ทางฝั่งเจียงเยี่ยนฟางคราแรกนางยังคงทรงตัวได้ดี ไม่ได้ล้มพับลงไป แต่พอเห็นอีกฝ่ายดูเหมือนจงใจล้ม นางก็ล้มไปด้วยเสียเลย! ทว่านางไม่ได้โชคดีที่จะมีคนช่วยเป็นเบาะรองนั่งให้ จึงล้มลงไปกระแทกพื้นไม้หน้าเรือนอี้เต็ม ๆ
"เจ้า! เหตุใดจึงเดินไม่มองทางเช่นนี้!" สาวใช้ที่กำลังประคองร่างเจ้านายตนเองอยู่ก็ตวาดออกมา หากแต่เมื่อหันไปมองฝั่งตรงข้ามแล้วได้พบว่าหงเปาก็ยืนอยู่หน้าเรือนด้วย นางก็รีบเงียบเสียงลงทันที เมื่อครู่ตอนที่พวกนางเดินมาใกล้ถึงหน้าเรือนก็ไม่ทันเห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้นมาก่อน ด้วยเพราะเจ้าตัวโดนคนตัวสูงอีกคนบังจนมิด
"ใจเย็นเถิดหลิงหลิง นางคงไม่ได้ตั้งใจ" กู่เยว่ชิงตบมือคนของตนเบา ๆ ท่าทางกริยานุ่มนวล น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยก็อ่อนหวานระรื่นหูน่าฟัง ใบหน้างดงามยังประดับรอยยิ้มบางเบา พลางแอบชำเลืองมองดูหงเปาที่รีบขยับเท้ามาใกล้พวกนางอย่างรีบร้อน พอเห็นว่าเขากำลังจะมาช่วยตนเอง มุมปากก็ยกขึ้นอีกนิด
"พระชายา..." แต่หงเปากลับเลือกช่วยคนบนพื้นอีกคนแทน เพราะเห็นว่าสาวใช้อีกสองคนด้านหลังที่เดินตามพระชายากู่มา ไม่มีใครคิดจะมาช่วยคนเจ็บ
คราแรกคนกลุ่มนั้นยังคิดว่าหงเปาเอ่ยเรียกเจ้านายของตน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางนอบน้อมและนั่งลงข้างคนที่ล้มก็เริ่มมองหน้ากัน ต่างรู้แล้วว่าคนตรงหน้าเป็นใคร! ก่อนหน้านี้ยังแค่คิดว่าเป็นสตรีตัวสูงที่ไหน ตั้งใจจะมายั่วยวนท่านอ๋องถึงเรือนหลัก แต่ไม่คิดว่าแท้จริงแล้วจะเป็นพระชายาคนใหม่ที่เพิ่งถูกกักบริเวณไป
"ข้าไม่เป็นไร" เจียงเยี่ยนฟางดันมือของหงเปาออกเบา ๆ ถึงนางจะไม่ได้รู้เรื่องมารยาทหรือการวางตัวให้สมกับเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่งมี แต่ก็รู้ว่าสตรีที่แต่งงานแล้วไม่ควรใกล้ชิดบุรุษอื่นนอกจากสามี นางจึงจะลุกขึ้นมาเอง
ครั้นเมื่อวางมือลงบนพื้นเตรียมจะลุก กลับสัมผัสโดนบางอย่างเข้าพอดี ดวงตาพลันปาดไปมองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ตกต้องสู่สายตาคือขวดยากระเบื้องเคลือบสีเขียวอ่อน บนปากขวดถูกผนึกด้วยผ้าสีแดง คล้ายไม่ใช่ยาบำรุงทั่วไป
คิ้วเรียวกระตุกเพียงนิดพร้อมคว้าขวดยามากุมไว้ในมือ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ผสานมือให้คนตรงหน้า "ขออภัยพี่หญิงเจ้าค่ะ"
"คุณหนูใหญ่เจียง?" กลับเป็นสาวใช้ข้างกายของกู่เยว่ชิงที่เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยแทน
"..." เวลานี้... เจียงเยี่ยนฟางจึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดคนในจวนถึงเรียกนามเดิมของนาง "ตอนนี้เป็นพระชายารองแล้ว" นางจึงตอบกลับไปเช่นนั้น ไม่ลืมปรายตามองใบหน้าไม่สบอารมณ์ของสาวใช้นางนั้นไปหนึ่งทีอีกด้วย
"น้องหญิง ไม่เจ็บตรงไหนใช่หรือไม่" กู่เยว่ชิงปล่อยผ่านประโยคที่จงใจเน้นเสียงของเจียงเยี่ยนฟางไป เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"ทำให้พี่หญิงเป็นห่วงแล้ว" เจียงเยี่ยนฟางอมยิ้มที่มุมปากภายใต้ผ้าปิดหน้า ส่ายหน้าตอบกลับไปแผ่วเบา
"น้องหญิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกพี่ลี่หยางสั่งให้ไปอยู่เรือนไม้ด้านหลัง ที่นั่นทั้งเก่าและทรุดโทรม วันนี้ข้าจึงตั้งใจจะมาช่วยพูดให้พี่ลี่หยางใจเย็นลงอีกสักหน่อย ปกติพี่ลี่หยางไม่ใช่คนใจร้าย คงเพราะช่วงนี้โรคเดิมกำเริบหนัก จึงพาลให้อารมณ์ไม่ดีไปด้วย ขอน้องหญิงอย่าถือสา"
"เยี่ยนฟางมิบังอาจ ผู้ต่ำต้อยเช่นข้าไหนเลยจะกล้าไปถือสาท่านอ๋องได้ เมื่อวานก็เป็นข้าที่ไม่ระวังเอง" เจียงเยี่ยนฟางคราวนี้แสร้งฉีกยิ้มขึ้นอีกนิดเพื่อให้ดวงตายกขึ้นเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ แต่เพราะไม่เคยชินที่จะยิ้มจึงรู้สึกเกร็งไปทั่วทั้งหน้า
"น้องหญิงไม่โกรธเคืองก็ดีแล้ว เมื่อเช้าข้าได้ยินข่าวมาว่าองค์ไทเฮาทรงพระประชวร วันนี้เจ้าจึงไม่ได้ไปยกน้ำชา..." กู่เยว่ชิงมีสีหน้ากังวล เรื่องพิธียกน้ำชาให้ญาติฝั่งเจ้าบ่าวในวันต่อมาของงานมงคลนั้นสำคัญมากนัก แต่สตรีผู้นี้กลับไม่สามารถทำตามธรรมเนียมได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับการยอมรับขนาดไหน และอีกฝ่ายก็เป็นถึงไทเฮา จะมีใครกล้าว่าพระนางขาดตกบกพร่องเรื่องธรรมเนียมได้กัน สตรีตรงหน้าก็คงทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนต่อไปเท่านั้น "ตอนแรกข้าก็กังวลว่าจะไม่ได้เจอเจ้าในวันแรกหลังแต่งเข้ามาอยู่เหมือนกัน ดียิ่งนักที่ตอนนี้ได้เจอแล้ว"
"เยี่ยนฟางเองก็คิดว่าจะไปพบพี่หญิงเช่นกันเจ้าค่ะ แต่เมื่อครู่บ่าวชายผู้นี้เพิ่งบอกว่าเยี่ยนฟางไม่ควรเดินไปทั่ว" แท้จริงแล้วนางไหนเลยจะมีความคิดมีจะไปพบภรรยาคนแรกของสามี ที่พูดไปก็ล้วนโปปดทั้งหมด ขนาดเมื่อเช้าตอนได้ยินว่าไทเฮาทรงประชวรนางยังดีใจอยู่เลย!
"เช่นนั้นน้องหญิงก็กลับไปพักก่อนเถิด ไว้วันหลังข้าจะไปดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนเจ้า"
"..." เจียงเยี่ยนฟางผสานมืออีกครั้ง มองดูกลุ่มคนเยื้องย่างเชื่องช้าจนน่าหงุดหงิดใจเดินผ่านหน้าตนไป แต่แล้วก็ทำทีเป็นเหมือนนึกอะไรได้ ร้องเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อน "เดี๋ยวก่อน..."
"น้องหญิงรู้สึกไม่สบายตัวตรงไหน..." กู่เยว่ชิงที่ยังถูกจูหลิงประคองอยู่ก็หันกลับมาถาม
"เมื่อครู่ข้าเก็บสิ่งนี้ได้ แต่เพราะไม่มีจังหวะถาม จึงกำไว้ในมือจนลืมไปแล้ว" เจียงเยี่ยนฟางคลายมือที่ยื่นส่งไปด้านหน้าออก เผยให้เห็นขวดยาใบเล็กสีเขียวที่ใหญ่กว่านิ้วโป้งมือขึ้นมานิดหนึ่งอยู่กลางฝ่ามือ "ไม่ทราบว่าเป็นของพี่หญิงหรือไม่เจ้าคะ"
และไม่รู้ว่าเพราะโดนกำไว้นานเกินไปหรือเปล่า เวลานี้สีของขวดยาจึงเข้มขึ้นมาเล็กน้อย
จูหลิงพอได้เห็นของในมืออีกฝ่ายแล้ว ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ! "เป็นยาแก้ไอเย็นของพระชายา!" นางหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ที่ติดตามมาด้วยรีบไปรับขวดยาคืนมา คล้ายว่าหากมันอยู่ในมือของสตรีนางนั้นนานเกินไปจะแปดเปื้อนเอาได้
"เช่นนั้นพี่หญิงรักษาตัวด้วย" เจียงเยี่ยนฟางมองขวดยาที่โดนหยิบออกจากมือไปเรียบร้อยแล้ว ก็หมุนตัวจากไป
----
*เป็นไง เจอนางเอกเราเข้าไป ไม่ใช่ขี้ๆ เด้อ สตอมาสตอกลับไม่โกง ไม่จ้อละจี้ อิอิ ล่ะคือรีวิวลงตต.มันลงมากไม่ได้ ลงได้แค่เนื้อหาโดยรวม คนก็คิดว่านางเอกเราอ่อนแอ เลยไม่มาอ่าน ไม่ค่า~~ นางเอง = ตัวร้ายของเรื่อง 55555 (─‿‿─)
ยามนี้ผ่านไปนานเกือบสิบเอ็ดปี จดหมายฉบับแรกนอกเหนือจากเงินที่เขาส่งมาให้ ก็คือเรียกข้ากลับไปแต่งงาน แต่ข้าไม่อยากแต่ง ข้ามีคนที่ข้ารัก...คนผู้นั้นเป็นเหมือนดั่งพี่ชายของข้า เป็นเหมือนดั่งสหายของข้า พวกเราเจอกันตั้งแต่ข้าอยู่ที่เมืองหลวง จนข้าจากไปไกลจึงทำได้เพียงเขียนจดหมายกลับไปหาเขา นับแต่นั้นมา ก็มีเขาที่ยังคอยห่วงหาข้าตลอด เราให้สัญญากัน ข้าเองก็รับปากแล้วว่าจะเป็นภรรยาของเขา" เวลามีเรื่องคิดไม่ตก เจียงเยี่ยนฟางมักจะติดนิสัยเดิม โดยชอบหยิบผ้าผูกผมที่ป้าซูทำให้มาจับเล่นอย่างเผลอตัว ในตอนนี้เองก็เช่นกันเสวี่ยหว่านมองตามมือของนางไปก็พบว่าสิ่งที่นางจับอยู่คือผ้าผูกผมรูปดอกไม้ที่มีปักลายเฉพาะ ผ้าผูกผมชิ้นนั้นดูไม่เข้ากับชุดที่เจียงเยี่ยนฟางขอสลับของนางไปใส่แม้แต่น้อย จังหวะต่อมาจึงเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายแล้วถาม "...แล้วคนผู้นั้นตอนนี้เขารู้หรือไม่ว่าท่านกำลังจะไปแต่งงาน"เสวี่ยหว่านเป็นหมอยาพิษ การทำงานในจุดนี้ของนางย่อมพบเจอคนตายมาไม่น้อย จิตใจนับว่าด้านชาจนแทบไร้ความรู้สึก ยิ่งไม่สนใจเรื่องความรัก ยิ่งเมื่อได้ฟังก็เกิดสับสน บุรุษผู้นั้นดูแล้วน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถเข้าออกจวนขุนนางจ
เรื่องนี้เป็นความลับของนาง แต่ก็ไม่คิดจะปิดบังคนที่ช่วยชีวิตตนเองไว้ อีกทั้งนางก็ทะนงตนว่า สตรีตัวเล็กเช่นคนตรงหน้าไม่มีทางทำอะไรตนเองได้ หรือต่อให้อีกฝ่ายเอาเรื่องนางไปป่าวประกาศบอกผู้อื่นจนนางเดือดร้อน นางก็คิดว่านางสามารถแบกรับไหว"!!!" สองคนในรถม้าต่างตกใจ คนที่จะทำงานด้านนี้ได้มือต้องแปดเปื้อนมาไม่น้อย แต่สตรีตรงหน้าถึงจะไม่ค่อยยิ้ม ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับน่าฟัง ท่าทางไม่ถึงขั้นอ่อนหวานเหมือนสตรีที่ได้รับการอบรม แต่ท่าทางก็ดูนุ่มนวลไม่หยาบกระด้าง การพูดการจาก็ดูมีมารยาทไม่ทำตัวโผงผาง หากบอกว่าเป็นบุตรสาวตระกูลร่ำรวยพวกนางก็เชื่อ ไหนเลยจะถูกอีกฝ่ายใช้รูปลักษณ์ภายนอกมาตบตาเข้าให้แล้ว"คุณหนูทั้งสองไม่ต้องตกใจไป ผู้ที่มีบุญคุณ เสวี่ยหว่านผู้นี้ ย่อมไม่คิดร้ายด้วย อีกทั้งก็เป็นเพียงผู้ทำยาพิษและยาแก้พิษ ไม่ใช่ผู้ใช้พิษเสียหน่อย" เรื่องหลังนั้น... แน่นอนว่า ย่อมโกหกไปเจ็ดส่วน!อีกสองสามวันต่อมา เสวี่ยหว่านผู้นี้ก็ไม่ยอมจากไปเสียที จนซูเจียวเริ่มทนไม่ไหว ในตอนที่อยู่บนรถม้าก่อนจะลงไปเช่าโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านกวนพักผ่อน นางก็เอ่ยปากถามด้วยตนเอง"พี่เสวี่ยหว่าน ท่านคิดจะไปที่ใดกันแน
"เป็นคน เมื่อครู่ ข้ามั่นใจ!" เจียงเยี่ยนฟางตะโกนบอกไประหว่างทาง ดวงตาจ้องมองมือที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำเพียงสองครั้งแล้วจมหายไป แต่ใต้ผืนน้ำที่ไหลแรงก็ยังพอมองเห็นเงาร่างสีม่วงเข้มได้เลือนราง"คน? คนอะไรไปอยู่... ไม่ ๆ ๆ คนที่ไหนจะโดนน้ำพัดขนาดนี้แล้วยังรอด คุณหนู อย่า ไม่!" ซูเจียวเพิ่งจะรู้สึกไปเมื่อครู่เองว่า สายน้ำเส้นนี้นั้นไหลแรงเกินไปจนน่ากลัวไม่อยากเข้าใกล้ และไม่อยากแม้แต่จะข้ามสะพานไม้นั้นอีกรอบอยู่เลย แต่คุณหนูของนางพูดแค่ 'เป็นคน' แล้วก็กระโจนลงน้ำไปได้อย่างไร!ซูเจียววิ่งตามไปหยุดอยู่ตรงจุดที่เจียงเยี่ยนฟางเพิ่งจะกระโดดลงไปเมื่อครู่ "คุณหนู คุณหนู!" นางตะโกนหาอีกฝ่ายพร้อมดวงตาก็กวาดมองไปทั่วผืนน้ำ หัวใจเต้นไม่หยุดด้วยความกลัว ถึงแม้นางจะบอกว่าตนไม่ค่อยชอบเจียงเยี่ยนฟางเพราะรู้สึกว่าตนอยู่ต่ำกว่าเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาคับขันแห่งความเป็นความตาย นางกลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่โตมาด้วยกันอย่างน่าประหลาดซูเจียวถอดรองเท้าและเสื้อตัวนอกออก หวังกระโดดลงน้ำไปดึงเจียงเยี่ยนฟางขึ้นมา ในระหว่างที่กำลังถอดเสื้อตัวนอกออกอยู่นั้น ก็ไม่หยุดสายตาสอดส่องมองหาคนไปทั่วผืนน้ำแต่ไม่ทันที่นางจะกระโดดลงไป
บทที่ 17วาสนาได้พานพบผู้มีบุญคุณเพียงชั่วครู่สารทฤดูเริ่มต้นไปได้ครึ่งทางแล้ว ใบไม้รอบด้านเริ่มเปลี่ยนสียามเมื่อออกเดินทางเวลานี้ ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่จะได้ชื่นชมธรรมชาติไปในตัวแต่คนบนรถม้าคันหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกลับดูเป็นกังวลไม่น้อย"คุณหนู ท่านจะแต่งเข้าจวนอ๋องจริงหรือเจ้าคะ" ซูเจียวนั่งอยู่บนพื้นของรถม้าก็เอ่ยถามสตรีอีกคนที่นั่งอยู่บนเบาะ ที่ผ่านมาตัวนางถูกเลี้ยงดูมากับสตรีตรงหน้า อยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กที่เมืองลี่เจียง ดุจดั่งเป็นครอบครัวเดียวกันทว่าตั้งแต่เยาว์วัย มารดาของนางชอบบังคับให้นางเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหนูอยู่ตลอด คราแรกนางไม่เข้าใจ และทุกครั้งที่ตีตัวเสมอเจียงเยี่ยนฟาง นางก็จะถูกมารดาดุด่าเป็นประจำ ตักเตือนให้นางนอบน้อมกับเจียงเยี่ยนฟางให้มากหน่อย นางก็ต้องทำโดยไม่สามารถอิดออดได้ ทั้งที่เจียงเยี่ยนฟางก็ถูกมารดาใช้งานหนักพอ ๆ กัน ไม่เคยปล่อยปละละเลยให้อีกฝ่ายทำเพียงแค่นอนและกินเหมือนคุณหนูจริง ๆ ต่างต้องทำงานทุกอย่างให้เป็นกระทั่งไม่กี่วันก่อนคุณหนูของนางได้รับจดหมายจากบิดาที่ทอดทิ้งตัวเองไปนาน เรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อแต่งงานเข้าจวนชินอ๋อง!ชินอ๋อง
เจียงเยี่ยนฟางกลับมายังร้านน้ำชาอีกครั้งพร้อมถุงซาลาเปาในมือ คนที่รอนางอยู่ก็ได้ย้ายตัวเองไปบนรถม้าอยู่ก่อนแล้ว พอนางมาถึง บรรยากาศก็ผิดแผกไปอย่างเห็นได้ชัด เซียวลี่หยางไม่พูดไม่จาอันใดแม้ครึ่งคำแต่...ไม่พูดไม่จาก็แล้วไปเถิด นางอาจมาช้าทำให้เขารอนานจนเกิดไม่พอใจขึ้นมา เรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้ ทว่าแววตารังเกียจที่เหมือนคราแรกพานพบกันในห้องหอนั้น กลับมาปรากฏบนสายตาเขาอีกครั้งนี่สิ นางถึงได้รู้สึกแปลกใจขึ้นมาคนผู้นี้เช้าเป็นอย่าง ดวงตะวันคล้อยบ่ายก็เป็นอีกอย่าง นางคาดเดาเขาไม่ได้เลยยามเมื่อเดินทางกลับมาถึงจวนแล้ว คนในรถม้าที่นั่งมากับนางนานสองนานก็ไม่รอให้นางออกไปก่อน เขารีบเรียกหงเปามาพาตัวเองเข็นรถลงไปทันทีที่รถม้าหยุดลง ประหนึ่งว่าไม่อยากใช้ลมหายใจในรถม้าร่วมกับนางนานกว่านี้ จึงทิ้งนางไว้เบื้องหลังไม่ใส่ใจ"เมื่อเช้ายังไปด้วยกันดี ๆ อยู่เลย ยามนี้ท่านอ๋องเหมือนจะกำลังไม่พอใจอยู่..." สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลก็พากันซุบซิบนินทา คิดว่าระยะขนาดนี้พระชายาเจียงน่าจะไม่ได้ยิน"แปลกอันใดกัน ที่ผ่านมาท่านอ๋องกับพระชายากู่ที่มักตัวติดกันตลอด แต่ท่านอ๋องก็นิ่งสงบปานท่อนไม้ขนาดนั้น ดูอย่างไรก็ไม่เหม
"เร็วหน่อยก็ดี แล้วเร็วที่สุดของเถ้าแก่ราวกี่วัน""สองชิ้นก็เจ็ดวัน ข้าจะหาช่างฝีมือสองคนทำก็แล้วกัน จะได้รอไม่นานเกินนี้""เงินในถุงพอค่ามัดจำหรือไม่" เจียงเยี่ยนฟางหันมองถุงเงินที่หายไปอยู่ในมือเถ้าแก่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้"พอ ๆ ๆ ๆ แม่นาง...อยากเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ แจ้งมาได้เลย" เถ้าแก่พอได้จับถุงเงินแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นอีกห้าส่วน ดวงตาสะท้อนไปด้วยเงินทองอยู่ภายใน"เถ้าแก่จัดการได้เลย อีกเจ็ดวันข้าจะมารับ" เจียงเยี่ยนฟางกล่าวเสร็จก็เตรียมจากไป"แม่นางเดินทางปลอดภัย" เถ้าแก่ร้านมีท่าทีกระตือรือร้นกว่าตอนแรกที่เจียงเยี่ยนฟางเข้ามามากนัก ถึงขั้นเดินออกมาส่งด้วยตัวเองเจียงเยี่ยนฟางพอออกมาจากร้านเครื่องประดับแล้วก็ยังคงแวะไปอีกหลายแห่งเพื่อสั่งของที่นางอยากได้ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับแผงลอยข้างทางร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่เน้นไปทางเชือกผูกผมกับปิ่นที่ทำมาจากไม้ หากแต่สิ่งที่สะดุดตานางมากที่สุดไม่ใช่ผ้าไหมซึ่งถูกทออย่างประณีต แต่เป็นลายปักบนผ้าผูกผมอันแสนคุ้นตานั่นต่างหาก"คุณหนู สนใจผ้าผูกผมสักชิ้นหรือไม่ ลองดูก่อนได้ ไม่เสียหายอะไร"เจียงเยี่ยนฟางเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ค