจุนหลี่ก็หลุดหัวเราะแผ่วเบา จนพี่ชายและน้องสาวหันไปมอง หากแต่เป็นสายตาที่มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาจิ้งจอกของเจียงอวี้เฉิงฉายแววสงสัยระคนงงงวย ในขณะที่เจียงหมิงเย่ว์ถลึงตาใส่เจียงจุนหลี่ด้วยความขัดใจ “พี่ชายสามมิต้องมาหัวเราะข้าเลยนะเจ้าคะ ท่านเองก็ต้องมาช่วยข้าขอร้องพี่ชายใหญ่สิ”
“นี่มันเรื่องอันใดกัน?” เจียงอวี้เฉิงมึนงงไปหมดแล้ว เมื่อเห็นเจียงจุนหลี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมาที่พวกเขาทั้งสองคน
“ก็เย่วเอ๋อร์ขอไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟกับท่านพ่อและท่านแม่แล้ว” เจียงจุนหลี่มาย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ เจียงหมิงเย่ว์ จนเหลือเพียงดวงตารักสนุกที่โผล่พ้นขอบโต๊ะออกมาเช่นกัน “แต่ท่านพ่อกลับบอกว่าจะอนุญาตให้นางไปเที่ยวได้ก็ต่อเมื่อท่านพี่ไปด้วยน่ะสิขอรับ”
ใบหน้าของเจียงอวี้เฉิงฉายแววอ่อนใจ “สรุปว่าพวกเจ้ามิได้คิดที่จะชวนข้าไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลาย แต่เป็นเพราะหากข้าไม่ไป พวกเจ้าก็อดไปใช่หรือไม่?”
สองหน่อน้อย ๆ พยักหน้าราวกับลูกไก่จิกข้าวเปลือก พลางส่งสายตาวิงวอนมาไม่หยุด จนเจียงอวี้เฉิงใจอ่อน ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป
“ไป ไป ลุกขึ้นมา...” เจียงอวี้เฉิงถอนหายใจไปหนึ่งเฮือก “หม่งหู่! ติงหลี่! เตรียมตัวไปงานเทศกาลโคมไฟ!”
“บัดนี้ การคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่ในรอบแรกและรอบที่สองได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” หวังหมัวมัวประกาศ “สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าสู่รอบสุดท้ายได้นั้น จำเป็นต้องมีพู่แดงในครอบครองตั้งแต่สามชิ้นขึ้นไป”“ดังนั้น ขอให้ทุกท่านตรวจสอบจำนวนพู่แดงในมือ ท่านใดที่มีพู่แดงตั้งแต่สามชิ้นขึ้นไป ขอให้ก้าวออกมาข้างหน้า”ผู้เข้ารับการคัดเลือกทั้งสิ้นจำนวนสี่สิบคนนั้น หลายคนก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความเสียดาย เพราะจำนวนพู่แดงในมือมีไม่ถึงตามเกณฑ์ที่กำหนดคุณชายจำนวนสิบเก้าคนก้าวออกมายืนข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจ จากการคัดเลือกในรอบแรกนั้น ผู้ที่ได้พู่แดงจำนวนสามชิ้น ได้แก่ เจียงอวี้เฉิง ซุนเจิ้นหยวน หลี่เทียนหยู เว่ยเหวินหยาง และมู่หานเจียง ถือว่าแทบจะได้รับสิทธิ์ในการเข้ารอบคัดเลือกครั้งสุดท้ายได้อย่างแน่นอนแต่สำหรับผู้ที่ได้พู่แดงจำนวนหนึ่งชิ้นและสองชิ้นในรอบแรก ยังต้องมาเสี่ยงดวงว่ารอบที่สองจะได้พู่แดงมากขึ้นหรือไม่อย่างจวงหมิงรุ่ยเอง ในการคัดเลือกรอบแรก เขาได้รับพู่แดงจำนวนหนึ่งชิ้น แต่ด้วยความสามารถของจอห
เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมของผัดหมี่ผสานไปกับกลิ่นเหม็นไหม้ ควันสีขาวลอยอบอวลไปทั่วโรงครัว สภาพหลังการทำอาหารของผู้เข้าคัดเลือกบางรายแทบจะทนดูไม่ได้ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่า และความมันจากการยืนผัดหมี่อยู่หน้าเตานาน ๆ ข้างตัวแต่ละคนล้วนแต่มีจานผัดหมี่ที่ใช้การไม่ได้วางเป็นกองพะเนินน่าจะมีการหักคะแนนเรื่องการใช้วัตถุดิบสิ้นเปลืองด้วยนะเนี่ย...ซีโรเวสท์น่ะ รู้จักกันไหม?ขันทีน้อยสี่สิบนายเดินมาหยิบจานผัดหมี่ขึ้นมาวางไว้บนถาด พร้อมทั้งแจกผ้าสะอาด เพื่อให้คุณชายทั้งหลายได้เช็ดทำความสะอาดใบหน้าเสียก่อน มิเช่นนั้นเกรงว่าฮ่องเต้และองค์หญิงใหญ่จะไม่สามารถจดจำได้ว่าคุณชายท่านนี้เป็นผู้ใด!?“ขอเชิญทุกท่านเดินตามขันทีไปที่โถงด้านหน้าได้เลยเจ้าค่ะ” หวังหมัวมัวกล่าวพร้อมผายมือไปทางด้านหน้าผู้เข้าคัดเลือกแต่ละคนเดินตามขันทีน้อยที่ถือผลงานรสมือของตัวเองมายืนเรียงรายอยู่หน้าโถง โดยที่ฮ่องเต้ชิงหยางและองค์หญิงใหญ่ประทับบนพระที่นั่ง“เชิญหมายเลขหนึ่ง”ขันทีน้อยเดินนำไป๋เฉียนก้าวขึ้นบันได ก่อนจะม
เมื่อยามเว่ยมาถึงหวังหมัวมัวเชิญผู้เข้าแข่งขันทุกคนเดินออกจากลานกว้าง ตรงไปที่โรงครัวด้านในที่จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องครัวไว้อย่างเป็นสัดส่วนจำนวนสี่สิบที่มุมปากของผู้เข้าคัดเลือกแต่ละคนกระตุกระรัวอย่าบอกนะว่าการคัดเลือกรอบบ่ายจะเป็นการทำอาหาร?“อย่างที่ทุกท่านเห็นกันแล้ว การคัดเลือกรอบสองนี้ จะเป็นการทำอาหารถวายองค์หญิงใหญ่ บุรุษนั้นนอกจากจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ในยามคับขันก็ต้องมีความสามารถในการดูแลอาหารการกินได้อีกด้วย”คุณชายแต่ละคนยืนเงียบกริบ ความรู้สี่ตำราห้ามคัมภีร์ในสมองร่วงหล่นกระจัดกระจาย ไป๋เฉียนเหลือบสายตาคมปราดมองไปที่เสิ่นจิ้งเหยาอีกคราพ่อเจ้าบอกข้อมูลผิดอีกแล้วนะ!!เสิ่นจิ้งเหยาทำได้เพียงแต่หลบสายตาไปอีกทางแล้วผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันน่ะ!?ข้าก็ตกใจไม่แพ้เจ้าหรอก!!จวงหมิงรุ่ยระบายลมหายใจหนักหน่วง เมื่อคิดว่าการคัดเลือกในรอบนี้คงไม่ง่ายเสียแล้ว ก่อนจะหันหน้าไปลอบสังเกตเจียงอวี้เฉิงที่ยืนอยู่อีกทาง ใบหน้าของเขานิ่งสงบราวกับเป็นรูปแบบการคัดเลือกที่คาดคิด
ฮ่องเต้ชิงหยางและองค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นจากที่ประทับแล้วเดินกลับเข้าไปพักผ่อนที่ด้านในเมื่อเห็นว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์เดินจากไปแล้ว บรรดาขุนนางจึงรีบเดินลงไปที่ลานแข่งขัน เพื่อสอบถามอาการบุตรหลานของตนเองเจิ้นกั๋วกงสาวเท้ายาวเดินเข้าไปหาเจียงอวี้เฉิงที่กำลังผูกพู่แดงกับป้ายหมายเลขของตนเองอย่างพึงพอใจในผลการแข่งขันรอบแรก เขายกมือขึ้นตบไหล่แข็งแรงของลูกชาย จนเจียงอวี้เฉิงเซถลาไปด้านหน้าหลายก้าว“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ลูกพ่อเอวแข็งแรงดีจริง ๆ ”“ท่านพ่อ…” เจียงอวี้เฉิงกลอกตามองบน ลากเสียงอย่างระอา “เรื่องเช่นนี้ มิต้องชมเชยกันหรอกขอรับ”เจิ้นกั๋วกงชอบใจในท่าทีของบุตรชาย เสียงหัวเราะดังกังวานไปทั่วบริเวณ “ลูกพ่อเก่งเช่นนี้ เย็นนี้ เจ้าอยากกินอะไรก็บอก ข้าจะให้แม่เจ้าทำเตรียมไว้ให้ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”หื้ม พ่อบ้านใจกล้าไปอีก...ท่านกล้าสั่งท่านแม่รึไง?“เอาล่ะ อย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่เจ้าได้คะแนนสูงสุดในการคัดเลือกรอบแรก” เจิ้นกั๋วกงหันไปสั่งคำกับลูกน้องข้างตัว “จ้าวลี่ ส
นอกจากชิงหว่านซินที่จ้องมองเจียงอวี้เฉิงแล้ว ก็ยังมีสายตาอีกหลายคู่ที่จ้องมองเขาด้วยเช่นกัน“อย่างไรการแข่งรอบแรกก็เป็นเพียงการวัดกำลัง เจียงซื่อจื่อจะชนะก็คงไม่แปลกอันใดใช่หรือไม่? หมิงรุ่ย” ไป๋เฉียนถามขึ้น ในขณะที่เดินมาอยู่ข้างกายจวงหมิงรุ่ยที่ในมือของเขามีพู่แดงอยู่หนึ่งชิ้น“แต่ช่างเป็นการแข่งขันที่ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน” เสิ่นจิ้งเหยา สหายสนิทอีกคนบ่นขึ้นอย่างไม่ชอบใจ แม้ว่าเขาเองก็จะได้รับพู่แดงมาหนึ่งชิ้นด้วยเช่นกัน “พ่อของข้าอุตส่าห์ติดสินบน เพื่อสอบถามขันทีไปตั้งมากมาย จึงได้ความว่าจะเป็นการวิ่งแข่ง”“นั่นสิ พวกเราจึงต้องไปฝึกซ้อมร่างกายให้วิ่งอยู่เสียตั้งนาน ผลสุดท้าย กลับเป็นการแข่งขันประหลาดเช่นนี้ไปเสียได้” ไป๋เฉียนผสมโรง ก่อนจะนึกขึ้นได้ “แต่ก็พอจะมีคนมองออกว่านี่ไม่ใช่การแข่งวิ่งธรรมดานะ”จวงหมิงรุ่ยถามขึ้นในทันที “ผู้ใด?”“เจียงซื่อจื่อ”คำตอบจากปากสหายสนิท ทำให้ดวงตาของจวงหมิงรุ่ยลุ่มลึกขึ้น“ก่อนเริ่มการแข่งขัน ข้าลองเข้าไปสอบ
“พี่หญิง พี่หญิง...” เสียงเรียกที่คุ้นเคยจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้ชิงหว่านซินต้องละสายตาจากสนามแข่งมามองชิงหว่านซินหันหน้าไปถามอนุชาอย่างอ่อนโยน “ว่าอย่างไรรึ?”“พี่หญิงยังรู้สึกไม่สบายอยู่รึ? จะกลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?” ฮ่องเต้ชิงหยางตรัสถามอย่างเป็นห่วงเพราะชิงหว่านซินเพิ่งจะหายจากอาการไข้ ไม่รู้ว่านางไปต้องลมหนาวในยามใด จึงได้มีไข้ขึ้นสูง นอนสลบไสลไปหลายวัน จึงเพิ่งได้ฟื้นสติขึ้นมา หากแต่เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว พี่หญิงของเขาก็คลับคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคนดวงตาฉายแววเย็นชามากยิ่งขึ้น บ่อยครั้งที่จะนิ่งเงียบราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา...“พี่ทำให้หยางเอ๋อร์ต้องเป็นห่วงแล้ว หมอหลวงเพิ่งมาตรวจอาการให้พี่ เขาบอกว่าอาการของพี่ดีขึ้นมากแล้ว” ชิงหว่านซินปลอบใจอีกฝ่าย “ให้พี่รอดูผลเถิด เพราะพี่เองก็อยากจะรู้ว่าผู้ใดจะได้พู่แดงไปมากที่สุดด้วยเช่นกัน”“นั่นสิ... ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าเจียงซื่อจื่อจะเอวดีเช่นนี้” ฮ่องเต้ชิงหยางตรัสขึ้นอย่างพอพระทัย สุรเสียงชื







