LOGINปันหยีตกใจกลัวจนหน้าถอดสี เมื่อเห็นท่าทางก้าวร้าวต่ำทรามของญาติสาว ถ้าอีกฝ่ายทำอย่างที่พูดจริง ๆ เธอก็คงไม่มีปัญญาหนีเอาตัวรอดได้แน่ เพราะตอนนี้เท้าเธอเจ็บอยู่
“เรากลับกันก่อนเถอะจ้ะปู่” เธอเขย่าแขนของท่าน ส่งเสียงอ้อนวอนพร้อมกับแววตาหวาดกลัว
“มึงอยู่ไหนวะไอ้โย พาพรรคพวกมึงเข้ามาที่บ้านหน่อยสิ”
เด็กสาวหวาดกลัวจนน้ำตาไหล เมื่อได้ยินคำพูดของญาติสาวที่พูดผ่านโทรศัพท์มือถือ กัดฟันทนเจ็บ พยุงปู่ที่งก ๆ เงิ่น ๆ ออกจากบ้านญาติอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เท้าจะอำนวย
ไซม่อนรีบขยับตัวที่ยืนพิงกับรถไปหาปู่กับหลานสาว ที่พากันเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นพร้อมท่าทางหวาดกลัว.. เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดการโต้เถียงอะไรกันบ้างก่อนหน้าที่จะมาถึง แต่สิ่งที่เขาได้ยินก็เริ่มตั้งแต่ที่หญิงสาวร่างยักษ์ผิวคล้ำ ที่เขาขับรถตามเข้ามาห่าง ๆ ไล่สองคนนี้ออกจากบ้าน พร้อมกับขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ และจบลงด้วยการโทรตามสามีของหล่อนให้พาพรรคพวกมาเล่นงาน
“คุณอาไซม่อน” เมื่อได้เห็นชายหนุ่ม ร่างกายของเธอก็อ่อนแรงลงไปทันที เธอทรุดลงไปนั่งบนพื้น ไร้เรี่ยวแรงที่จะฝืนให้เข้มแข็งอีกต่อไป น้ำตาไหลรินหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะรู้สึกถึงความปลอดภัยในระดับหนึ่ง
ชายหนุ่มรีบพาอุดมขึ้นไปนั่งรอในรถ แล้วกลับไปหาเด็กสาว กำลังจะพยุงเธอให้ลุกขึ้นแต่ก็เหลือบไปเห็นเจ้าของบ้านเดินออกมา เขาชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เลิกสนใจพวกเธอทั้งสอง
“ลุกไหวไหม”
“ไหวค่ะ” เธอลุกขึ้นด้วยเท้าข้างที่ไม่เจ็บ แล้วพยายามเดินกะเผลกไปที่รถ
ไซม่อนเห็นอาการของเด็กสาวก็รู้ว่าเธอได้รับบาดเจ็บ จึงตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นมา แต่ก่อนที่จะจากไปเขาก็ได้หันกลับไปมองแม่ลูกใจร้ายคู่นั้นอีกครั้ง เรื่องนี้ต้องถึงหูเจ้านายของเขา และแน่ใจว่าเขาจะต้องได้กลับมาจัดการกับแม่ลูกคู่นี้แน่ ๆ
“มองอะไรวะไอ้ตี๋ อยากมีเรื่องใช่ไหม” แม้จะหวั่นใจกับสายตาและความภูมิฐานของอีกฝ่าย แต่ต่อก็ทำปากดีตะโกนขู่เขาไปเพราะถือว่าที่นี่คือถิ่นของตน
“รีบไปกันเถอะค่ะคุณอา หนูกลัว” เด็กสาวในอ้อมแขนเตือนสติชายหนุ่มที่มองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง เพราะเธอกลัวว่าสามีของญาติสาว จะพาพรรคพวกมาถึงก่อนที่จะได้ออกไปจากที่นี่ และกลัวมากที่สุดคือทุกคนจะถูกทำร้ายจริง ๆ
ไซม่อนยอมทำตามคำขอร้องของเด็กสาว เขาอุ้มเธอไปที่รถแล้วขับออกไปจากที่นั่น ระหว่างที่กำลังจะออกจากซอยเล็ก ๆ นั้นเอง เขาก็เห็นมอเตอร์ไซค์สามคันขี่เข้ามา พวกมันเจ็ดคนมองมาที่รถของเขาก่อนจะขี่ผ่านไป
เขามองที่กระจกมองหลัง ยังเห็นว่าบางคนหันกลับมามองอย่างสงสัย ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกกลัว แต่เมื่อเข้าสู่เส้นทางหลัก เขาก็เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วมากขึ้น เพราะเป็นห่วงคนที่นั่งอยู่ในรถด้วยกัน กลัวว่าจะปกป้องพวกเขาได้ไม่ดีพอเพราะตัวคนเดียว
กรุงเทพฯ
คำบอกเล่าจากปากของคนสนิท ทำให้หยางอี้ถึงกับชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“จัดการยังไงก็ได้ ให้พวกนั้นกระเด็นออกไปจากที่ดินผืนนั้นให้เร็วที่สุด เอาให้เด็ดขาดไปเลยนะ”
“ตกลงครับ ผมจะเดินทางไปที่นั่นพรุ่งนี้เลยนะครับ”
“อือ แล้วตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง” ใจนั้นอยากรู้เรื่องของหลานสาวมากกว่า รู้สึกเป็นห่วงจนอยากจะไปหา ไปดูให้เห็นกับตา แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ เพราะเธอยังเด็กนัก เขาเตือนตัวเองว่าไม่ควรทำตัวเลอะเทอะ
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ เท้าเธอเคล็ดนิดหน่อยเท่านั้น กินยาตามที่หมอจัดให้ อีกสองสามวันก็น่าจะหายเป็นปกติ”
“พรุ่งนี้ก่อนเดินทางก็แวะไปดูเธอหน่อย ซื้อของกินของใช้ไปให้พวกเขาด้วยล่ะ เสร็จจากเรื่องนี้แล้วผมมีอีกเรื่องจะคุยกับคุณด้วย”
“ได้ครับ ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด” เมื่อคุยกันรู้เรื่องแล้วไซม่อนจึงขอตัวลาไปพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวเดินทางในวันพรุ่งนี้
วันรุ่งขึ้น
ไซม่อนก็พาเอดิสันเดินทางไปทำงานตามคำสั่งของเจ้านาย เริ่มตั้งแต่ซื้อของแวะไปเยี่ยมปู่กับหลานที่บ้านเช่าหลังเก่ามอซอ เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงขับรถมุ่งหน้าสู่จังหวัดเพชรบุรี ทำงานของตัวเองอย่างมีแบบแผน และสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วยเวลาเพียงแค่สามวัน
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาไซม่อนจึงมาเจอกับอุดมอีกครั้ง ที่บริเวณนี้เป็นสวนสาธารณะของหมู่บ้าน
“หนูหยินไปโรงเรียนเหรอครับ” เขาพยายามทำตัวสบาย ๆ ด้วยการชวนคุยเรื่องอื่นก่อน
คำถามของชายหนุ่มทำให้ชายชราสีหน้าหม่นหมอง ส่ายศีรษะปฏิเสธช้า ๆ “ไม่ได้ไปเรียนหรอกครับ หยินเขาเรียนจบมอสามแล้ว เพิ่งไปรับวุฒิการศึกษามาเมื่อสองวันก่อนนี้เอง”
“แล้วเธอไปไหนล่ะครับ” หรือว่าเธอช่วยปู่ทำงานอยู่แถวนี้แต่เขาไม่เห็น เขาจึงมองไปรอบ ๆ
“เขาไปหาสมัครงานครับ”
คำตอบที่เต็มไปด้วยความเศร้าเจือปน ทำให้ไซม่อนรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย นึกถึงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ วัยกำลังโตคนนั้น
“ยังเด็กแล้วตัวก็เล็กแบบนั้นจะไปทำงานอะไรได้ครับ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับคุณไซม่อน ผมบอกเขาให้เรียนต่ออีกสักหน่อยเขาก็ไม่ยอม ทั้งหมดนี้คงเป็นเพราะผม ถ้าผมไม่ป่วย ไม่ได้เป็นหนี้มากมายขนาดนี้ หลานของผมก็คงได้เรียนต่อ” น้ำตาแห่งความอัปยศไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ชายชราปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อ เมื่อรู้ว่าไม่ควรทำตัวอ่อนแอให้คนอื่นเห็น
“ถ้าผมมีข้อเสนอมาให้ปู่ ปู่จะรับเอาไว้ไหมครับ” ไซม่อนเริ่มดึงเข้าเรื่อง แต่เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย เขาก็รีบโบกมือปฏิเสธความเข้าใจผิดนั้น “อย่ามองผมแบบนั้นสิครับปู่ ฟังผมพูดให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้”
พรพิมพ์จับมือของลูกสาวและลูกเขยที่ไหว้ตน ได้แต่พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุขเพราะตื้นตันจนพูดไม่ออก หลังจากนั้นก็หลบให้พ่อแม่ของเจ้าบ่าวได้อวยพรให้ทั้งคู่บ้างแจ็คกี้กล่าวขอบคุณมารดาของเจ้าสาวที่เชื้อเชิญตน แล้วมองใบหน้าที่เปี่ยมสุขของลูกชายสุดที่รัก ที่ต้องแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาอย่างกะทันหัน เพราะดันทำเจ้าสาวคนสวยท้อง“พ่อคงไม่ต้องพูดอะไรแล้วมั้ง เพราะพ่อรู้ว่าลูกชายของพ่อมีความสุขมาก และจะสุขมากกว่านี้ในอนาคต จริงไหมลูกพ่อ”“ครับคุณพ่อ ผมมีความสุขที่สุดในโลกเลยครับ” เจ้าบ่าวสุดหล่อตอบบิดาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง แล้วหันไปมองเจ้าสาวคนสวยที่นั่งยิ้มเอียงอายอยู่ข้าง ๆ“ฝากดูแลลูกชายของพ่อด้วยนะหนู ลูกชายพ่อเขารักหนูมากนะ ถ้าเขาหึงหวงหนูไปบ้าง ก็ให้คิดเสียว่าเพราะเขารักหนูมากเกินไป” แจ็คกี้หันไปพูดกับลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงติดเอ็นดู“ค่ะคุณพ่อ” หญิงสาวตอบรับพร้อมรอยยิ้มเขินอาย“ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะลูก” บุรุษสูงวัยลูบศีรษะลูกชาย และตบต้นแขนของลูกสะใภ้เบา ๆ ก่อนจะหลีกทางให้ภรรยา “อวย
“ยอมสิ ผมมั่นใจว่าคุณแม่ต้องรักลูกของเรา อาจจะรักมากกว่าผมด้วยซ้ำ” เขาแตะแก้มนวลเบา ๆ แล้วส่งยิ้มให้กำลังใจ “ไม่ต้องคิดมากหรอก ท่านจะรักหรือไม่รักก็แล้วแต่ท่านเถอะ ขอแค่เรารักลูกของเราให้มากที่สุดก็พอแล้ว เราจะช่วยกันเลี้ยงลูกของเรากันเอง เลี้ยงเขาให้ดีที่สุด ตกลงไหม”“อือ”“ถ้าอย่างนั้นเตรียมตัวกลับกรุงเทพเลย เรามีงานต้องทำอีกเยอะนะ”“อลันมีงานเหรอ”“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก งานแต่งของเราต่างหากที่สำคัญ อลันใจร้อน อยากจะแต่งให้เร็วที่สุด”“เราจัดงานแต่งแบบง่าย ๆ ก็พอแล้วนะอลัน แค่ให้พ่อแม่ของเรารับรู้ แล้วจัดงานเลี้ยงฉลองแต่คนสนิท ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก ใช้เวลาเตรียมงานแค่อาทิตย์เดียวก็พอ”“เอาแบบนี้ก็ได้ อลันจะส่งข่าวให้เพื่อน ๆ ที่ฮ่องกง บีก็ส่งข่าวให้เพื่อน ๆ ของบี ส่วนเรื่องสถานที่จัดงานเลี้ยงอลันจัดการเอง พรีเวดดิ้งเราค่อยไปถ่ายกันที่ฮ่องกงหรือไต้หวันทีหลังพร้อมลูกก็ได้ ตกลงไหม”“ก็ได้ งันบีจะช่วยหาของชำร่วยนะ”
“แต่อลันเคยพูดว่าต้องการแก้แค้นบีที่ทิ้งอลัน” เธอกลายเป็นคนคิดมากจนเกินเหตุ“เราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอบี ผมก็สารภาพไปแล้วไงว่าแค่ข้ออ้าง จริง ๆ แล้วผมตามหาบีก็เพราะผมรักบี ผมไม่เคยลืมบีเลยแม้แต่วันเดียว ผมไม่ได้พูดเพื่อต้องการหลอกบีนะ” เขาจับมือของเธอมาทาบลงบนอกแน่นตึงข้างซ้าย “แต่ผมมีบีอยู่ข้างในนี้จริง ๆ ผมรักบีมากนะ รักมากอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้รับความรู้สึกนี้ของผมไปแม้แต่คนเดียว บีคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้”น้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม น้ำตาแห่งความอัดอั้นตันทรวง ค่อย ๆ ไหลทะลักออกจากดวงตากลมโต แล้วไหลอาบแก้มนวลที่ซูบตอบลงไปเล็กน้อยอลันใช้นิ้วโป้งค่อย ๆ ปาดน้ำตาให้คนรักอย่างบรรจง “บีเป็นอะไร บอกผมได้ไหม” เขาถามอย่างอาทร แต่เธอกลับร้องไห้หนักกว่าเก่า จนเขาตกใจทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ลูบหลังปลอบใจร่างบางที่โผเข้ามากอดแนบแน่น ปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่เงียบ ๆ.. เนิ่นนานกว่าเสียงร้องของเธอจะซาลง แล้วจูงมือเขาพาเดินเข้าไปในบ้าน“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม พร้อมจะบอกผม
“เวียนหัว กินอะไรไม่ค่อยลงอย่างนั้นเหรอ” พรพิมพ์สะดุดใจกับอาการป่วยของลูกสาว จนต้องถามย้ำให้แน่ใจ“ครับ พี่จินนี่บอกผมอย่างนั้น”“แม่ถามอะไรเธอหน่อยได้ไหมอลัน”“ถามอะไรเหรอครับ”พรพิมพ์จับมือชายหนุ่ม ที่เธอให้ความรู้สึกรักและเอ็นดูตั้งแต่รู้จักครั้งแรก มองเขาด้วยสายตาเคร่งเครียดระคนหวาดหวั่น“เธอต้องตอบแม่ตามความจริงนะ”“แน่นอนครับ”“เธอกับบีคบกันถึงขั้นไหนแล้ว”คำถามของมารดาคนรัก ทำเอาชายหนุ่มถึงกับวางหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว รีบหลบสายตาไปมองทางอื่น เพื่อให้ตัวเองได้ตั้งหลักทางความคิด รู้สึกผิด ละอายแก่ใจ ลำบากใจ ที่ต้องพูดความจริงออกไป เพราะไม่อยากให้คนรักต้องมัวหมองเพียงแค่เห็นท่าทางอึกอักของชายหนุ่มพรพิมพ์ก็เดาได้ทันที ในฐานะของคนเป็นแม่ เธอยอมรับว่ารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ลูกสาวของเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีหน้าที่การงาน รับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้แล้ว เรื่องแบบนี้กับยุคสมัยนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก“คงข้ามขีดของคำว่าแฟนไปมากแล้วสิ
เป็นอาทิตย์แล้วที่อลันไม่ได้เจอหน้าคนรัก เขากับเธอได้แต่ติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์ แต่ละครั้งเธอก็คุยกับเขาน้อยคำจนน่าแปลกใจ วันนี้ก็เป็นเช่นเดิม เธอคุยกับเขาไม่ถึงสองนาทีก็บอกวางสาย มันทำให้เขารู้สึกเครียดกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าใจหายของเธอยิ่งนัก จึงตัดสินใจโทรหาเพื่อนรักของเธอเพื่อถามในสิ่งที่สงสัย(สวัสดีอลัน)“สวัสดีครับเจ้ เจ้พอมีเวลาว่างสักห้านาทีไหมครับ” เขาคุยกับหญิงสาวอย่างนอบน้อม(ว่างจ้ะ คุยมาได้เลย)“คือผมอยากจะคุยเรื่องบีหน่อยครับ”(อ้อ ว่าไงจ๊ะ บีเป็นยังไงบ้างล่ะ กลับมาถึงบ้านแล้วเหรอ)คำถามของจินนี่ ทำให้หัวคิ้วของอลันขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ใบหน้าที่เคร่งเครียดอยู่แล้วยิ่งเครียดหนักกว่าเดิม“เจ้พูดเหมือนบีไม่ได้ไปทำงานเลยนะครับ” เขาถามเพื่อให้แน่ใจ(อ้าว!) ปลายสายอุทานงง ๆ (เดี๋ยวนะ เจ้ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำพลาดหรือเปล่า)“บอกผมมาเถอะครับเจ้” ได้ยินน้ำเสียงลังเลเหมือนไม่อยากพูดต่อของอีกฝ่าย เขาก็ร้องขอความเห็นใจ “บีเขาไปไหนครับ... เจ้ครับ ได้โปรดบอกผมเถอะครับ” เขาอ้อนวอนเมื่ออีกฝ่ายยังเงียบ(...บีเขาไม่ได้บอกอะไรนายเลยเหรออลัน)“เราคุยโทรศัพท์กันทุกวัน แต่ไม่ได้เจอกันเลย เธอบ
“ก็ได้จ้ะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้อยู่กับแม่ทั้งวันนะลูก”“งั้นผมขอออกไปหาคุณพ่อก่อนนะครับ แล้วเย็นนี้ผมจะกลับมานอนกับคุณแม่” นอกจากไปหาบิดาแล้ว ช่วงบ่ายเขายังมีนัดกับเพื่อน ๆ อีก เขาต้องรีบทำทุกอย่างให้จบในเวลาจำกัด พยายามจะจัดเวลาให้มารดามากที่สุดเพื่อเอาใจท่าน“อย่างนั้นก็ได้ แม่จะรอกินข้าวเย็นด้วยนะลูก”“ครับคุณแม่ ประมาณหนึ่งทุ่มนะครับ”“ได้จ้ะ”ประเทศไทยร้านอาหารของอลัน“ทำไมเหรอบี ไม่อร่อยเหรอ” จินนี่ถามเพื่อนรักอย่างสงสัย เมื่อเธอทำหน้าเบ้ รีบเลื่อนจานสเต๊กเนื้อที่เพิ่งกินไปได้แค่คำเดียวออกห่างตัว“ฉันว่าเนื้อมีกลิ่นแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไม่อร่อยเหมือนทุกครั้งที่เคยกินด้วย” พรพิมลตอบคำถามแล้วรีบดื่มน้ำตาม เพื่อล้างกลิ่นที่ติดอยู่ในปาก“จริงเหรอ” จินนี่ลองจิ้มเนื้อสเต๊กจากจานของเพื่อนมาดม เมื่อไม่มีกลิ่นแปลกปลอมอะไรก็ลองชิม ค่อย ๆ ละเลียดเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นอย่างที่เพื่อนบอกหรือไม่ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วแปลกใจ เพราะรสชาติปกติดีทุกอย่าง “เธอไม่สบายหรือเปล่าบี สเต๊กเขาก็อร่อยดีนี่นา”“จริงเหรอ”“จริงสิ รสชาติแบบที่เราเคยกินเลย” แล้วค่อย ๆ ขยับตัวโน้มหน้าไปหาเพื่อน “เธอทำแบบนี้แฟนเธอเสียหายนะ







