ช่วงเช้าของวันใหม่...คณะวิศวกรรมศาสตร์ยังคงวุ่นวายเหมือนเคย เสียงฝีเท้านิสิตนักศึกษาดังกระทบพื้นกระเบื้องแผ่วเบา พร้อมเสียงหัวเราะและการทักทายสลับกันไป
ทว่าภายในโถงล็อกเกอร์ของคณะกลับมีบางอย่างผิดปกติออกไป ทุกคนเหมือนจะมีจุดโฟกัสเดียวกันทั้งคณะ ตรงล็อกเกอร์หมายเลข 21 ซึ่งเป็นล็อกเกอร์ของประธานสภานักศึกษาสาวผู้ขึ้นชื่อในเรื่อง ‘เข้มงวดและดุดันที่สุดในรุ่น’
เธอคนนั้นคือ...ใบหยก หรือ ยลดา ครองฉัตร วิศวกรรมศาสตร์เครื่องกลปีสี่ ประธานสภานิสิตนักศึกษาของ มหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (EST) (ENGINERING SCIENCE AND TECHNOLOGY INSTUTE) สถาบันเอกชนขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงในระดับประเทศ ที่ใคร ๆ ต่างอยากมีชื่อเป็นหนึ่งในคนที่ได้เข้ามาเรียนที่นี่
เพราะถ้าไม่ใช่ลูกหลานของคนมีชื่อเสียงโด่งดังและรวยระดับประเทศจะเข้าเรียนได้ยากมาก นอกจากจะเรียนเก่งจนสอบติดเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนทุนของสถาบันจริง ๆ คนทุนน้อยถึงจะมีโอกาสได้เรียน
และใบหยกก็คือหนึ่งในนักเรียนทุนของสถาบันนั่นเอง เพราะแบบนี้เธอถึงถูกเขม่นจากกลุ่มคนที่ชอบเหยียดด้านฐานะ แต่ใบหยกก็ไม่ได้มานั่งสนใจคนพวกนั้นมาก เพราะเธอรู้สึกว่ามันดูไร้สาระสิ้นดี
และตอนนี้ใบหยกก็กำลังยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์ส่วนตัว เพื่อจะเปิดเอาของที่ต้องใช้ในการเรียน ผมยาวดำสลวยถูกรวบขึ้นเป็นหางม้ายกสูงอย่างเรียบร้อย ดวงตากลมดุดันและเยือกเย็นดังเช่นทุกวัน ตามสไตล์คนที่มีบุคลิกของการเป็นตัวแทนและผู้นำแบบอย่างที่ดี
แต่แล้ว..เมื่อเธอไขกุญแจประตูล็อกเกอร์ส่วนตัว และเปิดออกมา…
“......” ร่างเพรียวในชุดนักศึกษาที่สะอาดตาก็ถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเจอเข้ากับสิ่งแปลกปลอมตรงหน้า
เธอกะพริบตาสองสามครั้ง ก่อนสายตาจะเพ่งมองสิ่งแปลกปลอมที่วางอยู่ตรงนั้นอย่างโจ่งแจ้ง อันเกิดจากความตั้งใจของใครสักคน
ใบหยกสูดลมหายใจเข้าลึก พลางกัดฟันแน่นอย่างอดทน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ แต่ครั้งนี้สิ่งที่เธอได้เจอมันดูน่าขยะแขยงมากกว่าในทุกวัน
ถุงยางอนามัยเนื้อลื่นสีใสแจ๋ว ที่ภายในบรรจุของเหลวขุ่นข้นสีขาว อันมีสภาพรูปร่างที่ไม่น่าอภิรมย์ แม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าของเหลวสีขุ่นด้านในมันเป็นแค่ ‘นมข้นหวาน’ จากการที่เธอได้กลิ่นของมัน แต่สัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงเครื่องเพศนั้น มันทำให้ใบหยกอยากจะจับตัวการที่ก่อเรื่องมาลงโทษด้วยการยัดสิ่งนี้เข้าปากมันสักที
“หึ…พวกปัญญาอ่อน” เธอหัวเราะในลำคอเบา ๆ ดวงตากลมหรี่ลงอย่างคนที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้าน
เธอสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ก่อนจะหยิบถุงมือยางสีดำออกมาจากกระเป๋า แล้วค่อย ๆ สวมมันลงบนมือเรียวข้างขวาอย่างใจเย็น แม้จะมีเสียงกระซิบเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นใจใดๆ
เธอใช้ปลายนิ้วหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาราวกับมันเป็น ‘วัตถุต้องสงสัย’ เสียงซุบซิบรอบข้างก็ดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง ด้วยถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมันปาก
“เฮ้ย…แม่ง! หยิบจริงว่ะ”
“เธอไม่รังเกียจเลยเหรอวะ…หรือว่าชินของจริง...”
“เชี่ย! ใจโคตรนิ่งอ่า”
ใบหยกยังคงไม่พูดอะไร เธอเดินตรงไปยังถังขยะที่มุมห้องโถง แล้วโยนเศษชิ้นส่วนแปลกปลอมนั้นลงไป
ก่อนจะหันกลับมากวาดสายตามองไปรอบตัวช้า ๆ ทีละมุม แววตาคู่นั้นเหมือนมีเข็มแหลมนับพันซ่อนอยู่ มันถึงได้ดูทิ่มแทงและดุกร้าวจนน่าหวาดเสียวเช่นนี้
“น่าเสียดายมันสมองที่สมบูรณ์แบบ แต่เจ้าของกลับไม่คิดจะใช้งานมัน”
คำพูดประโยคนั้นหลุดออกจากปากเธอ ราวกับเปรยขึ้นลอย ๆ แต่ดันวิ่งเข้าใส่ฝูงชนที่แอบซุ่มดูอยู่ทั่วทั้งบริเวณ
ทุกคนรู้สึกเหมือนถูกประณามด้วยคำพูดที่จี้ตรงจุด จนต้องเบนสายตาหลบกันแทบจะทุกคน ด้วยไม่อาจสู้หน้าเธอ
แต่แล้ว...ในจังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของใบหยก จนเธอต้องหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น
“โอ้โห…พึ่งรู้นะว่า...ประธานสภาของมหา'ลัยพวกเรา ชอบเก็บสะสมความทรงจำสุดเสียวเอาไว้ยามคิดถึง...”
เสียงที่ดังขึ้นคือ หลุยส์ หรือ เหมราช ศิริทรัพย์สกุล วิศวกรรมเครื่องกลปีสี่ หนึ่งในสมาชิกของแก๊ง ‘บัญชีดำ’ ที่มี เวกัส หรือ วสุพล พิสุทธิธาดา วิศวกรรมเครื่องกลปีสี่เช่นกัน เป็นหัวหน้าแก๊ง
เวกัสที่ตอนนี้ยืนกอดอกพิงผนังฝั่งตรงข้ามอยู่ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มกวน ๆ ประดับไว้เต็มใบหน้า แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับไม่กล้าช้อนขึ้นมามองหน้าใบหยกแบบตรง ๆ เพราะภาพในฝันเมื่อคืนมันชัดเจนและเหมือนจริงมากเกินไป จนเขายังสลัดมันออกจากหัวไม่ได้เลย เสียงของเธอเมื่อคืนยังแทรกอยู่ในหัวของเขาราวกับถูกหลอกหลอน
“อย่าบอกนะว่าเมื่อคืน ประธานสภาไปล่าแต้มมา...” โชน หรือ โชติวัฒน์ รัตนานุกูลเกียรติ หนึ่งในสมาชิกแก๊งเอ่ยขึ้น
“คนที่โคตรโชคร้ายคนนั้นเป็นใครวะ เดาได้ว่าของคงขาดนาน หรือไม่ก็อดอยากปากแห้งพอสมควร ไม่งั้นคงไม่สมสู่กับประธานสภาอย่างเธอแน่...สงสัยคงอยากจัดจนเพี้ยนว่ะ ฮ่า ๆ”
หลุยส์หัวเราะออกมาเสียงดัง จนคนทั่วทั้งห้องโถงลั่นเสียงหัวเราะตาม ราวกับโรคติดต่อ
ทว่าเสียงหัวเราะที่ทุกคนระเบิดขึ้นพร้อมกัน กลับทำให้เวกัสไม่รู้สึกขำไปด้วยเลยสักนิด ใบหน้าหล่อเชิดขึ้นเล็กน้อย แววตาคมกริบแอบเหลือบไปมองหน้าเพื่อนอย่างนึกขุ่นเคืองใจ เพราะคำพูดเมื่อครู่ดันสะกิดใจเขาเข้าเต็ม ๆ
สมสู่กับยัยประธานนั่นก็เท่ากับอดอยากปากแห้งอย่างงั้นเหรอ เขาคงเพี้ยนแบบที่เพื่อนว่า ถึงได้ฝันว่ามีอะไรกับยัยนั่นได้
“ดูพวกนายภูมิใจในผลงานกันจังเลยนะ จะบอกอะไรให้นะ...สิ่งที่พวกนายทำมันดูไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย เอาเวลาว่างไปอ่านหนังสือสอบหรือไม่ก็ไปตามงานที่ค้างส่งอาจารย์จะดีกว่า” ใบหยกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ปากดีใช้ได้...” ริกเตอร์ หรือ รัชชานนท์ ดำรงรักษ์สกุล อีกหนึ่งในสมาชิก เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นตามนิสัยของคนพูดน้อย แม้เขาจะเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊ง แต่ในใจกลับแอบชื่นชมในความเก่งของใบหยกและกลุ่มของเธอ แต่คนที่ริกเตอร์นึกฉุนกลับเป็นเพื่อนในกลุ่มของเธอเสียมากกว่า
ใบหยกกวาดสายตามองไปรอบตัว ตอนนี้เธอเหมือนผู้หญิงตัวคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้ชายถึงห้าคน เธอไล่สายตามองพวกเขาทีละคน จนมาหยุดอยู่ที่...ลมหนาว กรสุวกุล หนึ่งในสมาชิกแก๊ง
‘ชีวิตเป็นของเรา เราเท่านั้นที่จะเป็นคนอนุญาตหรือไม่อนุญาต ให้ใครเข้ามาเป็นความทุกข์หรือความสุขในชีวิตได้...ถ้าเราไม่อนุญาต...ก็ไม่มีใครเข้ามามีบทบาทได้ทั้งนั้น’
ใบหยกทบทวนประโยคข้อความนี้ พร้อมกับพยายามนึกถึงใบหน้าของเขา เจ้าของเพจ...เมื่อลมหนาวมาเยือน และเธอก็ตามสืบจนเจอว่าเจ้าของเพจที่เธอพึ่งพิงในยามท้อ ก็คือเขาคนนี้เอง
ในขณะที่ทุกคนจ้องจะเล่นงานเธอ เขากับเอาแต่นิ่ง และเล่นเกมในมือถืออย่างไม่ใส่ใจเรื่องไร้สาระเหล่านี้ ทำให้ใบหยกคิดว่า คนอย่างเขาไม่ควรเข้ามาอยู่ในแก๊งแกะดำกับพวกนี้เลย
“ไม่ใช่ว่าเป็นยัยนี่หรอกเหรอ...ที่ของขาด...”
คำพูดเย็นเฉียบที่ถึงคราวหลุดจากปากเวกัส ทำเอาใบหยกหันขวับไปจ้องหน้าเขาทันที ทั้งที่กำลังมองลมหนาวอย่างชื่นชมอยู่
ทว่าพอช้อนสายตาขึ้นไปสู้สายตาคมกริบ ก็ทำให้เธอผงะเล็กน้อย เมื่อเวกัสกำลังยืนจ้องเธอตาเขม็ง ราวกับมีเรื่องโกรธแค้นเธออยู่ในใจ
“หยาบคาย...คิดว่าคนอย่างฉัน จะหมกมุ่นแต่เรื่องอย่างว่าเหมือนพวกนายหรือไง พวกนายคิดว่าการที่พวกนายแกล้งฉันแค่นี้ จะทำให้ฉันร้องไห้ยอมพ่ายแพ้แก่พวกนายงั้นเหรอ...อย่าคาดหวังขนาดนั้นดิ” ใบหยกยกยิ้มมุมปากอย่างไม่แยแส
“หึ...อย่าอวดเก่ง เจอของจริงจะพูดไม่ออก...” เวกัสชี้หน้าเธอ ใบหน้าแสยะยิ้มอย่างนึกหมั่นไส้ ในความหยิ่งผยองของเธอ แต่ใช่ว่าใบหยกจะกลัว เธอกลับเดินเข้าไปหาเขา จนทั้งคู่เผชิญหน้ากัน
“ศึกเริ่มแล้วว่ะ...” ริกเตอร์เอ่ย ในขณะที่ทุกคนมองทั้งคู่ราวกับลุ้นระทึก
“เอาจริงสักทีสิ คุณชาย...อย่าดีแต่บงการอยู่เบื้องหลัง มันไม่แมน”
ใบหยกจ้องหน้าเขานิ่ง ดวงตากลมไม่หลบสายตาเขาแม้เพียงนิด เวกัสที่ยืนกัดฟันแน่นจ้องสบตากับเธออยู่นาน แต่ประกายแวววาวในดวงตากลมตอนนี้ กลับทำให้เขาดันนึกไปถึงแววตาสั่นระริกและเสียงครางดังลั่นยามที่ถูกเขากระแทกความดุดันเข้าใส่แบบไม่ปรานี ทำให้เวกัสเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะรีบเดินหนีเพื่อหลบสายตาดุที่จ้องเขาแบบไม่ยอมกะพริบ
“อ้าว! เวกัส! ไปแล้วเหรอ?” โชนตะโกนไล่หลังเวกัสที่เดินดุ่ม ๆ ออกไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“มึงจะอยู่หาพ่อมึงเหรอ?”
“อ้าว...ไอ้สัส! ไว้เจอกันนะยัยประธาน...ไปพวกเรา” โชนหันไปบอกสมาชิกที่ต่างกำลังยืนงง เพราะหัวหน้าแก๊งอยู่ ๆ ก็ถอนทัพ ทั้งที่ยังไม่ได้รบเลยสักนิด ริกเตอร์กับลมหนาวถึงกับมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนจะส่ายหัวและเดินยิ้มตามออกไป
“เฮ้อ! พ่อคะ...หนูจะอดทนกับพวกประสาทแดกพวกนี้ได้อีกนานไหม...อีกแค่ปีเดียวเอง แต่ทำไมมันถึงยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวันเลย”
ใบหยกทั้งบ่น ทั้งถอนหายใจเป็นร้อยครั้ง เธอจะต้องอดทนและทำทุกอย่างตามเป้าหมายที่เธอวางไว้ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน เธอก็จะต้องฝ่าฟัน เพื่อไม่ให้ทุกอย่างที่เธอตั้งใจต้องพังยับเยินอย่างที่เธอไม่อยากให้เป็น
หลายวันต่อมา...ขณะที่ใบหยกกับคณะกำลังร่วมประชุมหาลือกันในเรื่องโปรเจกต์อยู่นั้น ฝนห่าใหญ่ก็กระหน่ำลงมาอย่างไม่มีความปรานี ท้องฟ้าที่เคยแดดจ้ากลับมืดครึ้มจนดูน่ากลัว ราวกับสวรรค์จงใจจะใช้พายุฝนมาทดสอบความสามารถของทุกคนในไซต์งานแห่งนี้ครื้นนนน!!!เสียงฟ้าร้องคำรามประสานเข้ากับแรงลมที่โหมซัด จนผ้าใบกันแดดปลิวสะบัดไปตามทิศทางลม โครงเหล็กสูงตระหง่านที่กลุ่มวิศวกรรมโยธาร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นกว่าครึ่งทาง สั่นไหวอย่างแรงจนโคลงเคลงเห็นได้ชัด“เฮ้ย! นที...ดูนั่น!” กลุ่มวิศวกรรมโยธาต่างกรูเข้ามารวมกันที่หน้าต่างห้องประชุม เพื่อที่จะดูว่าโครงสร้างที่พวกเขาช่วยกันทำไว้ จะรอดพ้นจากพายุร้ายที่กำลังโหมกระหน่ำในตอนนี้หรือไม่ใบหยกที่ยืนอยู่ใต้ชายคาอาคารเดียวกันกับทุกคนในกลุ่ม สองมือกำเข้าหากันแน่น ดวงตากลมสั่นระริกเต็มไปด้วยแววแห่งความหวาดกลัว“ได้โปรด…อย่าพังนะ…”คำภาวนานั้นดังก้องอยู่ในใจของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับบทสวด แต่แล้วในเวลาต่อมาก็เกิดเสียงดังสนั่นออกมาจากฐานเหล็กด้านล่าง ตรงจุดที่น่านนทียืนยันนักหนาว่าแข็งแรงตามแบบฉบับ แต่มาตอนนี้กลับแตกร้าวเสียงดัง และเพียงไม่กี่นาทีต่อจากนั้น โครงสร้า
เช้าวันต่อมา...รถหรูของเวกัสแล่นเข้ามาจอดรถหน้าบ้านของใบหยกตั้งแต่เช้า พอพ่อของเธอออกมาเห็นก็ยิ้มรับอย่างเอ็นดู ก่อนจะตะโกนเรียกลูกสาวให้รีบออกมา ใบหยกที่ยังมึน ๆ งง ๆ เลยต้องยอมขึ้นรถมากับเขา เพราะไม่อยากให้พ่อตั้งคำถาม แต่ในใจก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่า...ทำไมเขาต้องอยากมารับมาส่งเธอแบบนี้ด้วยทว่าพอรถเคลื่อนออกไปได้ไม่นาน ใบหยกก็หันไปต่อว่าเขาทันทีเพราะแทนที่เขาจะพาไปดูงาน แต่กลับพาเธอมาที่ร้านอาหาร“ฉันจะไปดูงาน ไม่ได้จะมากินข้าวนะ” เวกัสเหลือบสายตาคมมามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ถ้าเธอไม่กินข้าว ร่างกายจะไม่ไหว งานก็ไม่เดิน แล้วสุดท้ายเธอจะกลายเป็นภาระของกลุ่ม”คำพูดหนักแน่นนั้นทำให้ใบหยกเงียบไป เธอรู้ดีว่าที่ผ่านมาเธอดื้อกับร่างกายตัวเองเกินไป จึงจำใจต้องเดินตามเขาเข้าไปในร้านอาหาร บรรยากาศภายในหรูหรามาก จนเธอได้แต่คิดในใจว่าจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่ายพอมานั่งลงบนโต๊ะอาหาร เขาก็สั่งอาหารมาหลายอย่างมาก และอาหารทั้งหมดล้วนเป็นเมนูพิเศษที่เธอแทบไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน ใบหยกจึงหันไปต่อว่าเขา“นายสั่งเยอะไปหรือเปล่า เยอะขนาดนี้กินไม่หมดหรอก”“กินเท่าที่ไหว เหลือก็ห่อกลับ”
ในห้องโดยสารที่มีเพียงเสียงเครื่องยนต์กับจังหวะหายใจของทั้งสอง บรรยากาศกลับเงียบกว่าที่ควรจะเป็น ใบหยกนั่งตัวเกร็ง มือกำชายกระโปรงไว้แน่น พยายามไม่เหลือบสายตาไปมองคนข้าง ๆ แต่กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่โชยมาจากร่างสูงกลับก่อกวนหัวใจของเธอให้เต้นระส่ำทว่าเงียบได้ไม่นานนัก รถก็เกิดเบรกกะทันหัน เพราะมีมอเตอร์ไซค์ตัดหน้า ร่างเล็กของใบหยกเกือบจะโผไปชนคอนโซลข้างหน้า โชคดีที่แขนแกร่งของเวกัสคว้าตัวเธอเอาไว้ได้ทัน“ระวังหน่อยสิ!” ใบหยกอุทานทั้งตกใจทั้งเขิน รีบสะบัดแขนเขาออก แต่เวกัสกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วใช้โอกาสนั้นโอบรอบเอวเธอแทน ก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ จนแนบชิดอกแกร่ง“เฮ้! ปล่อยนะ” เธอโวยเสียงดัง ทั้งที่แก้มยังแดงจัดแต่แทนที่จะปล่อย เขากลับเอนตัวนิด ๆ มองตรงไปข้างหน้าอย่างใจเย็น “นั่งเฉย ๆ จะได้ไม่เจ็บตัว”ใบหยกถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง เพราะไม่อยากปะทะกับเขาตอนนี้ ร่างกายเธอไม่มีแรงจะทำศึกกับใคร เลยต้องยอมปล่อยเลยตามเลย ทว่าคนข้าง ๆ กลับแอบอมยิ้มบาง ๆ มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัวกระทั่งรถหรูแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าปากซอยซึ่งเป็นทางเข้าบ้านของเธอ เวกัสก็เดินลงมาเปิดประตูให้ราวกับสุภาพบุรุ
เสียงเครื่องมือก่อสร้างดังระงม ตลอดแนวพื้นที่สำหรับสร้างโปรเจกต์หอนาฬิกา เสียงเหล็กกระทบกับค้อนผสานกับเสียงหัวเราะหยอกล้อกันของเหล่านักศึกษาที่ร่วมแรงร่วมใจ ท่ามกลางแสงแดดแรงที่สาดแสงจนพื้นคอนกรีตร้อนระอุ แต่ใบหยกกับกลุ่มวิศวกรรมโยธาของน่านนทีกลับกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทุกคนแทบจะกินนอนอยู่ตรงไซต์งาน หอบโน้ตบุ๊กมาวางตรงม้านั่งยาวเพื่อปรับแบบ ตรวจเช็กสัดส่วน และแก้ไขรายละเอียดตามความเป็นจริง และทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยพักบ้าง ทำบ้าง สลับกันไป แต่ใบหยกกลับเป็นคนที่ไม่เคยหยุดพัก เธอคอยจด คอยตรวจเช็กและแก้ไข เพื่อปรับให้โครงสร้างสมบูรณ์ลงตัว เสมือนพลังงานในร่างของเธอไม่มีวันหมด“ใบหยก หยุดพักก่อนเถอะ แดดมันแรงนะ”มินตราเอ่ยเตือนพร้อมยื่นขวดน้ำและข้าวกล่องมาให้เธอ แต่เจ้าของร่างเล็กกลับทำเพียงส่ายหน้า ยิ้มบาง ๆ แล้วหันกลับไปจ้องแปลนที่อยู่ในมือต่อเพื่อน ๆ ต่างรู้ว่าเธอทุ่มเทที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่แค่โปรเจกต์ธรรมดา แต่มันคือความฝันที่เธออยากให้เป็นสัญลักษณ์ของสถาบัน เป็นร่องรอยที่เธอจะฝากเอาไว้ทว่า…ร่างกายที่ไม่ได้พักก็มีขีดจำกัดบ่ายวันนั้
ห้องออกแบบเงียบสงบ หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ทุกคนทยอยกลับกันหมดแล้ว เหลือเพียงใบหยกที่นั่งอยู่กลางโต๊ะ ก้มหน้าขีดเขียนแก้ไขแปลนงานอย่างตั้งอกตั้งใจ แสงไฟจากโคมเพดานส่องลงมาบนใบหน้าของเธอ ทำให้ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายเปล่งสว่างยิ่งกว่าแสงไฟใด ๆเธอยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อมองแปลนที่ปรับแต่งจนเสร็จสมบูรณ์ รอยยิ้มสดใสที่ดูมีความสุขผุดขึ้นเล็กน้อย เพียงเพราะได้เห็นผลงานของตัวเองเป็นรูปเป็นร่างจนเสร็จสมบูรณ์แต่ใบหยกกลับไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ได้มีร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอจากทางด้านหลังอย่างเงียบ ๆ ฝีเท้าที่ย่างยกเข้ามาลงน้ำหนักเบา ๆ จนแทบไม่เกิดเสียงจนกระทั่ง...ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอขาวเนียน ใบหยกสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับไปมองทันที และสิ่งที่เธอได้เห็นก็คือใบหน้าคมคายของเวกัส ที่อยู่ใกล้จนเหลือเพียงคืบเดียวหัวใจของเธอเต้นรัว มือไม้ไร้เรี่ยวแรงจนแทบล้ม แต่เวกัสกลับรวบร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดได้ทัน พลางกระซิบเสียงทุ้มแผ่วเบาชิดข้างใบหูของเธอ“อยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ดีนะรู้ไหม หืม?”“นะ...นายจะทำอะไร?”ใบหยกถึงกับสั่นไปทั้งตัว เธอรีบใช้แรงทั้งหมดที่เหลือดันแผงอกของเขาให้ออกห่าง
เวลานี้ที่ห้องประชุมใหญ่ของสถาบันดูคึกคักมากกว่าปกติ เพราะวันนี้...เป็นวันแรกที่กลุ่มสภานักศึกษาของใบหยก ได้ร่วมโต๊ะทำงานกับกลุ่มวิศวกรรมโยธาที่จะรับผิดชอบด้านการก่อสร้างชิ้นงานกระทั่งได้เวลาประชุม กลุ่มวิศวกรรมโยธาก็เดินเข้ามาทีละคน ร่างสูงล้วนอยู่ในเสื้อช็อปที่ดูทะมัดทะแมง“สวัสดีครับ!!!” เสียงทักทายเต็มไปด้วยพลัง ราวกับคนที่คุ้นเคยกับสนามงานจริง“สวัสดี…ผมเป็นหัวหน้าทีมที่จะดูแลการก่อสร้างชิ้นงานของโปรเจกต์นี้ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ”นที หรือ น่านนที หัวหน้าทีมวิศวะโยธา หนุ่มร่างสูงผิวขาว ดวงตาคมทว่าเต็มไปด้วยความอบอุ่น กล่าวทักทายทีมของใบหยก ใบหน้าหล่อยกยิ้มบาง ๆ ก่อนยื่นมือออกมาข้างหน้า ใบหยกชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นไปจับมือเขาตอบอย่างสุภาพ“ค่ะ…ใบหยกค่ะ ประธานสภานักศึกษา และหัวหน้าทีมออกแบบ”“อะแฮ่ม...” เสียงกระแอมเบา ๆ ของวิเวียนดังขึ้น พร้อมสายตาเจ้าเล่ห์ที่ทอดส่งมาแซวใบหยก จนเธอต้องรีบดึงมือกลับมา ส่วนมินตราก็อมยิ้มราวกับกำลังสนุกกับบรรยากาศตรงหน้า แต่ใบหยกพยายามไม่ใส่ใจแบบแปลนหอนาฬิกาขนาดใหญ่ถูกนำออกมากางบนโต๊ะตัวยาว ที่มีแสงไฟสะท้อนเส้นลายดินสอที่วาดไว้อย่างพิถีพ