"..." เจียงเยี่ยนฟางที่ใบหน้านองไปด้วยน้ำตาจนผ้าปิดหน้าเปียกลู่แนบไปกับหน้าก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นตามแรงดึง ต้องสบตาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวที่มิอาจเอื้อนเอ่ยความน้อยใจออกมา
"อย่าทำให้ข้าต้องเดือดร้อน จงอยู่อย่างไร้ตัวตนไปเถิด เส้นทางนี้เป็นเจ้าเลือกเอง ก็ต้องยอมรับชะตากรรมของเจ้าไป และเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าในใจของข้ามีแค่เสี่ยวชิงเพียงผู้เดียว ที่ตบแต่งเจ้าเข้ามาก็เพียงเพราะพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้เท่านั้น อย่าหวังว่าข้าจะชายตามองเจ้า รักเจ้า เห็นเจ้าเป็นพระชายาในจวนของข้าอีกคน!"
น้ำเสียงของเซียวลี่หยางนุ่มนวลน่าฟัง ดุจดั่งกำลังขับขานบทกวี แต่ก็กลับเด็ดขาดไปในตัว
ครั้นกล่าวจบเขาผลักหน้านางออกไปเหมือนสัมผัสโดนของสกปรก ซ้ำยังจับมือของนางออกจากหัวเข่าของตนเองอย่างแรง จนร่างที่เกาะเขาไว้เสมือนเป็นที่พักพิงก็ไม่ทันตั้งตัว เซล้มลงไปด้านข้างอย่างไม่เป็นท่า "ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนหลังเถิด ทำให้เหมือนว่าเจ้าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ข้าอาจจะพอมีเมตตา ไว้ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าให้ยังมีลมหายใจอยู่ได้"
"ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว" เจียงเยี่ยนฟางสะอื้น พูดแทบไม่จบประโยค พยายามจะเข้าหาอีกฝ่าย แต่เขาก็ถอยรถเข็นหนีไป ทำให้นางได้แต่ก้มตัวลงเอาหัวโขกอยู่กับพื้นเพื่อจะอ้อนวอนขอร้องเขา วิงวอนให้เขาเห็นใจนาง "ท่านอ๋องได้โปรด ทรงเมตตา..."
เซียวลู่หยางขมวดคิ้ว พลางปรายตามองสตรีที่ตัวสั่นไม่หยุด ก่อนจะตะโกนเรียกหาคนด้านนอก ตัดคำอ้อนวอนของนางทิ้งไป "มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง!"
สิ้นคำของเขา ก็ราวกับว่าคนด้านนอกรอจังหวะอยู่แล้ว บ่าวคนเดิมวิ่งจ้ำอ้าวเข้ามาในทันที
"ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว ท่านอ๋องได้โปรดอภัยในความสะเพร่าของหม่อมฉัน ให้... ให้หม่อมฉันไปเอาสุรามงคลใหม่มาให้ดีไหมเพคะ" เจียงเยี่ยนฟางเห็นคนเข้ามาก็ยิ่งร้อนรน พยายามกล่าวคำพูดที่คิดไว้ในหัวตั้งแต่แรกอีกครั้ง นางเงยหน้าหันซ้ายทีหันขวาทีอย่างลนลาน
"ไม่ต้อง" เซียวลู่หยางเอ่ยกับนางด้วยเสียงเย็น ก่อนจะพยักหน้าให้กับหงเปา คนสนิทของตนที่เพิ่งเดินมาถึง ให้มาพาตัวเขาออกไป "อย่าลืมสั่งให้คนเข้ามาทำความสะอาดด้วย"
"พ่ะย่ะค่ะ" หงเปารับคำ เตรียมพาเจ้านายจากไป
"เตรียมเรือนไม้ด้านหลังให้นางอยู่ พิธีแค่นี้ก็ทำให้เสร็จสิ้นไม่ได้!" ยังมิลืมทิ้งท้ายคำพูดเพื่อให้คนด้านหลังตระหนักถึงความผิดของตนเองอีกครา
"พ่ะย่ะค่ะ" หงเปารับคำอีกรอบ พลางดึงสายตาที่มองร่างของเจ้าสาวบนพื้นกลับมาสนใจเส้นทางด้านหน้าแทน
"ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย ท่านอ๋อง..." เจียงเยี่ยนฟางคลานตามไปอย่างทุลักทุเล เพราะอาภรณ์อันรุ่มร่ามและเครื่องหัวที่ไม่จำเป็นเลยทำให้เคลื่อนไหวลำบาก โดยไม่ทันระวัง มือก็ไปทาบโดนสุราที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นเข้าพอดี ทำให้ลื่นล้มตัวเซไปด้านหน้า นำพาให้สุราบนพื้นเปรอะเปื้อนไปบนชุดจนตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ กระนั้นก็ยังร้องเรียกอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน
จวบจนประตูห้องหอปิดลง...
เสียงพ่นลมหายใจดัง 'เฮอะ' ก็เล็ดลอดออกมาจากผู้ที่เมื่อครู่เพิ่งจะร่ำไห้ไปหนึ่งที พร้อมกับร่างของเจ้าสาวที่ลุกขึ้นมานั่ง ปัดฝุ่นและคราบน้ำบางส่วนออกจากอาภรณ์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ในหัวยังก้องสะท้อนถึงเสียงของตนเองที่เรียกอีกฝ่ายไปหลายตลบพาให้รู้สึกแสลงหูขึ้นมา หากแต่ดวงตาที่เจือไปด้วยหยาดน้ำตาจอมปลอม กลับยังคงจ้องมองไปยังประตูห้องหอที่แต่งแต้มผ้าแดงอย่างไร้อารมณ์
...แต่แล้วคิ้วก็ขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
"หรือทำเช่นนี้ไม่ถูกกันนะ..." เมื่อครู่นางยังดีใจที่ไม่ต้องเข้าห้องหอกับเขา ทว่าต่อมาก็เพิ่งจะนึกถึงจุดประสงค์ของตนเองขึ้นมาได้ เหตุการณ์ในตอนนี้จึงไม่สอดคล้องกันเท่าไรนัก
ในห้วงความคิด เสียงแสบหูที่นึกรังเกียจก็วนเวียนอยู่ภายในหัวของนาง เป็นเสียงของสตรีที่จงเกลียดจงชังเจียงเยี่ยนฟางหนักหนา
'พี่หญิง ท่านจงนึกสำนึกบุญคุณของข้าที่ทำให้ท่านได้มีตำแหน่งพระชายาติดตัวเถิด หากมิใช่ข้าสงสารที่ท่านออกไปเร่ร่อนตัวคนเดียวมาช้านาน มีหรือข้าจะยอมเสียสละตำแหน่งพระชายาให้ท่าน'
ก่อนจะตามมาด้วยอีกคนที่ก็คงรังเกียจนางไม่แพ้กัน
'เจียงเยี่ยนฟาง เจ้ารู้ใช่รึไม่ว่าทำไมตัวเจ้าต้องตบแต่งเข้าตำหนักของชินอ๋อง หลายปีมานี้ มารดาของเจ้าก็เป็นข้าที่ดูแลให้เรื่อยมา ตอนนี้... ถึงเวลาตอบแทนบุญคุณแล้วไม่ใช่หรือไร'
สิ้นเสียงของสตรีทั้งสองนาง น้ำเสียงของบุรุษอีกคนหนึ่งก็ผุดแทรกขึ้นมา
'วางตัวให้ดี อย่าให้ตระกูลต้องขายหน้า!'
คนสุดท้ายนี้ แม้แต่นามของนาง เขาก็ไม่อยากแม้แต่จะเรียกออกมา
เจียงเยี่ยนฟางใช้มือข้างที่ไม่เปื้อนสุรายกขึ้นมาปาดน้ำตาปลอม ๆ ที่เกือบจะแห้งเหือดไปแล้วออกจากใต้ตา ในแววตายามนี้ไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ ครั้นเมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้กำลังจะเข้ามาทำความสะอาดห้องให้ นางก็รีบลุกขึ้นยืน หมุนตัวกลับเข้าไปที่ห้องด้านใน
༻❁༺
อีกฝั่งที่นอกห้องหอ
"ท่านอ๋อง ทำเช่นนี้หากเรื่องถึงหูของฮ่องเต้จะไม่เป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ" หงเปาเอ่ยถามเสียงเบา
เซียวลี่หยางไม่ได้ตอบคำถามแรกในทันที "ไหนลองบอกเรื่องเกี่ยวกับนางที่เจ้ารู้มาที"
"พ่ะย่ะค่ะ เจียงเยี่ยนฟางถูกตระกูลเดิมฝั่งมารดารับไปเลี้ยงตั้งแต่เยาว์วัย เนื่องจากในช่วงวัยเด็กนางป่วยหนักจนมีนักพรตมาทำนายว่าหากอยู่ในตระกูลเจียงต่อไป จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นปีนั้น จำต้องส่งนางไปที่อื่น สุดท้ายก็เลือกส่งนางไปบ้านเดิมของฟู่ฮูหยิน ให้ช่วยดูแลนางแทน"
"แล้วเจ้าว่ามันไม่น่าแปลกไปหน่อยหรือ ที่พอนางเติบโตมาอย่างแข็งแรงแต่กลับไม่ถูกรับกลับมาเสียที กระทั่งฮ่องเต้โยนงานมงคลของข้าไปให้ตระกูลเจียงแบกรับไว้ นางถึงได้ถูกเรียกตัวขึ้นมาเมืองหลวง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ต่างก็ไม่เคยมีใครรับรู้การมีอยู่ของนางมาก่อน"
"...ตอนที่ฮ่องเต้ทรงประกาศให้ทั่วแคว้นรู้เรื่องนี้ ชาวบ้านต่างก็คิดว่าจะต้องเป็นคุณหนูเจียง" ที่หงเปาหมายถึงก็คือเจียงเจียวเหม่ย ผู้ที่ทุกคนคิดว่าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของขุนนางเจียงมาหลายปี
ทางฝั่งเจียงเยี่ยนฟางคราแรกนางยังคงทรงตัวได้ดี ไม่ได้ล้มพับลงไป แต่พอเห็นอีกฝ่ายดูเหมือนจงใจล้ม นางก็ล้มไปด้วยเสียเลย! ทว่านางไม่ได้โชคดีที่จะมีคนช่วยเป็นเบาะรองนั่งให้ จึงล้มลงไปกระแทกพื้นไม้หน้าเรือนอี้เต็ม ๆ"เจ้า! เหตุใดจึงเดินไม่มองทางเช่นนี้!" สาวใช้ที่กำลังประคองร่างเจ้านายตนเองอยู่ก็ตวาดออกมา หากแต่เมื่อหันไปมองฝั่งตรงข้ามแล้วได้พบว่าหงเปาก็ยืนอยู่หน้าเรือนด้วย นางก็รีบเงียบเสียงลงทันที เมื่อครู่ตอนที่พวกนางเดินมาใกล้ถึงหน้าเรือนก็ไม่ทันเห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้นมาก่อน ด้วยเพราะเจ้าตัวโดนคนตัวสูงอีกคนบังจนมิด"ใจเย็นเถิดหลิงหลิง นางคงไม่ได้ตั้งใจ" กู่เยว่ชิงตบมือคนของตนเบา ๆ ท่าทางกริยานุ่มนวล น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยก็อ่อนหวานระรื่นหูน่าฟัง ใบหน้างดงามยังประดับรอยยิ้มบางเบา พลางแอบชำเลืองมองดูหงเปาที่รีบขยับเท้ามาใกล้พวกนางอย่างรีบร้อน พอเห็นว่าเขากำลังจะมาช่วยตนเอง มุมปากก็ยกขึ้นอีกนิด"พระชายา..." แต่หงเปากลับเลือกช่วยคนบนพื้นอีกคนแทน เพราะเห็นว่าสาวใช้อีกสองคนด้านหลังที่เดินตามพระชายากู่มา ไม่มีใครคิดจะมาช่วยคนเจ็บคราแรกคนกลุ่มนั้นยังคิดว่าหงเปาเอ่ยเรียกเจ้านายของตน แต่เมื่อเห็นอ
"เจ้ามาเอาข้าวไปให้คุณหนูใหญ่เจียงหรือ" สตรีวัยกลางคนเดินเข้ามาถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม มือเท้าสะเอวท่าทางเบ่งอำนาจข่มผู้มาอยู่ใหม่ แต่ในใจกลับกำลังหวาดหวั่นว่าคนผู้นี้ได้ยินที่พวกนางพูดคุยกันไปถึงไหนต่อไหนบ้าง แล้วจะปากสว่างหรือไม่เจียงเยี่ยนฟางส่ายหน้า นางจะกินตอนนี้เลย เพราะยังมีเรื่องที่ต้องไปทำอยู่ "ข้าแค่จะมากินข้าวเช้า ส่วนผักนี่ มีคนฝากข้ามาส่ง"สตรีที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าแม่ครัวได้ฟังแล้วก็รับตะกร้ามาถือไว้เอง พลางพูดเสียงแหลมหูว่า "จวนอื่นเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ แต่จวนชินอ๋องปกติต้องรอให้เจ้านายกินเสร็จก่อน แต่เอาเถอะ มาถึงแล้วก็มากินก่อน แต่รอบหน้าไม่ได้แล้ว" พูดจบนางก็หมุนตัวเดินนำไปเจียงเยี่ยนฟางตอบรับเสียงเบาในลำคอ เดินตามหลังนางไปติด ๆ พอได้ถาดอาหารมาแล้วก็เดินไปนั่งกินที่ด้านนอกครัวแทน อาหารของบ่าวก็ไม่ได้ดีอะไรมากนัก แต่เจียงเยี่ยนฟางก็กินเหมือนเคยชินในรสชาติอันแสนธรรมดาตรงหน้าอยู่แล้วกระทั่งบ่าวรับใช้ชายคนนั้นกลับมา นางก็กินเสร็จแล้วพอดีและเพิ่งจะสวมผ้าปิดหน้ากลับคืนไป ครั้นเมื่อยืนขึ้นรับขวดสุรามาเปิดดมดูก็ขมวดคิ้วมุ่น "พี่ชาย ท่านแน่ใจว่าเป็นสุรามงคลแบบเดียวกันกับเม
"ท่านอ๋องสั่งให้คนเตรียมเรือนให้ข้า นี่คือสิ่งที่เจ้าทำได้ดีที่สุดแล้ว?" เจียงเยี่ยนฟางเอ่ยเนิบช้า ดวงตาจ้องมองบ่าวที่เริ่มตัวสั่นด้วยความกลัว "ไปพาคนมาทำความสะอาดเรือนให้ข้าใหม่""เพ... เพคะ พระชายา หม่อม หม่อม หม่อมฉันทราบแล้ว" สาวใช้พยายามเค้นเสียงตอบ ไม่คิดว่าสตรีที่แม้จะตัวสูงกว่านางแต่ผอมบางพอ ๆ กันจะมีแรงมากถึงขนาดนี้ หัวไหล่ของนางทั้งปวดทั้งชาไปหมด ซ้ำยังคิดว่าหากถูกบีบนานกว่านี้อีกนิด หัวไหล่ของตนคงหลุดเป็นแน่"อ่อ อีกอย่าง..." เจียงเยี่ยนฟางโน้มใบหน้าลงไปกระซิบบอก "เรื่องนี้อย่าแพร่งพรายเล่า""เพคะ..." แรงกดที่บ่าทำเอานางแทบจะเอ่ยปากไม่ออก รีบก้มคำนับขอตัวจากไปทันทีที่มือดั่งเหล็กกล้าของคนตรงหน้าคลายออกแล้วครั้นเมื่อคนจากไปแล้ว เจียงเยี่ยนฟางก็เดินกลับไปอีกทาง โผล่อีกทีที่ห้องครัวท้ายจวนในทิศฝั่งตรงข้ามแทนไอความร้อนสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาเหนือเตา กลิ่นหอมของอาหารที่อยู่ในเตาแผ่กระจายอบอวลในอากาศเสียงมีดสับลงเขียง เสียงของกระทะและกระบวยดังมาประปราย หรือกระทั่งเสียงการพูดคุยของผู้คนที่ดังมาไม่ขาดสาย ก็ช่วยบ่งบอกถึงการมีอยู่ของผู้คนได้เป็นอย่างดีณ ที่แห่งนี้ค่อยสมกับเป็นจวนของชิ
2 สุรามงคล มอบใหม่แด่ท่านแล้วหน้าห้องหอที่ไร้เจ้าบ่าว สาวรับใช้นางหนึ่งมาตะโกนปลุกเจียงเยี่ยนฟางตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เพื่อจะพาอีกฝ่ายไปที่เรือนด้านหลังตามรับสั่งของเจ้านายด้วยเจียงเยี่ยนฟางเดิมก็เป็นคนที่ตื่นก่อนฟ้าจะทันได้เปลี่ยนสีอยู่ตลอด ดังนั้นจึงลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สักพักแล้ว อาภรณ์บนกายของนางไม่ได้ดูหรูหราสมกับเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลขุนนางอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่คล้ายชุดของบุรุษชาวบ้านทั่วไปเสียมากกว่า เนื้อผ้าก็ทั้งหยาบทั้งหนา สีก็ดูหม่นหมอง แถมยังใช้ผ้ารัดไว้ที่ข้อมือเหมือนกับชาวบ้านที่ต้องทำงานแบกหามทั้งวันนั้นก็ด้วยอีก คงมีเพียงผ้าปิดหน้าสีม่วงที่ดูดีอยู่เพียงชิ้นเดียวบนตัวนาง"เมื่อครู่คนจากวังหลวงเพิ่งจะมาส่งข่าวว่า ไทเฮาทรงพระอาการไม่ค่อยดี อยากพักผ่อน ไม่ต้องรบกวนเจ้าไปยกน้ำชาตามพิธี" สาวใช้ว่าพลางหมุนตัวเดินนำไปที่เรือนไม้ด้านหลังสุดของจวนทางทิศซี [1]"..." เจียงเยี่ยนฟางไม่ได้ตอบ นางคร้านจะใส่ใจผู้อื่นเป็นทุนเดิม เพียงเดินตามเงียบ ๆ พอไม่ต้องอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องผู้นั้นนางก็ค่อยมีเวลาที่เลิกเสแสร้งบ้างระหว่างเดินอยู่ก็กำลังคิดว่า ต่อให้ตระกูลเจียงเป็นถึงขุน
แรกเริ่มเดิมทีชาวบ้านต่างก็รู้เพียงแค่นั้นจริง ๆ ทว่าพอมีพระราชโองการออกมา เจียงเยี่ยนฟางกลับโผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ได้ รู้กันอีกที นางก็คือบุตรสาวคนโตของตระกูลเจียง และเป็นผู้ที่ได้รับพระราชทานสมรสลงมาแบบส้มหล่น [1] แทนน้องสาวไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าเพราะนางเป็นบุตรคนโต การแต่งงานครั้งนี้จึงตกไปที่นางแทนเจียงเจียวเหม่ยทันทีและไม่กี่วันก่อนถึงเพิ่งมีข่าวลือเกี่ยวกับนางหลุดรอดออกมา นั่นก็คือสิ่งที่หงเปาพูดไปก่อนหน้านี้"หากไม่เกิดเรื่องขึ้น เจียงเยี่ยนฟางคงถูกปล่อยทิ้งไปทั้งอย่างนั้น ขุนนางเจียงมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ทั้งก้าวหน้าและมีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่ไร้บุตรชายสืบสกุล หากจะทำให้ตระกูลมั่นคงก็ต้องใช้บุตรสาวช่วยค้ำจุน จำต้องให้บุตรสาวไปตบแต่งสามีดี ๆ เข้ามาแทน และทั้งที่มีบุตรสาวถึงสองคน เหตุใดถึงได้ปล่อยปละละเลยอีกคนไป ไม่ใช้ประโยชน์จากนางตั้งแต่แรกกัน" เซียวลี่หยางหยิบกระดาษเล็กแผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ แล้วยื่นไปให้หงเปารับไว้หงเปาที่เพิ่งจะพาเจ้านายกลับมาถึงเรือนอี้พอดีก็รับไปเปิดอ่าน "นางไม่ใช่บุตรสาวของฟู่ฮูหยิน" เขาจำเจ้าของลายมือในกระดาษแผ่นนี้ได้ เป็นเติ้งอู๋ที่ถู
"..." เจียงเยี่ยนฟางที่ใบหน้านองไปด้วยน้ำตาจนผ้าปิดหน้าเปียกลู่แนบไปกับหน้าก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นตามแรงดึง ต้องสบตาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวที่มิอาจเอื้อนเอ่ยความน้อยใจออกมา"อย่าทำให้ข้าต้องเดือดร้อน จงอยู่อย่างไร้ตัวตนไปเถิด เส้นทางนี้เป็นเจ้าเลือกเอง ก็ต้องยอมรับชะตากรรมของเจ้าไป และเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าในใจของข้ามีแค่เสี่ยวชิงเพียงผู้เดียว ที่ตบแต่งเจ้าเข้ามาก็เพียงเพราะพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้เท่านั้น อย่าหวังว่าข้าจะชายตามองเจ้า รักเจ้า เห็นเจ้าเป็นพระชายาในจวนของข้าอีกคน!"น้ำเสียงของเซียวลี่หยางนุ่มนวลน่าฟัง ดุจดั่งกำลังขับขานบทกวี แต่ก็กลับเด็ดขาดไปในตัวครั้นกล่าวจบเขาผลักหน้านางออกไปเหมือนสัมผัสโดนของสกปรก ซ้ำยังจับมือของนางออกจากหัวเข่าของตนเองอย่างแรง จนร่างที่เกาะเขาไว้เสมือนเป็นที่พักพิงก็ไม่ทันตั้งตัว เซล้มลงไปด้านข้างอย่างไม่เป็นท่า "ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนหลังเถิด ทำให้เหมือนว่าเจ้าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ข้าอาจจะพอมีเมตตา ไว้ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าให้ยังมีลมหายใจอยู่ได้""ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว" เจียงเยี่ยนฟางสะอื้