“ข้าน้อยยังไม่อาจบอกได้ แต่ทว่าหากท่านอ๋องพักฟื้นให้ดี ไม่ออกแรงในตอนนี้อีกทั้งดูแลตัวเองให้มาก และจะต้องให้ข้าน้อยทำการรักษาให้ก่อน ระหว่างนี้และห้ามออกแรงบริเวณข้อเท้าหรือห้ามเดินนั่นเอง จนกว่าจะรักษาให้หายได้ จึงค่อยกลับมาฝึกเดินอีกครั้ง”
ชิงกวานอ๋องนิ่งงันดังถูกสาป
“ตะ ตะแต่ไม่ได้บอกว่าจะเดินไม่ได้ แต่ท่านอ๋องจะต้องรักษาตัวนานหน่อยก็เท่านั้น”ยิ้มเศร้าๆ
“ไม่เป็นไร ส่งท่านหมอเถิด”
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยจะหายาดี มารักษาท่านอ๋องจนได้”รับปากทมั่นเหมาะชิงกวานอ๋องผู้นี้เมตาทุกคน จะมีกี่คนที่เกลียดชัง
“ขอบใจเจ้ายิ่ง”
หมอหลวงก้มหน้าด้วยความหนักใจ เข้าใจดีว่าชิงกวานอ๋องเป็น แม่ทัพผู้เกรียงไกรอีกทั้งยังเป็นคนที่ฝ่าบาทวางใจที่สุดหากจะแบกรับคำว่าเดินไม่ได้หรือพิการจะต้องทนทุกข์เพียงใดกัน
จงหลินกับเสี่ยวเจิ้ง เดินเข้ามายืนด้านหลังของชิงกวานอ๋อง
“ จงหลินคารวะท่านอ๋อง”
ใบหน้าเศร้าหันมายิ้มกว้าง จ้องมองเสี่ยวเจิ้งที่เปลี่ยนไปด้วยความตกตะลึงแววตาพึงพอใจ ใบหน้างดงามอ่อนหวานทว่าสดใสกว่าครั้งแรกที่เขาเห็น ใบหน้าขะมุกขะมอมนั้นหายไปผิวขาวกระจ่างใส ที่สำคัญคือแววตาสดใสนั้น ยิ้มบางๆ
“ เจ้า แต่งกายแบบนี้ดูดีขึ้นมากทีเดียว”
สะกดกลั้นคำว่างดงามไว้ในใจเสีย หยวนกังยิ้ม
“เสี่ยวเจิ้งบอกว่าจะมาทานกลางวันกับท่านอ๋อง เพราะท่านอ๋องจะต้อง ..เสวยคนเดียวพวกเรามาอยู่นี่แล้ว ควรจะร่วมเสวยกับท่านอ๋อง”
เหลือบตามองหยวนกังที่เป็นคนพูดประโยคนี้ ให้เสี่ยวเจิ้งได้คิดเพื่อเอาใจเจ้าบ้านที่แสนดีกับพวกนาง
“แล้วช่างวัดตัวเล่า”
“นางกลับไปแล้วขอรับ บอกว่าไว้พรุ่งนี้จึงมาใหม่”หยวนกังพูดแทน
“ดี ข้ากำลังหิวพอดี เด็กๆ ยกเครื่องเสวยที่ศาลาด้านนู่น"
ปรับน้ำเสียงให้สดใส หยวนกังอมยิ้มไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ของชิงกวานอ๋องมาก่อน
ชือหรู นั่งลงยกสุรากรอกลงในลำคอแก้กระหาย เบื้องหน้าป้อคุนนิ่งจิบชาในมือ
“นางก็แค่หญิงใบ้คนหนึ่ง”
“หญิงใบ้”คิ้วคมขมวดเข้าหากัน
“แต่เป็นหญิงใบ้ที่งดงามและน่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่ข้าชือหรูเคยเห็นมา”
"ท่านอ๋องเล่ามีท่าทีเช่นไร"
ชือหรูลุกขึ้นเดินอ้อมมาโอบรอบลำคอป้อคุนสายตายั่วยวน
"อันนี้ ข้าไม่เห็นว่ายามที่เขาสองคนอยู่ด้วยกันจะเป็นเช่นไร แต่เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องเอาใจบุตรบุญธรรมคนนี้ไม่น้อย จะว่าไปทำไมต้องให้เป็นบุตรบุญธรรมด้วยนางน่าเอ็นดูเพียงนั้น ข้าเป็นหญิงด้วยกันยังชื่นชมนางจะแต่งเป็นชายาก็คงจะไม่น่ารังเกียจ"
ป้อคุนยกจอกชากระดกลงคอรวดเดียว
"เจ้าเอาแต่ชื่นชมนางข้าชักอยากจะเห็นหน้านางเสียแล้ว"ชือหรูยิ้มหวานหยด
"กลัวว่าท่านพบนางแล้ว จะไม่แคล้วหลงเสน่ห์นางแน่ๆ "
"ฮึๆๆ "
ชือหรูลูบมือไปบนไหล่กว้าง
"เกรงว่าแม้แต่เง็กเซียนเมื่อเห็นนางก็คงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม"
จวนอ๋อง
"นี่คือเครื่องประดับที่ข้าสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อเจ้า"
หยวนกังถือถาดไม้ที่มีกำไลหยกฝังทับทิมวางอยู่"
เสี่ยวเจิ้งหันมองจงหลินแล้วย่อหายลงช้าๆ
"ยื่นมือของเจ้าออกมา"
น้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งนัก เสี่ยวเจิ้งก้มหน้าส่งมือออกไปตรงหน้าชิงกวานอ๋องที่จับมือบางไว้บรรจงสวมกำไลหยกให้อย่างเบามือ เสี่ยวเจิ้งย่อกายลงช้าๆก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ขะขะคุ ท่ะพ่อ”
ชิงกวานอ๋อง เงยหน้าขึ้นจ้องตาเสี่ยวเจิ้ง ที่ภายในดวงตาใสนั้นมีแต่แววตาสำนึกในบุญคุณชัดเจน หยวนกังก้มหน้าหลุบตาผิดหวังที่ได้ยินเสี่ยวเจิ้งเรียกท่านอ๋องว่า…ท่านพ่อ…
“เสี่ยวเจิ้งเจ้าเก่งจริง พูดได้แล้ว”
จงหลินตื่นเต้นดีใจ จับมือเสี่ยวเจิ้งเขย่าไปมา
“ ดีแล้ว ข้ารอวันที่จะได้ยินเสียงเจ้าอีกครั้ง”
ชิงกวานอ๋องพูดยิ้มๆ รู้ว่าว่าคำว่าท่านพ่อที่เสี่ยวเจิ้งกล่าวออกมา นั้นเป็นกำแพงสูงที่กั้นเขาเอาไว้เสียแล้ว
เสี่ยวเจิ้งทรุดกายลงตรงหน้า ส่งภาษามือแทนคำขอบคุณที่ให้ที่พักพิง ให้ทุกๆ อย่างเพราะรู้ดีว่าตัวเองต่ำต้อย หากไม่มีชิงกวานอ๋องคงไม่มีวันนี้ ชิงกวานอ๋องเอื้อมมือช้าๆ ลูบบนเรือนผมให้เบาๆ
“ เจ้าทำให้จวนอ๋องไม่เงียบเหงาเช่นที่ผ่านมา เป็นข้าที่ต้องขอบใจเจ้าเสียมากกว่า”
“ฮ่องเต้เสด็จจจจจจ”
เสี่ยวเจิ้งลุกขึ้นยืนสีหน้าตื่นกลัว
“เจ้ากลับไปที่ห้องของเจ้าก่อน หากยังไม่พร้อมที่จะพบกับฝ่าบาทในตอนนี้”
เสี่ยวเจิ้งหลบเข้าไปในห้องพร้อมกับจงหลินในทันที
อู่อินเฉิง และป้อคุนมาทันได้เห็นแค่แผ่นหลังของเสี่ยวเจิ้งก็เท่านั้น
“ชิงกวานอ๋อง ถวายพระพรฝ่าบาท”
“ท่านอา หลานได้ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บของท่านอาจึงร้อนใจ”
ชิงกวานอ๋องยิ้มน้อยๆ
"แต่ฝ่าบาทหมดหนทางแล้วท่านอ๋องจะต้องไม่เป็นอะไรหยวนกังก็จะพาท่านอ่องหนีออกมาเช่นกันตามที่ตกลงกันไว้ตอนนี้แค่เพียงช่วยให้ฝ่าบาทหนีออกมาก่อน ท่านอ๋องขวางพวกมันไว้เพื่อให้ฝ่าบาทหนีอกมาฝ่าบาทอย่าทำให้ความตั้งใจของท่านอ๋องเสียเปล่า""แต่ท่านอาบาดเจ็บไม่น้อยข้าจะไปช่วยท่านอา เจ้าขลาดเขลาเพียงนั้นเชียวหรือป้อคุน"ป้อคุนทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น"ฝ่าบาท หนีก่อนก่อนเถอะขอรับ ความปลอดภัยของฝ่าบาทสำคัญที่สุดท่านอ๋องทรงเข้าใจข้อนี้ดีจึงพยายามที่จะกันทหารพวกนั้นเพื่อให้ฝ่าบาทหนีไปหากว่าฝ่าบาทยังเป็นว่าสิ่งที่ป้อคุนหยวนกังและท่านอ๋องทำไปทั้งหมดนั้นขลาดเขลาป้อคุนจะขอให้ฝ่าบาททรงสังหารป้อคุนเสียไม่เช่นนั้นป้อคุนก็ไม่อาจปล่อยให้ฝ่าบาท กลับไปที่ด่านปงเปียง"อู่อินเฉิงทรุดกายลงปล่อยกระบี่ลงข้างกาย"ข้าไม่อาจปล่อยท่านอาไว้ที่นั่นป้อคุนเข้าใจไหมท่านอาเป้นเหมือนบิดาเป็นเป็นพี่น้องและเป็นเหมือนคนที่หวังดีกับข้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้""ฝ่าบาท ท่านอ๋องจะดีใจหากทว่าฝ่าบาทปลอดภัยและด้วยความภักดีของหยวนกังจะไม่มีทางให้ท่านอ๋องต้องตาย"อู่อินเฉิงพยักหน้า"กันเถอะไปรอที่ด่านชายแดนแคว้นใต้"สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ท่านอาเราทั้งหมดลงเรือลำเดียวกันแล้วข้าไม่อาจดูดายปล่อยให้ท่านอาและพวกเขาต้องเผชิญศึกเพียงลำพัง เช่นนั้นจึงขอยืนยันคำเดิมว่าจะอยู่ที่นี่แต่สัญญาว่าหากเราทั้งหมดไม่อาจต้านทัพของอิงฉางได้ข้าจะเร้นกายไปยังที่ปลอดภัยพร้อมกันนั้นท่านอาเองก็สำคัญไม่น้อยการกอบกู้บัลลังก์ของเฉิงอู่ต้องกาศัยท่านอา เช่นนั้นหากเราทั้งหมดไม่อาจต่อกรก็ควรจะหนีไปเสียแต่ในตอนนี้ก็ต้องลองยืนหยัดให้ถึงที่สุดก่อน”ชิงกวานอ๋องถอนหายใจปฏิเสธไม่ได้ว่าที่อินเฉิงพูดมาทุกอย่างล้วนสำคัญเขาเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมารู้ดีว่าด่านปงเปียงมีกำลังเพียงหยิบมือไม่อาจต่อกรกับทหารของอินฉางฮ่องเต้ได้แม้จะมีฝีมือดีแค่ไหนก้ไม่อาจต่อกรกับทหารจำนวนมากราวกับมดปลวกได้“ฝ่าบาทอย่าลืมคำมั่นนี้หากว่าไม่อาจต่อกรฝ่าบาทจะต้องหนีไปเสียอย่าได้ห่วงใครไม่ว่าจะใครหรือแม้กระทั่งชิงกวานอ๋อง”อู่อิงเฉิงยิ้มน้อยๆ“อิงเฉิงสัญญาจะไม่ทำให้ท่านอาจต้องเป้นกังวล“ดี เช่นนั้นร่วมรบเคียงข้างสร้างขวัญกำลังใจ ป้อคุนหยวนกังอารักขาฝ่าบาทจนถึงที่สุดหากไม่ไหวสิ่งเดียวที่ต้องทำแบบไม่ต้องคิดคือพาฝ่าบาทเร้นกายไปเสียแล้วพบกันที่จุดนัดพบข้ามผ่านด่านชายแดนแคว้นใต้”สี่แรงร่วมใจฟ
“เช่นนั้นหยงเจิ้งกลับไปที่นั่น เสด็จพ่อกับฮองเฮาตั้งใจออกผนวช จึงขาดคนคอยดูแล”“จะดีไหมหากให้ป้อคุนไปคอยดูที่นั่น พร้อมกับหยวนกัง”“ข้าตั้งใจประทานงานแต่งงานให้กับป้อคุนและซือหรูเสียเพราะสองคนรอเวลานี้มานาน”หยงเจิ้งพูดยิ้มๆ“ดีเลย เช่นนั้นส่งข่าวให้เจียเกอช่วยดูแลพวกเขา ระหว่างนี้คนทั้งหมดภักดียิ่งนักไม่มีสิ่งใดให้หนักใจ ฝ่าบาทหยงเจิ้งจึงจะออกผนวชได้อย่างหมดห่วงเสียที”“ที่นี่คงเงียบเหงาหากไม่มีป้อคุนหยวนกังและซือหรู”“ชิงกวานน้อย ขอตามไปที่วังหลวงแคว้นใต้กับท่านอาทั้งสอง ข้าเองก็ไม่อาจขัดเพราะหยวนกังกับป้อคุนดูแลชิงกวานน้อยอีกทั้งยังฝึกปรือวรยุทธ์ให้จนเชี่ยวชาญ”“คงจะต้องคิดถึงทุกคน”อินเฉิงกอดรวบร่างอุ้ยอ้ายไว้ในอ้อมแขน“มีข้าอยู่เจ้าจะไม่ต้องเหงา”“ฝ่าบาทเอาแต่ใจใครกันจะลืมได้ เมื่อคราวอยู่ที่ตำหนักฤดูหนาวก็เอาแต่ใจไม่เปลี่ยน”“เช่นนั้นอย่างไรเล่าเจ้าจึงตั้งครรภ์ข้าจึงไม่ต้องรอนาน หากไม่ไปที่ตำหนักฤดูหนาวรำลึกความหลังกันเจ้าจะตั้งครรภ์หรือไร ข้าเองตามใจชิงกวานน้อยที่อยากจะมีน้อง”หยงเจิ้งยิ้มเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อ อู่อินเฉิงกอดไว้แน่น“ข้ารักเจ้ามีเจ้าคนเดียวตลอดไปข้าสัญญาและจะไม
อินเฉิงลุกขึ้นพิงแท่นบรรทมเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างมองเห็นชัดเจนแจ่มใส ทั้งสองตารอยยิ้มเป็นสุข ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหยงเจิ้งที่หลับใหลไปกับอ้อมกอดของเขา ความสุขที่มาถึงยามที่ผ่านความทุกข์ระทม จึงนับว่าเป็นความสุขที่แท้จริงสายลมพัดผ่าน ชิงกวานอ๋องวิ่งหลบซุกตัวยังโขดหิน หยวนกังเกาหัวแกรกๆ ป้อคุนวิ่งตาม หันหน้าหันหลังไม่พบ อ๋องน้อยว่าแอบหลบอยู่ตรงไหนหยวนกังส่ายหน้าไปมา ลูบเคราวยาว“เราสองคนคงจะแก่ไปแล้วจึงไม่อาจหาท่านอ๋องน้อยพบ”“เชิญท่านเพียงลำพังเลยหยวนกัง ข้ายังไม่อยากจะแก่ท่านอ๋องน้อยวิ่งหลบรวดเร็วเหมือนชิงกวานอ๋องที่พลิกพลิ้วยิ่งกว่าใคร อีกหน่อยหากฝึกปรือวิชากระบี่คงหาตัวจับยาก”หยวนกังอมยิ้ม“ข้า ได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยทรงขออนุญาตฝ่าบาทฝึกวิชากระบี่ เราสองคนคงต้องลับคมกันหน่อยเพื่อรอวันถวายการฝึกสอน”“ฮ่าาา เหมือนจริงๆ ช่างเหมือนท่านอ๋องชิงกวานเสียจริง มุ่งมั่นยิ่งนัก เราสองคนคงต้อง ทุ่มเทฝึกสอนกันให้มากหน่อย”ป้อคุนเอ่ยขึ้นดังๆ“หยวนกัง…ป้อคุน…..”ชิงกวานน้อยวิ่งออกจากที่ซ่อน กระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของหยวนกัง“ฮ่าาาาท่านอ๋องในที่สุดก็ยอมออกมา”ป้อคุนอมยิ้ม“ก็ข้าได้ยินว่า ท่านอาทั้ง
ดวงตาพร่ามัวกลอกกลิ้งไปมาทั้งซ้ายและขวา เสียงอ้อแอ้ขององค์ชายน้อยดังแว่วมา แต่ไกล“ชิงกวานน้อยของแม่ เจ้าจะรีบตื่นแต่เช้าทำไมกันเสด็จพ่อยังคงหลับใหล”เสียงหวานของหยงเจิ้งทำเอาอินเฉิงยิ้มกว้างยกมือขึ้นคลำที่ดวงตาทั้งสองข้างสูดลมหายใจลึกๆ“เสี่ยวเจิ้ง”หยงเจิ้งขยับกายหันมา มองร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาลืมตาอยู่บนแท่นบรรทม รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นที่ใบหน้างาม“ฝ่าบาท ท่านฟื้นแล้ว”ดวงตาซ้ายขวากลอกกลิ้งไปมา มองเห็นใบหน้างามเด่นชัด“ข้านอนไปนานแค่ไหน เสี่ยวเจิ้งกับองค์ชายน้อยถึงได้มาอยู่ข้างกายข้าได้”“องค์ชายน้อยชิงกวาน”อุ้มร่างเล็กที่ส่งเสียงอ้อแอ้ปลุกยามเช้ามาใกล้ๆ อินเฉิงรับเอาร่างเล็กจิ๋วไว้ในอ้อมแขน“ชิงกวาน ชื่อนี้เหมาะกับเจ้าเสียจริง เจ้า เป็นคนที่ทำให้ พ่อกับแม่ได้มีวันนี้วันที่เราพร้อมหน้า”หยงเจิ้งปาดน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตา อินเฉิงดึงมือหยงเจิ้งให้นั่งลงข้างๆ เขาจูบซับน้ำตาให้เบาๆ“ท่านอาไม่อยากเห็นน้ำตาเจ้าหยงเจิ้งของข้า ดวงตานี้ของท่านอาอยากเห็นรอยยิ้มของเจ้า มิใช่หยาดน้ำตา”หยงเจิ้งยิ้มทั้งน้ำตา“มีวันนี้ได้เพราะท่านอ๋อง ข้าหยงเจิ้งเช่นไรจะกล้าขัดคำสั่ง”ยิ้มกว้างสดใส อินเฉิงกอดรวบร่าง
“ข้า อัปลักษณ์เพียงนี้ เป็นท่านอาที่จะต้องดูแลหยงเจิ้งต่อไป เป็นท่านอาอินเฉิงจึงวางใจ”หมอหลวงวิ่งถือหลวมยาเข้ามา อินเฉิง ขยับกายให้หมอหลวงตรวจดูอาการของ ชิงกวานอ๋อง“ฝ่าบาท ชิงกวานอ๋องไร้ความสามารถไม่อาจดูแลนาง ฝ่าบาทจึงคู่ควรที่สุด”หมอหลวงลุกขึ้นยืนประสานมือตรงหน้าอินเฉิงพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอินเฉิงหลับตาไล่หยาดน้ำตา หยวนกังเบือนหน้าหนีปาดน้ำตาที่ไหลริน“ท่านอา เราไปพักที่ตำหนักให้ท่านหมอ จัดเทียบยาดีไหม”น้ำเสียงอ่อนโยน“หยวนกังตามอาจารย์ให้ข้าทีข้าอยากจะพักเสียหน่อย ฝ่าบาทพยุงชิงกวานไปเถิด ให้หยวนกังตามอาจารย์”หยวนกังยิ้มกว้าง เหมือนจะเริ่มมีความหวังว่าอาจารย์กับวิชาแพทย์เถื่อนจะสามารถช่วยชีวิตท่านอ๋องได้“หยวนกังรีบไปแล้วท่านอ๋องอดทนหน่อย”วิ่งออกจากท้องพระโรงกระโดดขึ้นหลังม้าควบออกไปราวกับลูกดอกพุ่งเข้าสู่เป้าอินเฉิงพยุงชิงกวานอ๋องหมอหลวงตรวจดูอาการของป้อคุนอย่างเร่งรีบบนแท่นบรรทม ร่างสูงองอาจนอนเหยียดยาวใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้กลับซีดขาว แต่แววตายังอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้งที่อินเฉิงเคยเห็น เลือดสดๆ ยังไหลซึมออกจากบาดแผล“ท่านอาอดทนหน่อย อาจารย์ปู่กำลังมา”“เพื่อฝ่าบาทต่างหาก