เสียงรองเท้าบู๊ตของหลงเฟยที่กระทบกับพื้นปูนเย็นเฉียบภายในอาคารร้างดังเป็นจังหวะเหมือนกับเสียงนับถอยหลังของหัวใจที่กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า ทุกย่างก้าวที่เดินลงบันไดฉุกเฉินนั้นเต็มไปด้วยความหนักอึ้งและเด็ดเดี่ยว เสียงระเบิดที่ดังกึกก้องจากชั้นล่างสะท้อนก้องไปทั่วทั้งตัวอาคาร แสงไซเรนจากรถตำรวจที่แล่นผ่านด้านนอกส่องลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างแคบ ๆ เป็นจังหวะสลับมืดสว่าง เหมือนกำลังเตือนให้เขารู้ว่าเวลาแห่งการตัดสินใจใกล้เข้ามาทุกทีในหูฟัง เสียงของ หลี่เกอ ลูกน้องคนสนิทของเขาดังขึ้นอย่างร้อนรน “นายใหญ่! พวกเราพร้อมแล้วทางฝั่งตะวันออก”“รอคำสั่งฉัน” หลงเฟย ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่มหาศาล เขาก้าวผ่านโถงทางเดินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพังจากแรงระเบิด กลิ่นดินปืนและควันไฟที่ยังคงอบอวลปะปนกับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว เสียงครางเบา ๆ ของชายคนหนึ่งที่กำลังหายใจรวยรินดึงดูดสายตาของหลงเฟยให้หันไปมอง เขาเห็นลูกน้องคนหนึ่งที่ถูกยิงกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ในมุมมืด“ไปเถอะ… นายใหญ่…” ชายคนนั้นพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบาก่อนที
หลงเฟยจับข้อมือซูหลิงแน่น ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่ถูกท้าทาย“เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอลงไปตายอย่างนั้นเหรอ?!” เสียงของเขาเข้มข้นจนซูหลิงรู้สึกเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ซูหลิงดึงมือออก พยายามมองเขาอย่างเด็ดเดี่ยว “ถ้าฉันไม่ไป หยวนซิงจะตาย และเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ในเรื่องนี้!”เสียงปืนดังใกล้เข้ามาทุกที เสียงฝีเท้ากระทบพื้นบันไดดังก้องผ่านทางเดิน หลงเฟยรู้ดีว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มาก“รอก่อน” เขาหยิบโทรศัพท์ออกมากดเรียกอย่างรวดเร็ว “หลี่เกอ ดำเนินแผน B ทันที... ใช่ ทุกหน่วย... และเอาของนั่นมาด้วย”ซูหลิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “แผน B?”หลงเฟยดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น อ้อมแขนของเขารัดเธอไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปจากอ้อมกอดนี้ “ฉันไม่เคยมีแผนส่งเธอไปแลกตัวจริงๆ... ฉันแค่ต้องการเวลาเพื่อหาตำแหน่งที่พวกเขาซ่อนซูหยวนซิงเท่านั้น”“แล้วตอนนี้ล่ะ?” ซูหลิงถามเสียงแผ่ว พยายามกลบเกลื่อนความกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจ“ตอนนี้เราต้องสู้” หลงเฟยตอบด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ซูหลิงรู้สึกเย็นยะเยือก เขายิ้มอย่างนักล่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ แต่ในแววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวลจนซูหลิงรู้สึกเจ็บปวด“แต่ฉันต้องการใ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งตอนตี 4 ตัดความเงียบในห้องนอนที่มืดมิด ซูหลิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกหนาวเหน็บ ข้างเธอคือที่ว่างเปล่า หลงเฟยไม่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงมีปืนสีดำวางเรียงเป็นแถว พร้อมกับกระสุนที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เธอไม่เคยเห็นอาวุธเหล่านี้มาก่อนคืนนี้... เป็นคืนตัดสินชะตาซูหลิงลุกขึ้นจากเตียง ร่างกายยังเจ็บจากค่ำคืนที่ผ่านมา รอยแดงช้ำบนผิวเป็นหลักฐานของการถูกครอบครอง ความจริงเรื่องจดหมายพ่อยังคงหนักอึ้งในอกพ่อพยายามปกป้องฉัน... แต่หลงเฟยก็ทำเช่นเดียวกันด้วยวิธีที่ผิดเธอเดินไปที่หน้าต่างมองออกไป เมืองที่พลุกพล่านตอนกลางคืนดูเงียบสงบผิดปกติ ผู้คนเบื้องล่างใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ต่างจากเธอที่ถูกกักขังในกรงทองแห่งนี้แต่ตอนนี้ กรงทองนั้นอาจกลายเป็นป้อมปราการเดียวที่ปกป้องเธอจากศัตรูภายนอกก็ได้ความมุ่งมั่นเก่าๆ ค่อยๆ กลับมา เธอจะยอมแพ้ไม่ได้ ไม่ว่าหลงเฟยจะบงการเธอแค่ไหน เธอก็จะไม่ยอมเป็นแค่หมาก เธอต้องทำความเข้าใจเกมนี้ให้ได้ และหาทางเอาคืนศักดิ์ศรีของตัวเองในตอนบ่าย ขณะที่ซูหลิงกำลังจ้องมองเอกสารที่เธอถ่ายรูปไว้เมื่อคืน เสียงประตูเปิดดังขึ้น หลงเฟยก้าวเข้ามา สวมชุดเ
รุ่งอรุณไม่ได้นำพาสิ่งใดมาสู่จิตใจของซูหลิง นอกจากความว่างเปล่าและความสับสน เธอตื่นขึ้นมาในความมืดมิดของห้องนอนที่ปราศจากหลงเฟย ร่างกายยังคงเจ็บระบมจากค่ำคืนที่ผ่านมารอยแดงช้ำปรากฏทั่วผิวขาวเนียน แต่สิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือบาดแผลในใจ ความจริงที่ว่าเธอถูกหลงเฟยหลอกใช้มาตลอด ทุกการกระทำของเธอคือหมากตัวหนึ่งในเกมของเขาซูหลิงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก เดินไปยังห้องน้ำ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยประกายไฟแห่งความมุ่งมั่นบัดนี้กลับพร่ามัวไปด้วยความเจ็บปวด เธอเปิดฝักบัว ปล่อยให้น้ำอุ่นชะโลมกาย พยายามชะล้างความรู้สึกสกปรกที่เกาะกินจิตใจแต่น้ำร้อนไม่อาจล้างความทรงจำได้หลังจากแต่งตัวด้วยชุดลำลองเรียบง่าย ซูหลิงเดินไปยังห้องครัว อาหารเช้ายังคงถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ เธอตักมันขึ้นมาอย่างเหม่อลอย กินไปเพียงไม่กี่คำก็ต้องวางช้อนลง ความรู้สึกขมขื่นในลำคอทำให้ไม่อาจกลืนอะไรลงไปได้อีกตลอดทั้งวัน ซูหลิงพยายามหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความคิด เธอเดินสำรวจเพนท์เฮาส์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แววตาคอยสังเกตทุกรายละเอียดตู้เอกสารติดล็อก... กล้องวงจรปิดมุมตาย... โต๊ะทำงานที่ไม่เคยเปิด...เธอรู้ว
ความเจ็บปวดจากการถูกกระทำและคำเยาะเย้ยของ เจิ้ง ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของ ซูหลิง เธอถูกลูกน้องของตระกูลเว่ยจับตัวมายังสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนโกดังเก่าที่ห่างไกลความเจริญ แสงสว่างสลัวๆ จากหลอดไฟนีออนที่กะพริบถี่ๆ ทำให้บรรยากาศดูน่าขนลุกยิ่งขึ้นไปอีก ร่างกายของซูหลิงระบมไปหมดจากการถูกกระชากลากถู แต่สิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือบาดแผลในใจที่ถูกตอกย้ำเรื่องครอบครัวของเธอเธอถูกโยนเข้าไปในห้องขังขนาดเล็กที่ทำจากเหล็กเย็นเฉียบ กลิ่นอับชื้นและกลิ่นสนิมคละคลุ้งไปทั่ว ซูหลิงล้มลงบนพื้น เธอไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้น สติของเธอเลือนราง ภาพของ หลงเฟย ที่กำลังต่อสู้อยู่ในโกดังฉายวนอยู่ในความคิด เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ปลอดภัยหรือไม่ ความรู้สึกเป็นห่วงเขาถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงจนน่าตกใจฉันทำอะไรลงไป... ฉันรักศัตรูของฉันได้ยังไง คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจของซูหลิง น้ำตาไหลซูหลิงลงมาอย่างเงียบๆ ความรู้สึกผิดต่อบิดามารดาที่ล่วงลับไปกัดกินจิตใจ เธอทรยศความแค้นที่เคยยึดมั่น เธอกำลังจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายคนที่เธอ...รักแต่แล้ว ทันใดนั้นเอง! ประกายไฟแห่งความมุ่งมั่นก็ลุกโชนขึ้นในดวงตาของซูหลิง เธอ
รุ่งอรุณของวันใหม่ไม่ได้นำพาความสดใสมาสู่จิตใจของซูหลิงเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกสุขสมจากค่ำคืนที่ผ่านมายังคงตรึงตรา แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดจาก 'รักต้องห้าม' ที่ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ ซูหลิง ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของ หลงเฟย ใบหน้าคมคายของเขาที่หลับพริ้มนั้นดูอ่อนโยนจนน่าใจหาย เธอใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามแนวขากรรไกรคมสันของเขา ความรู้สึกผิดที่ทรยศต่อความแค้นและครอบครัวถาโถมเข้าใส่จนซูหลิงอยากจะหายไปจากตรงนี้กลับไปที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว คำนี้ดังก้องอยู่ในใจของซูหลิง เธอรู้ว่าเธอได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งทุกอย่างที่เคยมี ความรู้สึกที่เธอมีต่อหลงเฟยนั้นลึกซึ้งเกินกว่าจะหวนกลับไปเป็นศัตรูกันได้ แต่เธอก็ไม่อาจลืมได้ว่าเขาคือใคร และทำอะไรกับชีวิตของเธอไว้บ้างหลงเฟยขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาคมกริบของเขาค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากเมื่อเขาเห็นซูหลิงจ้องมองอยู่ เขาเอื้อมมือมาลูบไล้แก้มของซูหลิงอย่างอ่อนโยน "คิดอะไรอยู่...ที่รัก" เสียงทุ้มต่ำของหลงเฟยแหบพร่าเล็กน้อยยามเช้าตรู่ ซูหลิงสะดุ้งเล็กน้อย เธอพยายามซ่อนความรู้สึกผิดบาปไว้ในแววตา "เปล่าค่ะ...แค่...""แ