ดอกแก้วที่ก้าวเดินมุ่งตรงไปยังชั้นสองของตัวอาคาร ด้านบนนั้นถูกแบ่งเป็นห้องใหญ่หลายห้อง ก่อนนางจะพุ่งสายตาไปยังห้องใหญ่ที่สุดของชั้นนี้ เพราะรู้ดีว่าตอนนี้บิดาคงอยู่ในห้องนั้น เพราะสองครั้งที่นางมาที่นี่ บิดาถูกเชิญไปคุยเป็นการส่วนตัวภายในห้องนั้นเพราะแพ้พนันแล้วไม่มีเงินจ่าย
แต่ครั้งนี้เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภาพตรงหน้ากลับทำให้ร่างบางแข็งค้าง เพราะเบื้องหน้าหาใช่ผู้เป็นบิดาดังที่คิด แต่กลับเป็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่อย่างถึงพริกถึงขิง และนางเข้ามาขัดขวางอารมณ์รัญจวนของผู้อื่นอย่างไม่ตั้งใจ
"ว้าย ตาเถร"
คนทั้งคู่ที่ผละออกจากกันหันมามองตามเสียงอุทานของนาง ทำให้นางพลันได้สติเอ่ยออกไปเสียงตะกุกตะกัก
"ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า...เข้าห้องผิด"
ใบหน้างามที่ร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ก้มต่ำลง ทำท่าจะถอยออกไปแต่ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงของบุรุษที่อยู่ในห้อง
"หากเจ้าคือแม่หญิงดอกแก้ว บุตรีของคุณพระสรเดชก็ไม่ผิดหรอก"
ใบหน้างามที่ขึ้นสีระเรื่อของดอกแก้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของบุรุษเบื้องหน้าอย่างฉงน นางมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้หาใช่เจ้าของบ่อนเป็นแน่ เพราะนางเคยเจอเจ้าของบ่อนแห่งนี้มาสองครั้งแล้ว เจ้าของนั้นเป็นฝรั่งที่พูดภาษาเดียวกันกับนางได้อย่างชัดแจ๋วราวกับเจ้าของภาษา หาใช่บุรุษเบื้องหน้าของนางอย่างแน่นอน
"เจ้าออกไปก่อน"
ใบหน้าหล่อคมที่พยักหน้าให้สตรีคู่ขาออกไป ก่อนจะใช้สายตาคมกริบจ้องมองนาง ยิ่งทำให้ดอกแก้วมือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก
"เรามาคุยกันสักครู่ดีหรือไม่"
ดอกแก้วมองอีกฝ่ายที่หลีกทางให้ ผายมือไปยังเก้าอี้บุนวมราคาแสนแพงเป็นการเชื้อเชิญให้นางก้าวเดินเข้าไปด้านใน
ดอกแก้วที่หันไปมองด้านหลังเห็นว่ากล่ำคนของตนยังอยู่ก็เบาใจ ยอมเดินเข้าไปนั่งตามคำเชิญของอีกฝ่าย แม้จะไม่ใคร่จะชอบใจกับสายตาของบุรุษผู้นี้นัก
"ข้าขุนไกรราชภักดี เป็นเจ้าหนี้คนใหม่ของบิดาเจ้า"
คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ เมื่อบุรุษตรงหน้าแนะนำตัวกับนาง ทำให้ร่างสูงที่เดินมาทิ้งสะโพกลงบนขอบโต๊ะด้วยท่าทางสบายๆ จำต้องขยายความให้โฉมสะคราญได้รับทราบ ว่าเขานั้นเป็นสหายกับเจ้าของบ่อน และบิดาของนางติดหนี้บ่อนถึงสองพันบาท และยังอาละวาดทำลายข้าวของหาว่าตนนั้นโดนโกง จึงถูกทำร้าย เขาที่พอจะรู้จักกับบิดานาง ถึงแม้จะทำงานกันคนละส่วนกัน เห็นเข้าก็เลยเป็นผู้จ่ายหนี้ก้อนนั้นให้ก่อน ซึ่งนางไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่าอีกฝ่ายไม่ได้หวังผลและไม่แน่ว่าเขาอาจจะร่วมกันโกงบิดานาง
ขุนไกรที่เห็นสายตาไม่เชื่อถือของนางทำเพียงหยัดยิ้มขึ้น เอ่ยออกมาอย่างใจเย็น
"หากข้าไม่ยื่นมือช่วยเหลือบิดาเจ้า ป่านนี้ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่าบิดาเจ้าจักมีสภาพเช่นไร"
ได้ยินเช่นนั้น ดอกแก้วจึงเอ่ยถามหาผู้เป็นบิดา อย่างร้อนใจ
"พ่อของข้าอยู่ที่ใด"
"ใจเย็นๆ แม่หญิง บิดาเจ้านั้นปลอดภัยดี เรามาตกลงกันก่อนดีหรือไม่ ว่าเจ้าจักชดใช้หนี้ให้ข้าเช่นไร เงินไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ"
"ข้าอยากเจอคุณพ่อก่อน"
ดอกแก้วที่เอ่ยอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน มองอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นมิตร พวกเขาเป็นพวกเดียวกันอย่างแน่นอน
บุรุษตรงหน้าที่ยกมือหนาขึ้นตบเสียงดังสามครั้ง ประตูห้องข้างๆ ที่เชื่อมต่อกันก็เปิดออก ปรากฏเป็นชายร่างใหญ่สองคนช่วยกันหิ้วปีกบิดานางเข้ามา
"คุณพ่อ เหตุใดจึงเมามายเยี่ยงนี้เจ้าคะ"
กลิ่นสุราบนตัวของบิดาและรอยฟกช้ำบนใบหน้า ทำให้ใบหน้างามขมวดมุ่น ตวัดไปมองบุรุษที่กำลังมองนางอยู่อย่างไม่พอใจ
"พวกท่านทำอันใดพ่อข้า"
"ข้าบอกแล้วอย่างไร ว่าข้าช่วยบิดาเจ้าเอาไว้"
เขาช่วยบิดาของนางเอาไว้จริงๆ หาได้โป้ปดแต่ดูเหมือนว่าสตรีตรงหน้าจะมองเขาในแง่ร้ายเสียแล้ว ร่างสูงจึงหยัดกายขึ้นลุกเดินไปยังหลังโต๊ะตัวใหญ่ก่อนจะดึงเอาหนังสือสัญญากู้ยืมมาส่งให้นาง และมีลายมือชื่อบิดาของนางชัดเจน
"ทีนี้เราจักคุยกันได้หรือยัง คุณหนูดอกแก้ว"
ขุนไกรที่เอ่ยกับโฉมสะคราญตรงหน้า ก่อนจะปรายตามองไปยังคนของนางอย่างสื่อความหมาย
"พี่กล่ำพาคุณพ่อกลับเรือนไปก่อนเถิด ทางนี้ข้าจักจัดการเอง"
ดอกแก้วที่หันไปเอ่ยกับคนของตน มือเรียวกำเข้าหากันแน่นจนสั่นเทา ลำพังเครื่องประดับและเงินที่นางนำมาคงไม่พอใช้หนี้
"ขอรับคุณหนู"
กล่ำแม้จะมีท่าทางลังเลห่วงใยคุณหนูที่เป็นเพียงสตรี แต่เพราะผู้เป็นนายที่ตนประคองอยู่ดูท่าจะไร้สติก่นด่าพวกเจ้าบ่อนว่าคดโกงตน หากปล่อยให้คุณพระอาละวาดอยู่เช่นนี้คงไม่ดีแน่ จึงทำตามคำสั่งของคุณหนูพาคุณพระสรเดชกลับเรือน
"บ่าวจักรีบกลับมานะขอรับ"
ดอกแก้วที่พยักหน้าให้บ่าวของตน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจึงหันมาเจรจากับคนตรงหน้า
มือเรียววางกล่องเครื่องประดับลงบนโต๊ะเอ่ยกับอีกฝ่าย
"นี่เป็นเครื่องประดับของข้า น่าจักขายได้หลายร้อย และนี่เงินอีกหนึ่งร้อยบาท มันอาจจะไม่เพียงพอ แต่ข้าขอเวลา..."
"จูบเดียวแลกกับหนี้สองพันบาท เจ้าว่าอย่างไร"
เมื่อหนุ่มสาวนั้นเข้าใจกัน ผู้ใหญ่ก็เร่งหาฤกษ์มงคลด้วยความเปรมปรีดิ์ ฤกษ์มงคลนั้นจะถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นฤกษ์ที่เร็วที่สุด แต่ก็ยังถือว่าช้ามากสำหรับเจ้าบ่าวที่อยากจะแต่งเสียวันพรุ่ง นั่นจึงทำให้ได้รับคำเหน็บแนมจากผู้เป็นมารดา กว่าจะถึงวันแต่งก็ได้ตกลงหมั้นหมายกันเอาไว้เสียก่อน คุณนายสายหยุดนั้นจัดเตรียมสินสอดทองหมั้นสู่ขอแม่ดอกแก้วเสียใหญ่โต ผู้คนที่เห็นของหมั้นต่างพากันอิจฉา ทั้งทรัพย์สินเงินทอง เพชรนิลจินดา ต่างถูกเรียงรายจนนับไม่หวาดไม่ไหวในระหว่างนั้นดอกแก้วนางก็ยังอาศัยอยู่ในเรือนของท่านเศรษฐีทองคำตามความต้องการของคุณนายสายหยุด แต่กลับสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับว่าที่เจ้าบ่าวที่ถูกกีดกันจากผู้เป็นมารดาไม่ให้มีโอกาสได้เข้าใกล้สตรีคนรักแม่ดอกแก้วนั้นก็ตามติดมารดาเขาไม่ยอมห่าง แม้เขาจะส่งสายตาออดอ้อนปานใดนางก็ทำเมินใส่ จนเขาอดน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้ บ่าวไพร่นั้นหรือก็ล้อมหน้าล้อมหลังไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ใกล้ชิดนางแม้แต่น้อยเห็นอาหารจานโปรดวางอยู่ตรงหน้าแต่ไม่อาจที่จะหยิบกินได้ช่างรู้สึกทรมานยิ่งนักแต่แล้วฟ้าก็เป็นใจให้กับขุนไกรในวันหนึ่งเมื่อเขาต้องเดินทางกลับพระนค
"คุณป้าเจ้าคะ"หลังจากที่ดอกแก้วนอนหลับไปตลอดทั้งวันก็เดินออกมาจากเรือนนอนตรงมาหาผู้เป็นป้า สายตานั้นสอดส่ายหาผู้ที่ช่วยชีวิต"อ้าว แม่ดอกแก้วออกมาทำไมกัน ดีขึ้นแล้วหรือลูก"คุณนายสายหยุดที่ลุกขึ้นเข้าไปประคองหญิงสาวให้มานั่งลงข้างๆ เอ่ยถามอย่างห่วงใย"ข้ามิเป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ ว่าแต่คุณพี่กลางเล่าเจ้าคะ ข้าอยากจะขอบพระคุณคุณพี่เธอ"ดอกแก้วเอ่ยถึงเจตนาของตน นางเองก็ไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน คุณนายสายหยุดยกยิ้มขึ้นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน"พี่เขาคุยอยู่กับคุณลุงของเจ้า อยู่ในห้องหนังสือนู่นแหนะ ออ ออกมาพอดี"ดอกแก้วนางหันไปมองตามสายตาของคุณนายสายหยุด แต่กลับเห็นเพียงท่านเศรษฐีทองคำเดินออกมาเพียงผู้เดียว"แล้วพ่อกลางเล่าเจ้าคะคุณพี่"คุณนายสายหยุดเอ่ยถามผู้เป็นสามีเสียงอ่อนเสียงหวาน สายตาของคนทั้งคู่สบกันโดยที่สตรีอีกนางไม่อาจรับรู้ได้"ยังอยู่ด้านใน เห็นบ่นว่าอยากกินของหวานๆ มิรู้ว่ามารดาจะมีเมตตาหรือไม่"ท่านเศรษฐีทองคำเอ่ยคำที่บุตรชายนั้นฝากมา แล้วยิ้มกริ่มให้ภรรยา เผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นมาถึงดอกแก้ว"รักษาตัวดีๆ หนาแม่ดอกแก้วลุงเป็นห่วง"ท่านเศรษฐีทองคำเอ่ยกับนางอย่างห่วงใย ท่านคงหมายถึ
"แม่ดอกแก้ว ตื่นแล้วหรือเป็นเช่นไรบ้าง"คุณนายสายหยุดเอ่ยถามร่างบอบบางของสตรีที่ยันกายขึ้นโดยการประคองของบ่าวของนาง นั่งพิงพนักหัวเตียง ใบหน้างามนั้นดูดีขึ้นมามากแล้ว มิได้ซีดเซียวเช่นตอนที่ไม่ได้สติดอกแก้วหันมาหาเจ้าของเรือนที่ใช้สายตามองมายังตนอย่างห่วงใย ใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านั้นช่างคล้ายคลึงกับใครบางคนเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป นางคงคิดถึงเขาจนเลอะเลือน ก่อนจะเอ่ยตอบเจ้าของคำถามด้วยน้ำเสียงแหบโหยเกรงอกเกรงใจ ยกมือกระพุ่มตรงกลางอกอย่างงดงามเอ่ยขอลุแก่โทษที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วง จนคนฟังนึกเอ็นดู"คุณป้า ข้าไม่เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ ข้าขออภัยเจ้าค่ะที่ทำให้คุณป้าต้องร้อนใจ""โถ แม่เจ้าประคุณ ขวัญเอยขวัญมานะลูก แม่ดอกแก้วคงจักตกใจไม่น้อย"คุณนายสายหยุดยกฝ่ามืออ่อนนุ่มขึ้นลูบหัวทุยเล็กที่มีเส้นผมหนานุ่มปกคลุมอย่างรักใคร่ กล่าวอย่างเอื้อเอ็นดู แม่หญิงนางนี้กิริยามารยาทล้วนงดงาม หน้าตาหรือก็สะสวยเหมือนกับผู้เป็นสหายของตนมิมีผิดเพี้ยนดอกแก้วทำเพียงยิ้มอ่อนส่งไปให้ ยอมรับว่านางนั้นทั้งหวาดกลัวและตกใจมากจริงๆ"ถือว่าพระท่านยัง
หลายวันมานี้ขุนไกรมาทำงานด้วยจิตใจที่หม่นหมอง เขาให้คนของตนสืบข่าวเรื่องของนางก็ไร้ผล นางเงียบหายไปราวกับไม่อยากจะพบหน้าเขาอีก เหตุใดนางถึงไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบาย ท่าทางเซื่องซึมของอีกฝ่ายนั้น ทำให้เพื่อนร่วมงานนั้นต่างเป็นห่วง"ท่านขุนขอรับ มีจดหมายถึงท่านขอรับ"ขุนไกรปรายตามองเสมียนผู้นำจดหมายมาให้เพียงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายวางมันลง"ขอบใจ"เขามองจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะเพียงเล็กน้อย ชื่อที่จ่าอยู่หน้าซองทำให้เขาระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เป็นจดหมายจากแม่เล็กน้องสาวของเขาที่ส่งมา มือหนายื่นออกไปหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านอย่างไร้อารมณ์ เขานั้นเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงจะกลับเรือนและผู้เป็นมารดาบังคับให้อีกฝ่ายเขียนจดหมายถึงเขาเหมือนทุกทีขุนไกรอ่านจดหมายในมืออย่างเลื่อนลอยไล่สายตาอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง"ขุนไกร"เสียงเอ่ยเรียกที่ดังขึ้นทำให้ขุนไกรต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงนั้น"ขุนพันมีอันใดหรือ"บุรุษตรงหน้าคือหนึ่งในสหายของเขาที่ทำงานอยู่ในสังกัดเดียวกัน"ไม่มีอันใดหรอก เพียงเห็นว่าท่านดูเครียดๆ หากมีอันใดให้ช่วยก็บอกได้นะ""อืม ขอบใจมาก"เอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายแล้วจึงก้มลงมองจดหมายในม
วันหยุดวันนี้ไม่ได้สุขสมชื่นมื่นดังที่คิด ขุนไกรเมามายหัวราน้ำตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่กลับจากเรือนของคุณพระสรเดช เมื่อคืนนี้เขามิรู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวมาอีกที ตอนนี้ดวงตะวันก็ขึ้นตรงหัวแสงสว่างสาดส่องเข้ามาแยงตาเสียแล้ว แต่ทว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรแม้แต่น้อย ยังคงคว้าขวดเหล้าขึ้นมาดื่ม ใบหน้าคร้ามคมนั้นหมองหม่นเศร้าซึมเสียงเคลื่อนไหวภายนอกที่ดังขึ้น ทำให้ขุนไกรชะงักมือที่ถือขวดสุรา หันไปมองตามต้นเสียงด้วยหัวใจที่เต้นระทึก ก่อนเสียงฝีเท้าจะดังชัดเจนขึ้น"แม่ดอกแก้ว แม่ดอกแก้วใช่หรือไม่"ขุนไกรที่เอ่ยออกมาแผ่วเบา ต้องเป็นนางที่กลับมาหาเขา ใบหน้าหล่อเหลาจึงยกยิ้มขึ้นอย่างยินดีแต่เงาร่างบอบบางของสตรีที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ใบหน้าที่รู้สึกยินดีในตอนแรกหม่นหมองลง"มิเชล มีอันใดหรือ"ขุนไกรเอ่ยทักทายสตรีตรงหน้า ก่อนจะยกขวดสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง หัวใจที่พองโตเมื่อครู่เล็กแฟบลงทันตามิเชลมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยความเสน่หา เยื้องย่างเข้าไปหาอีกฝ่าย เมื่อนางได้รับรู้ว่าสตรีนางนั้นได้หนีไปจากขุนไกรนางก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก สิ่งที่นางได้ทำถือว่าประสบผลสำเร็
ดอกแก้วนางเก็บเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเตรียมเอาไว้เพื่อที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพรุ่งนี้นั้นนางก็ได้นัดหมายกับชายผู้นั้นเอาไว้เช่นกัน คืนนี้กว่านางจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ต้องเสียน้ำตาไปอีกมากมาย นางคิดเอาไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะทำอาหารไปให้อีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายและจะถือโอกาสนำเงินไปคืนเขาวันรุ่งขึ้นนางลุกขึ้นจัดเตรียมอาหารตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะคุณป้าสายหยุดจะมารับนางตอนสายๆ เมื่อสำรับอาหารเสร็จเรียบร้อยจึงได้ออกจากเรือนไป และนางได้นำเงินที่คุณป้าสายหยุดให้มาไปส่งคืนให้อีกฝ่ายด้วย เมื่อนางไปถึงก็พบว่าเขานั้นได้ออกไปทำงานแล้ว ซึ่งนางก็ได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว นางไม่อยากจะเจอหน้าเขา ไม่อยากให้เขาหลอกนางซ้ำๆ ซากๆ นางกวาดตามองเรือนที่อยู่อาศัยร่วมสามเดือนด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเอ่อคลอดวงตา นางเลือกที่จะเก็บเพียงความทรงจำดีๆ เอาไว้ ก่อนจะตัดสินใจวางซองเงินบนเตียงนอนกว้าง หากเขากลับมาจะได้สังเกตเห็นมัน ก่อนจะเขียนข้อความถึงอีกฝ่าย เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นางจะได้มิต้องลังเลหากจะลาเขาโดยตรง ต่อแต่นี้ไปเขาจะได้ไม่ต้องลำบากใจอีก"ลาก่อน"ระหว่างเขาและนางคงจบสิ้นกันเสียทีดอกแก้วนางเดินออก