"เจ้ามาเอาข้าวไปให้คุณหนูใหญ่เจียงหรือ" สตรีวัยกลางคนเดินเข้ามาถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม มือเท้าสะเอวท่าทางเบ่งอำนาจข่มผู้มาอยู่ใหม่ แต่ในใจกลับกำลังหวาดหวั่นว่าคนผู้นี้ได้ยินที่พวกนางพูดคุยกันไปถึงไหนต่อไหนบ้าง แล้วจะปากสว่างหรือไม่
เจียงเยี่ยนฟางส่ายหน้า นางจะกินตอนนี้เลย เพราะยังมีเรื่องที่ต้องไปทำอยู่ "ข้าแค่จะมากินข้าวเช้า ส่วนผักนี่ มีคนฝากข้ามาส่ง"
สตรีที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าแม่ครัวได้ฟังแล้วก็รับตะกร้ามาถือไว้เอง พลางพูดเสียงแหลมหูว่า "จวนอื่นเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ แต่จวนชินอ๋องปกติต้องรอให้เจ้านายกินเสร็จก่อน แต่เอาเถอะ มาถึงแล้วก็มากินก่อน แต่รอบหน้าไม่ได้แล้ว" พูดจบนางก็หมุนตัวเดินนำไป
เจียงเยี่ยนฟางตอบรับเสียงเบาในลำคอ เดินตามหลังนางไปติด ๆ พอได้ถาดอาหารมาแล้วก็เดินไปนั่งกินที่ด้านนอกครัวแทน อาหารของบ่าวก็ไม่ได้ดีอะไรมากนัก แต่เจียงเยี่ยนฟางก็กินเหมือนเคยชินในรสชาติอันแสนธรรมดาตรงหน้าอยู่แล้ว
กระทั่งบ่าวรับใช้ชายคนนั้นกลับมา นางก็กินเสร็จแล้วพอดีและเพิ่งจะสวมผ้าปิดหน้ากลับคืนไป ครั้นเมื่อยืนขึ้นรับขวดสุรามาเปิดดมดูก็ขมวดคิ้วมุ่น "พี่ชาย ท่านแน่ใจว่าเป็นสุรามงคลแบบเดียวกันกับเมื่อวาน?"
"อ่ะ เจ้านี่! แน่ใจสิ ข้าถามคนดูแลโรงเก็บสุรามาแล้ว!" บ่าวชายทำหน้าสงสัยระคนไม่พอใจ เขาอุตส่าห์ไปยืนรอคนดูแลโรงเก็บสุราให้นางตั้งนาน ยังจะมาสงสัยอันใดอีก
เจียงเยี่ยนฟางได้ฟังแล้วจึงกล่าวขอบคุณอีกสองสามคำ มองส่งบ่าวคนนั้นจากไป ในใจเหมือนจะได้คำตอบที่สงสัยมาตั้งแต่เมื่อคืน แต่ช่วงจังหวะเดียวกันนั้น นางกลับรู้สึกเหมือนมีใครมองตัวเองอยู่ที่มุมกำแพงไกล ๆ มิหนำซ้ำคนที่แอบอยู่ก็ยังกวักมือเรียกให้นางเข้าไปหาอีกด้วย เจียงเยี่ยนฟางหันมองดูรอบกายที่ไร้ผู้คน ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจงใจเรียกนางแน่ ๆ
จนเมื่อนางเดินไปถึงก็พบว่า หัวมุมอีกฝั่งได้ร้างไร้ผู้คนไปแล้ว หลงเหลือเพียงลังไม้ระเกะระกะกับขวดสุราที่เหมือนกับในมือของตนตั้งแอบอยู่ในซอกของลังตรงหน้า
จึงหยิบมันขึ้นมาและเปิดดมดู "ต้องเป็นอันนี้สิ!"
คำตอบที่ได้ในใจเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปแล้ว
เจียงเยี่ยนฟางจึงจากไปพร้อมสุราขวดใหม่ในมือและตั้งขวดเก่าไว้แทนใบเดิม
༻❁༺
หน้าเรือนอี้
ยามเมื่อแสงอรุณมาเยือน หงเปาที่ได้ยินเสียงสตรีเรียกอยู่หน้าเรือนก็ไม่ค่อยคุ้นชิน จึงคิดว่าอาจเป็นบ่าวรับใช้คนใหม่ที่พ่อบ้านเถาเพิ่งรับเข้ามา แต่เมื่อเดินออกมาเปิดประตูเรือนแล้วก็เจอเข้ากับคนที่ตนคิดว่าจะอยู่เงียบ ๆ ไปสักพักแทน
"คุณหนู... พระชายาเจียง ท่านมาหาท่านอ๋องแต่เช้ามีเรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ" หงเปาเกือบจะหลุดเรียกอีกฝ่ายตามที่ชอบใช้เรียกเจ้าตัวยามอยู่ลับหลังนางไปแล้ว
"เมื่อวานข้ารู้สึกผิดยิ่งนักที่ไม่ทันระวังจนทำสุรามงคลแตก วันนี้จึงขอให้คนไปนำสุรามาให้ใหม่อีกรอบ" เจียงเยี่ยนฟางบีบน้ำเสียงเล็กลง และพูดยานคางอีกเล็กน้อยเพื่อให้ดูอ่อนหวาน ทั้งยังแสร้งทำสีหน้ารู้สึกผิด
หงเปาปรายตามองขวดสุราในมือของนาง ก่อนจะช้อนตาขึ้นสบตากับคนตรงหน้าพลางกล่าวว่า "วันนี้ท่านอ๋องรู้สึกไม่ค่อยดี มิสู้รอท่านอ๋องหายดีก่อน ถึงยามนั้นพระชายาเจียงค่อยมาใหม่อีกรอบเถิด"
"..." อาจเพราะเจียงเยี่ยนฟางค่อนข้างสูง ยามนี้จึงสามารถมองผ่านไหล่ของหงเปาไปยังประตูเรือนที่อยู่ด้านหลังของเขาซึ่งกำลังเปิดอยู่ได้แต่ก็พบว่า ตั้งแต่ห้องชั้นแรกก็มีฉากกั้นบดบังสายตาไว้ จนมองไม่เห็นสภาพด้านในแม้สักส่วน ยิ่งไม่อาจได้เห็นคนที่ตัวเองต้องการพบ "เช่นนั้นรบกวนเจ้า นำสุราไปให้ท่านอ๋องด้วย" เจียงเยี่ยนฟางยื่นขวดสุราไปให้หงเปารับไว้
"พ่ะย่ะค่ะ" หงเปารับของมา และไม่ลืมกล่าวเรื่องสำคัญ "พระชายาเจียง ท่านอาจจะไม่เข้าใจ การที่ถูกส่งไปอยู่เรือนด้านหลังย่อมหมายถึงว่า ท่านจะไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระแบบนี้ในจวนได้"
"เป็นเช่นนั้น?!" เจียงเยี่ยนฟางทำเหมือนเพิ่งจะรู้ สีหน้าดูเป็นกังวลขึ้นมาทันที "ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นขอถามอีกสักอย่าง ท่านอ๋องให้ข้าย้ายไปเรือนด้านหลัง แต่สินเดิมก็ไม่ได้ถูกย้ายมาด้วย คงไม่ใช่ว่ารวมเรื่องนี้เข้าไปด้วยกระมัง ยามนี้มิทราบว่า..."
"ในจวนมีผู้ดูแลอยู่แล้ว ไม่ต้องให้พระชายาเจียงเป็นกังวล ไว้ท่านอ๋องสุขภาพดีขึ้น กระหม่อมจะเรียนท่านอ๋องให้ทราบเรื่องนี้อีกรอบเองพ่ะย่ะค่ะ"
"รบกวนเจ้าแล้ว" เมื่อสิ้นเรื่องที่ต้องทำทั้งหมดแล้ว นางก็หมุนตัวเตรียมจากไป แต่ก็ไม่คิดว่าคนปกติที่ไหนจะมายืนซ้อนทับด้านหลังคนอื่นแบบนี้ นางจึงชนเข้ากับใครบางคนที่อยู่ด้านหลังของตัวเองเต็มแรง
"โอ๊ย" อีกฝ่ายที่ถูกชนก็ร้องออกมาเสียงดัง แต่เพราะมีคนเดินตามมาด้วย ร่างของสตรีผู้นั้นจึงเซไปพิงคนด้านหลังแทน ไม่ได้ล้มกระแทกพื้นอย่างที่ควร
-----
นังตัวร้ายมาแล้วค่ะ นักอ่าน Q ('⌒´Q) มาร่วมกันหยุมหัวนางกันค่ะ ยอมรับว่าตอนเขียนฉากนางไรท์เมื่อยหน้ามาก จีบปากจีบคอตามไปด้วยทั้งตอนเขียนครั้งแรก และตอนที่ตรวจไปสามรอบ เหนื่อยสุดก็ฉากนางเลย 555
-----
*คำบางคำไรท์เล่นคำนะคะเช่น ร้างไร้ ไม่ใช่ไร้ร่างของคน ไม่ได้สลับหรือเขียนผิด แต่จะเป็นร้างไร้หรือคล้ายว่าปราศจาก ความหมายก็คล้ายคลึงกันอยู่ แต่ไรท์ว่าบางคำเหมาะกว่า
ยามนี้ผ่านไปนานเกือบสิบเอ็ดปี จดหมายฉบับแรกนอกเหนือจากเงินที่เขาส่งมาให้ ก็คือเรียกข้ากลับไปแต่งงาน แต่ข้าไม่อยากแต่ง ข้ามีคนที่ข้ารัก...คนผู้นั้นเป็นเหมือนดั่งพี่ชายของข้า เป็นเหมือนดั่งสหายของข้า พวกเราเจอกันตั้งแต่ข้าอยู่ที่เมืองหลวง จนข้าจากไปไกลจึงทำได้เพียงเขียนจดหมายกลับไปหาเขา นับแต่นั้นมา ก็มีเขาที่ยังคอยห่วงหาข้าตลอด เราให้สัญญากัน ข้าเองก็รับปากแล้วว่าจะเป็นภรรยาของเขา" เวลามีเรื่องคิดไม่ตก เจียงเยี่ยนฟางมักจะติดนิสัยเดิม โดยชอบหยิบผ้าผูกผมที่ป้าซูทำให้มาจับเล่นอย่างเผลอตัว ในตอนนี้เองก็เช่นกันเสวี่ยหว่านมองตามมือของนางไปก็พบว่าสิ่งที่นางจับอยู่คือผ้าผูกผมรูปดอกไม้ที่มีปักลายเฉพาะ ผ้าผูกผมชิ้นนั้นดูไม่เข้ากับชุดที่เจียงเยี่ยนฟางขอสลับของนางไปใส่แม้แต่น้อย จังหวะต่อมาจึงเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายแล้วถาม "...แล้วคนผู้นั้นตอนนี้เขารู้หรือไม่ว่าท่านกำลังจะไปแต่งงาน"เสวี่ยหว่านเป็นหมอยาพิษ การทำงานในจุดนี้ของนางย่อมพบเจอคนตายมาไม่น้อย จิตใจนับว่าด้านชาจนแทบไร้ความรู้สึก ยิ่งไม่สนใจเรื่องความรัก ยิ่งเมื่อได้ฟังก็เกิดสับสน บุรุษผู้นั้นดูแล้วน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถเข้าออกจวนขุนนางจ
เรื่องนี้เป็นความลับของนาง แต่ก็ไม่คิดจะปิดบังคนที่ช่วยชีวิตตนเองไว้ อีกทั้งนางก็ทะนงตนว่า สตรีตัวเล็กเช่นคนตรงหน้าไม่มีทางทำอะไรตนเองได้ หรือต่อให้อีกฝ่ายเอาเรื่องนางไปป่าวประกาศบอกผู้อื่นจนนางเดือดร้อน นางก็คิดว่านางสามารถแบกรับไหว"!!!" สองคนในรถม้าต่างตกใจ คนที่จะทำงานด้านนี้ได้มือต้องแปดเปื้อนมาไม่น้อย แต่สตรีตรงหน้าถึงจะไม่ค่อยยิ้ม ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับน่าฟัง ท่าทางไม่ถึงขั้นอ่อนหวานเหมือนสตรีที่ได้รับการอบรม แต่ท่าทางก็ดูนุ่มนวลไม่หยาบกระด้าง การพูดการจาก็ดูมีมารยาทไม่ทำตัวโผงผาง หากบอกว่าเป็นบุตรสาวตระกูลร่ำรวยพวกนางก็เชื่อ ไหนเลยจะถูกอีกฝ่ายใช้รูปลักษณ์ภายนอกมาตบตาเข้าให้แล้ว"คุณหนูทั้งสองไม่ต้องตกใจไป ผู้ที่มีบุญคุณ เสวี่ยหว่านผู้นี้ ย่อมไม่คิดร้ายด้วย อีกทั้งก็เป็นเพียงผู้ทำยาพิษและยาแก้พิษ ไม่ใช่ผู้ใช้พิษเสียหน่อย" เรื่องหลังนั้น... แน่นอนว่า ย่อมโกหกไปเจ็ดส่วน!อีกสองสามวันต่อมา เสวี่ยหว่านผู้นี้ก็ไม่ยอมจากไปเสียที จนซูเจียวเริ่มทนไม่ไหว ในตอนที่อยู่บนรถม้าก่อนจะลงไปเช่าโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านกวนพักผ่อน นางก็เอ่ยปากถามด้วยตนเอง"พี่เสวี่ยหว่าน ท่านคิดจะไปที่ใดกันแน
"เป็นคน เมื่อครู่ ข้ามั่นใจ!" เจียงเยี่ยนฟางตะโกนบอกไประหว่างทาง ดวงตาจ้องมองมือที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำเพียงสองครั้งแล้วจมหายไป แต่ใต้ผืนน้ำที่ไหลแรงก็ยังพอมองเห็นเงาร่างสีม่วงเข้มได้เลือนราง"คน? คนอะไรไปอยู่... ไม่ ๆ ๆ คนที่ไหนจะโดนน้ำพัดขนาดนี้แล้วยังรอด คุณหนู อย่า ไม่!" ซูเจียวเพิ่งจะรู้สึกไปเมื่อครู่เองว่า สายน้ำเส้นนี้นั้นไหลแรงเกินไปจนน่ากลัวไม่อยากเข้าใกล้ และไม่อยากแม้แต่จะข้ามสะพานไม้นั้นอีกรอบอยู่เลย แต่คุณหนูของนางพูดแค่ 'เป็นคน' แล้วก็กระโจนลงน้ำไปได้อย่างไร!ซูเจียววิ่งตามไปหยุดอยู่ตรงจุดที่เจียงเยี่ยนฟางเพิ่งจะกระโดดลงไปเมื่อครู่ "คุณหนู คุณหนู!" นางตะโกนหาอีกฝ่ายพร้อมดวงตาก็กวาดมองไปทั่วผืนน้ำ หัวใจเต้นไม่หยุดด้วยความกลัว ถึงแม้นางจะบอกว่าตนไม่ค่อยชอบเจียงเยี่ยนฟางเพราะรู้สึกว่าตนอยู่ต่ำกว่าเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาคับขันแห่งความเป็นความตาย นางกลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่โตมาด้วยกันอย่างน่าประหลาดซูเจียวถอดรองเท้าและเสื้อตัวนอกออก หวังกระโดดลงน้ำไปดึงเจียงเยี่ยนฟางขึ้นมา ในระหว่างที่กำลังถอดเสื้อตัวนอกออกอยู่นั้น ก็ไม่หยุดสายตาสอดส่องมองหาคนไปทั่วผืนน้ำแต่ไม่ทันที่นางจะกระโดดลงไป
บทที่ 17วาสนาได้พานพบผู้มีบุญคุณเพียงชั่วครู่สารทฤดูเริ่มต้นไปได้ครึ่งทางแล้ว ใบไม้รอบด้านเริ่มเปลี่ยนสียามเมื่อออกเดินทางเวลานี้ ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่จะได้ชื่นชมธรรมชาติไปในตัวแต่คนบนรถม้าคันหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกลับดูเป็นกังวลไม่น้อย"คุณหนู ท่านจะแต่งเข้าจวนอ๋องจริงหรือเจ้าคะ" ซูเจียวนั่งอยู่บนพื้นของรถม้าก็เอ่ยถามสตรีอีกคนที่นั่งอยู่บนเบาะ ที่ผ่านมาตัวนางถูกเลี้ยงดูมากับสตรีตรงหน้า อยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กที่เมืองลี่เจียง ดุจดั่งเป็นครอบครัวเดียวกันทว่าตั้งแต่เยาว์วัย มารดาของนางชอบบังคับให้นางเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหนูอยู่ตลอด คราแรกนางไม่เข้าใจ และทุกครั้งที่ตีตัวเสมอเจียงเยี่ยนฟาง นางก็จะถูกมารดาดุด่าเป็นประจำ ตักเตือนให้นางนอบน้อมกับเจียงเยี่ยนฟางให้มากหน่อย นางก็ต้องทำโดยไม่สามารถอิดออดได้ ทั้งที่เจียงเยี่ยนฟางก็ถูกมารดาใช้งานหนักพอ ๆ กัน ไม่เคยปล่อยปละละเลยให้อีกฝ่ายทำเพียงแค่นอนและกินเหมือนคุณหนูจริง ๆ ต่างต้องทำงานทุกอย่างให้เป็นกระทั่งไม่กี่วันก่อนคุณหนูของนางได้รับจดหมายจากบิดาที่ทอดทิ้งตัวเองไปนาน เรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อแต่งงานเข้าจวนชินอ๋อง!ชินอ๋อง
เจียงเยี่ยนฟางกลับมายังร้านน้ำชาอีกครั้งพร้อมถุงซาลาเปาในมือ คนที่รอนางอยู่ก็ได้ย้ายตัวเองไปบนรถม้าอยู่ก่อนแล้ว พอนางมาถึง บรรยากาศก็ผิดแผกไปอย่างเห็นได้ชัด เซียวลี่หยางไม่พูดไม่จาอันใดแม้ครึ่งคำแต่...ไม่พูดไม่จาก็แล้วไปเถิด นางอาจมาช้าทำให้เขารอนานจนเกิดไม่พอใจขึ้นมา เรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้ ทว่าแววตารังเกียจที่เหมือนคราแรกพานพบกันในห้องหอนั้น กลับมาปรากฏบนสายตาเขาอีกครั้งนี่สิ นางถึงได้รู้สึกแปลกใจขึ้นมาคนผู้นี้เช้าเป็นอย่าง ดวงตะวันคล้อยบ่ายก็เป็นอีกอย่าง นางคาดเดาเขาไม่ได้เลยยามเมื่อเดินทางกลับมาถึงจวนแล้ว คนในรถม้าที่นั่งมากับนางนานสองนานก็ไม่รอให้นางออกไปก่อน เขารีบเรียกหงเปามาพาตัวเองเข็นรถลงไปทันทีที่รถม้าหยุดลง ประหนึ่งว่าไม่อยากใช้ลมหายใจในรถม้าร่วมกับนางนานกว่านี้ จึงทิ้งนางไว้เบื้องหลังไม่ใส่ใจ"เมื่อเช้ายังไปด้วยกันดี ๆ อยู่เลย ยามนี้ท่านอ๋องเหมือนจะกำลังไม่พอใจอยู่..." สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลก็พากันซุบซิบนินทา คิดว่าระยะขนาดนี้พระชายาเจียงน่าจะไม่ได้ยิน"แปลกอันใดกัน ที่ผ่านมาท่านอ๋องกับพระชายากู่ที่มักตัวติดกันตลอด แต่ท่านอ๋องก็นิ่งสงบปานท่อนไม้ขนาดนั้น ดูอย่างไรก็ไม่เหม
"เร็วหน่อยก็ดี แล้วเร็วที่สุดของเถ้าแก่ราวกี่วัน""สองชิ้นก็เจ็ดวัน ข้าจะหาช่างฝีมือสองคนทำก็แล้วกัน จะได้รอไม่นานเกินนี้""เงินในถุงพอค่ามัดจำหรือไม่" เจียงเยี่ยนฟางหันมองถุงเงินที่หายไปอยู่ในมือเถ้าแก่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้"พอ ๆ ๆ ๆ แม่นาง...อยากเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ แจ้งมาได้เลย" เถ้าแก่พอได้จับถุงเงินแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นอีกห้าส่วน ดวงตาสะท้อนไปด้วยเงินทองอยู่ภายใน"เถ้าแก่จัดการได้เลย อีกเจ็ดวันข้าจะมารับ" เจียงเยี่ยนฟางกล่าวเสร็จก็เตรียมจากไป"แม่นางเดินทางปลอดภัย" เถ้าแก่ร้านมีท่าทีกระตือรือร้นกว่าตอนแรกที่เจียงเยี่ยนฟางเข้ามามากนัก ถึงขั้นเดินออกมาส่งด้วยตัวเองเจียงเยี่ยนฟางพอออกมาจากร้านเครื่องประดับแล้วก็ยังคงแวะไปอีกหลายแห่งเพื่อสั่งของที่นางอยากได้ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับแผงลอยข้างทางร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่เน้นไปทางเชือกผูกผมกับปิ่นที่ทำมาจากไม้ หากแต่สิ่งที่สะดุดตานางมากที่สุดไม่ใช่ผ้าไหมซึ่งถูกทออย่างประณีต แต่เป็นลายปักบนผ้าผูกผมอันแสนคุ้นตานั่นต่างหาก"คุณหนู สนใจผ้าผูกผมสักชิ้นหรือไม่ ลองดูก่อนได้ ไม่เสียหายอะไร"เจียงเยี่ยนฟางเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ค