LOGINเสียงดนตรีอันไพเราะผสานกับเสียงเจื้อยแจ้วของผู้คนดังไปทั่วถนนหนทางของเมืองหลวงยามค่ำคืน โคมไฟหลากสีสันห้อยระยิบระยับอยู่ทุกหนแห่ง ส่องสว่างสะท้อนใบหน้าของผู้คนที่เดินกันอย่างเนืองแน่น
เสียงหัวเราะและเสียงโห่ร้องดังมาจากเวทีงิ้วขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางเมือง ขณะที่กลิ่นหอมของอาหารและขนมหวานลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น เหล่าพี่น้องตระกูลเจียงก็ยืนปะปนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย สายตาพวกเขาจดจ่ออยู่กับการแสดงงิ้วอันน่าตื่นตาตื่นใจที่กำลังขับร้องเรื่องราวความรักของวีรบุรุษ
เจียงอวี้เฉิงหันไปมองน้องสาวของเขาที่ดูเหมือนจะกำลังลังเลใจ เจียงหมิงเย่ว์ชะเง้อมองไปที่การแสดงเบื้องหน้า แต่แล้วสายตาก็เลื่อนไปมองอีกซอยหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป
“มีอะไรรึ?” เจียงอวี้เฉิงเอ่ยถามพร้อมกับลูบศีรษะของเจียงหมิงเย่ว์เบา ๆ
เจียงหมิงเย่ว์รีบหันกลับมาหาพี่ชายของนาง ดวงตากลมโตเป็นประกาย “พี่ชายใหญ่... ข้าก็อยากดูงิ้ว แต่... แต่ข้าก็อยากกินถังหูลู่ด้วยเจ้าค่ะ” นางกล่าวพร้อมกับทำสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย “ถังหูลู่ในซอยนั้นที่พี่ชายใหญ่เคยซื้อมาให้ข้ากิน อร่อยมากเชียวเจ้าค่ะ”
เจียงอวี้เฉิงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาเข้าใจแล้วว่าน้องสาวของเขาต้องการที่จะกินถังหูลู่ แต่ถังหูลู่เจ้าอร่อยนั้นตั้งแผงขายอยู่ในทางเดินของอีกซอยหนึ่ง
“เช่นนั้น เจ้าก็ยืนดูงิ้วไปก่อน” เจียงอวี้เฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น “เดี๋ยวข้าจะเดินไปซื้อถังหูลู่มาให้เอง”
“ท่านพี่ ให้จงซิ่นเดินไปซื้อให้เย่วเอ๋อร์ก็ได้ขอรับ” เจียงจุนหลี่กล่าวถึงคนสนิทของเขา
เจียงหมิงเย่ว์แย้งขึ้นแผ่วเบา “ในซอยนั้นมีร้านถังหูลู่ตั้งหลายร้าน จงซิ่นจะรู้หรือว่าข้าต้องการกินร้านไหน?”
“ถังหูลู่ร้านใดก็มีรสชาติเหมือนกันมิใช่หรือ? แล้วเจ้าจะให้ท่านพี่เดินไปซื้ออย่างนั้นหรือ?” เจียงจุนหลี่ย้อนถาม
“ก็พี่ชายใหญ่เคยซื้อถังหูลู่ร้านนั้นให้ข้ากินนี่น่า” เจียงหมิงเย่ว์ก้มหน้าตอบอย่างอ้อมแอ้ม “พี่ชายใหญ่ไม่เคยบอกว่าเป็นร้านใด ข้าก็รู้เพียงแต่ว่าอยู่ในซอยนั้น”
เจียงอวี้เฉิงมองสองพี่น้องที่โต้เถียงกันไปมา ก่อนที่ความทรงจำของซื่อจื่อจะหลั่งไหลเข้ามา
ใช่... ร้านถังหูลู่ร้านนั้นเป็นร้านลับที่อยู่สุดทางเดินของอีกซอยหนึ่ง เหตุผลที่เจียงซื่อจื่อไม่เคยบอกเจียงหมิงเย่ว์เป็นเพราะว่าเขามักจะเก็บไว้เป็นข้อมูลลับในการต่อรองกับน้องสาว ในยามที่นางดื้อรั้นขึ้นมา
“ช่างเถิด ช่างเถิด... เรื่องเท่านี้เอง ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกัน ประเดี๋ยวข้าเดินไปซื้อมาให้พวกเจ้าเอง” เจียงอวี้เฉิงบอกปัด อีกทั้งยังเหมารวมว่าจะซื้อมาฝากเจียงจุนหลี่อีกด้วย
เจียงจุนหลี่ยื่นปาก “ข้ามิใช่เด็กแล้ว ผู้ใดจะอยากกินถังหูลู่กัน”
“เช่นนั้นข้าก็จะซื้อแต่ถังหูลู่รสส้มมาให้เย่วเอ๋อร์ก็แล้วกัน” เจียงอวี้เฉิงพยักหน้าหงึกหงักกับความในใจที่มีเสียงของตนเอง
“ข้าจะเอาบ๊วยซานจาด้วย!” เจียงจุนหลี่เอ่ยแทรกขึ้นมา ทำเอาเจียงอวี้เฉิงและเจียงหมิงเย่ว์หลุดหัวเราะแผ่วเบากับบุรุษผู้ไม่ยอมรับว่าตนยังเป็นเด็กตรงหน้า
“ได้ ได้ เอารสส้มกับบ๊วยซานจาคนละสองไม้” เจียงอวี้เฉิงสรุป “พวกเจ้าก็ยืนดูงิ้วที่นี่รอข้าครู่หนึ่งก็แล้วกัน”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ!!” น้องชายน้องสาวรับคำอย่างเชื่อฟังและหันกลับไปสนใจการแสดงงิ้วอีกครั้ง
เจียงอวี้เฉิงยิ้มพร้อมกับปลีกตัวออกจากฝูงชนอย่างคล่องแคล่ว โดยมีหม่งหู่และติงหลี่ สองคนสนิทเดินตามไปติด ๆ ปล่อยให้น้องชายน้องสาวยืนดูการแสดงงิ้วอย่างมีความสุขอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคักของเทศกาลโคมไฟ โดยมีคนสนิทของทั้งสองยืนเฝ้าระวังไม่ห่าง
เจียงอวี้เฉิงเร่งฝีเท้าเพื่อเดินไปยังร้านขายถังหูลู่ที่อยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านถังหูลู่เจ้าประจำ ก่อนจะสั่งตามรสชาติที่น้องทั้งสองชื่นชอบ
ในระหว่างที่เจียงอวี้เฉิงกำลังยืนรอถังหูลู่ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่ที่วิ่งไปมาทางอีกด้านของซอยลึกที่มืดสนิท ราวกับเป็นอีกด้านหนึ่งของเมืองหลวงที่กำลังสว่างไสวด้วยงานเทศกาลโคมไฟที่เฉลิมฉลองไปทั่วเมืองหลวง
ด้วยวิทยายุทธ์ของพวกเขาทั้งสามคน จึงทำให้ได้ยินเสียงนั้นได้อย่างชัดเจน
“เป็นแค่สตรีตัวเล็ก ๆ สองคนจะหนีไปไหนพ้น!!”
“กรี๊ด!!”
“บัดนี้ การคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่ในรอบแรกและรอบที่สองได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” หวังหมัวมัวประกาศ “สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าสู่รอบสุดท้ายได้นั้น จำเป็นต้องมีพู่แดงในครอบครองตั้งแต่สามชิ้นขึ้นไป”“ดังนั้น ขอให้ทุกท่านตรวจสอบจำนวนพู่แดงในมือ ท่านใดที่มีพู่แดงตั้งแต่สามชิ้นขึ้นไป ขอให้ก้าวออกมาข้างหน้า”ผู้เข้ารับการคัดเลือกทั้งสิ้นจำนวนสี่สิบคนนั้น หลายคนก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความเสียดาย เพราะจำนวนพู่แดงในมือมีไม่ถึงตามเกณฑ์ที่กำหนดคุณชายจำนวนสิบเก้าคนก้าวออกมายืนข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจ จากการคัดเลือกในรอบแรกนั้น ผู้ที่ได้พู่แดงจำนวนสามชิ้น ได้แก่ เจียงอวี้เฉิง ซุนเจิ้นหยวน หลี่เทียนหยู เว่ยเหวินหยาง และมู่หานเจียง ถือว่าแทบจะได้รับสิทธิ์ในการเข้ารอบคัดเลือกครั้งสุดท้ายได้อย่างแน่นอนแต่สำหรับผู้ที่ได้พู่แดงจำนวนหนึ่งชิ้นและสองชิ้นในรอบแรก ยังต้องมาเสี่ยงดวงว่ารอบที่สองจะได้พู่แดงมากขึ้นหรือไม่อย่างจวงหมิงรุ่ยเอง ในการคัดเลือกรอบแรก เขาได้รับพู่แดงจำนวนหนึ่งชิ้น แต่ด้วยความสามารถของจอห
เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมของผัดหมี่ผสานไปกับกลิ่นเหม็นไหม้ ควันสีขาวลอยอบอวลไปทั่วโรงครัว สภาพหลังการทำอาหารของผู้เข้าคัดเลือกบางรายแทบจะทนดูไม่ได้ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่า และความมันจากการยืนผัดหมี่อยู่หน้าเตานาน ๆ ข้างตัวแต่ละคนล้วนแต่มีจานผัดหมี่ที่ใช้การไม่ได้วางเป็นกองพะเนินน่าจะมีการหักคะแนนเรื่องการใช้วัตถุดิบสิ้นเปลืองด้วยนะเนี่ย...ซีโรเวสท์น่ะ รู้จักกันไหม?ขันทีน้อยสี่สิบนายเดินมาหยิบจานผัดหมี่ขึ้นมาวางไว้บนถาด พร้อมทั้งแจกผ้าสะอาด เพื่อให้คุณชายทั้งหลายได้เช็ดทำความสะอาดใบหน้าเสียก่อน มิเช่นนั้นเกรงว่าฮ่องเต้และองค์หญิงใหญ่จะไม่สามารถจดจำได้ว่าคุณชายท่านนี้เป็นผู้ใด!?“ขอเชิญทุกท่านเดินตามขันทีไปที่โถงด้านหน้าได้เลยเจ้าค่ะ” หวังหมัวมัวกล่าวพร้อมผายมือไปทางด้านหน้าผู้เข้าคัดเลือกแต่ละคนเดินตามขันทีน้อยที่ถือผลงานรสมือของตัวเองมายืนเรียงรายอยู่หน้าโถง โดยที่ฮ่องเต้ชิงหยางและองค์หญิงใหญ่ประทับบนพระที่นั่ง“เชิญหมายเลขหนึ่ง”ขันทีน้อยเดินนำไป๋เฉียนก้าวขึ้นบันได ก่อนจะม
เมื่อยามเว่ยมาถึงหวังหมัวมัวเชิญผู้เข้าแข่งขันทุกคนเดินออกจากลานกว้าง ตรงไปที่โรงครัวด้านในที่จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องครัวไว้อย่างเป็นสัดส่วนจำนวนสี่สิบที่มุมปากของผู้เข้าคัดเลือกแต่ละคนกระตุกระรัวอย่าบอกนะว่าการคัดเลือกรอบบ่ายจะเป็นการทำอาหาร?“อย่างที่ทุกท่านเห็นกันแล้ว การคัดเลือกรอบสองนี้ จะเป็นการทำอาหารถวายองค์หญิงใหญ่ บุรุษนั้นนอกจากจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ในยามคับขันก็ต้องมีความสามารถในการดูแลอาหารการกินได้อีกด้วย”คุณชายแต่ละคนยืนเงียบกริบ ความรู้สี่ตำราห้ามคัมภีร์ในสมองร่วงหล่นกระจัดกระจาย ไป๋เฉียนเหลือบสายตาคมปราดมองไปที่เสิ่นจิ้งเหยาอีกคราพ่อเจ้าบอกข้อมูลผิดอีกแล้วนะ!!เสิ่นจิ้งเหยาทำได้เพียงแต่หลบสายตาไปอีกทางแล้วผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันน่ะ!?ข้าก็ตกใจไม่แพ้เจ้าหรอก!!จวงหมิงรุ่ยระบายลมหายใจหนักหน่วง เมื่อคิดว่าการคัดเลือกในรอบนี้คงไม่ง่ายเสียแล้ว ก่อนจะหันหน้าไปลอบสังเกตเจียงอวี้เฉิงที่ยืนอยู่อีกทาง ใบหน้าของเขานิ่งสงบราวกับเป็นรูปแบบการคัดเลือกที่คาดคิด
ฮ่องเต้ชิงหยางและองค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นจากที่ประทับแล้วเดินกลับเข้าไปพักผ่อนที่ด้านในเมื่อเห็นว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์เดินจากไปแล้ว บรรดาขุนนางจึงรีบเดินลงไปที่ลานแข่งขัน เพื่อสอบถามอาการบุตรหลานของตนเองเจิ้นกั๋วกงสาวเท้ายาวเดินเข้าไปหาเจียงอวี้เฉิงที่กำลังผูกพู่แดงกับป้ายหมายเลขของตนเองอย่างพึงพอใจในผลการแข่งขันรอบแรก เขายกมือขึ้นตบไหล่แข็งแรงของลูกชาย จนเจียงอวี้เฉิงเซถลาไปด้านหน้าหลายก้าว“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ลูกพ่อเอวแข็งแรงดีจริง ๆ ”“ท่านพ่อ…” เจียงอวี้เฉิงกลอกตามองบน ลากเสียงอย่างระอา “เรื่องเช่นนี้ มิต้องชมเชยกันหรอกขอรับ”เจิ้นกั๋วกงชอบใจในท่าทีของบุตรชาย เสียงหัวเราะดังกังวานไปทั่วบริเวณ “ลูกพ่อเก่งเช่นนี้ เย็นนี้ เจ้าอยากกินอะไรก็บอก ข้าจะให้แม่เจ้าทำเตรียมไว้ให้ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”หื้ม พ่อบ้านใจกล้าไปอีก...ท่านกล้าสั่งท่านแม่รึไง?“เอาล่ะ อย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่เจ้าได้คะแนนสูงสุดในการคัดเลือกรอบแรก” เจิ้นกั๋วกงหันไปสั่งคำกับลูกน้องข้างตัว “จ้าวลี่ ส
นอกจากชิงหว่านซินที่จ้องมองเจียงอวี้เฉิงแล้ว ก็ยังมีสายตาอีกหลายคู่ที่จ้องมองเขาด้วยเช่นกัน“อย่างไรการแข่งรอบแรกก็เป็นเพียงการวัดกำลัง เจียงซื่อจื่อจะชนะก็คงไม่แปลกอันใดใช่หรือไม่? หมิงรุ่ย” ไป๋เฉียนถามขึ้น ในขณะที่เดินมาอยู่ข้างกายจวงหมิงรุ่ยที่ในมือของเขามีพู่แดงอยู่หนึ่งชิ้น“แต่ช่างเป็นการแข่งขันที่ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน” เสิ่นจิ้งเหยา สหายสนิทอีกคนบ่นขึ้นอย่างไม่ชอบใจ แม้ว่าเขาเองก็จะได้รับพู่แดงมาหนึ่งชิ้นด้วยเช่นกัน “พ่อของข้าอุตส่าห์ติดสินบน เพื่อสอบถามขันทีไปตั้งมากมาย จึงได้ความว่าจะเป็นการวิ่งแข่ง”“นั่นสิ พวกเราจึงต้องไปฝึกซ้อมร่างกายให้วิ่งอยู่เสียตั้งนาน ผลสุดท้าย กลับเป็นการแข่งขันประหลาดเช่นนี้ไปเสียได้” ไป๋เฉียนผสมโรง ก่อนจะนึกขึ้นได้ “แต่ก็พอจะมีคนมองออกว่านี่ไม่ใช่การแข่งวิ่งธรรมดานะ”จวงหมิงรุ่ยถามขึ้นในทันที “ผู้ใด?”“เจียงซื่อจื่อ”คำตอบจากปากสหายสนิท ทำให้ดวงตาของจวงหมิงรุ่ยลุ่มลึกขึ้น“ก่อนเริ่มการแข่งขัน ข้าลองเข้าไปสอบ
“พี่หญิง พี่หญิง...” เสียงเรียกที่คุ้นเคยจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้ชิงหว่านซินต้องละสายตาจากสนามแข่งมามองชิงหว่านซินหันหน้าไปถามอนุชาอย่างอ่อนโยน “ว่าอย่างไรรึ?”“พี่หญิงยังรู้สึกไม่สบายอยู่รึ? จะกลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?” ฮ่องเต้ชิงหยางตรัสถามอย่างเป็นห่วงเพราะชิงหว่านซินเพิ่งจะหายจากอาการไข้ ไม่รู้ว่านางไปต้องลมหนาวในยามใด จึงได้มีไข้ขึ้นสูง นอนสลบไสลไปหลายวัน จึงเพิ่งได้ฟื้นสติขึ้นมา หากแต่เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว พี่หญิงของเขาก็คลับคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคนดวงตาฉายแววเย็นชามากยิ่งขึ้น บ่อยครั้งที่จะนิ่งเงียบราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา...“พี่ทำให้หยางเอ๋อร์ต้องเป็นห่วงแล้ว หมอหลวงเพิ่งมาตรวจอาการให้พี่ เขาบอกว่าอาการของพี่ดีขึ้นมากแล้ว” ชิงหว่านซินปลอบใจอีกฝ่าย “ให้พี่รอดูผลเถิด เพราะพี่เองก็อยากจะรู้ว่าผู้ใดจะได้พู่แดงไปมากที่สุดด้วยเช่นกัน”“นั่นสิ... ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าเจียงซื่อจื่อจะเอวดีเช่นนี้” ฮ่องเต้ชิงหยางตรัสขึ้นอย่างพอพระทัย สุรเสียงชื







