“ฟังให้ดีนะเจ้าหนู ฉันไม่ใช่คนที่นายคิดว่าใช่ ฉันคือคุณชายลู่พูดซิ…คุณชายลู่”
“แต่ท่านย่าเคยบอกว่าคนที่ถูกเรียกว่าคุณชายต้องเป็นลูกขุนนาง หรือไม่อย่างนั้นฐานะทางบ้านก็ต้องร่ำรวยมากนะขอรับ”
“ฮ่า ๆ พูดได้ถูกต้องแล้ว บ้านฉันรวยมาก ถ้าออกจากความฝันครั้งนี้แล้วฉันก็จะได้กลับไปบ้านล่ะนะ” พูดแล้วฉางกังก็ยืดตัวใช้มือตบลงที่กลางอกแคบ ๆ ของตนเองสองสามครั้ง “คุณชายลู่ ไหนลองพูดสิ”
“…ท่านพี่”
“คุณชายลู่”
“…ท่านพี่อา”
"คุณชายลู่"
"...ท่านพี่อา"
หากไม่คิดว่าเด็กคนนี้ยังอายุน้อยเกินไปเขาคงคิดว่ากำลังถูกกวนประสาทอยู่ ลู่ฉางกังเหนื่อยใจที่จะสั่งสอนเขาแล้วจึงได้เปลี่ยนเรื่องใหม่
“อายุเท่าไร”
“ข้าเจ็ดขวบขอรับ ท่านยายเพิ่งทำบะหมี่อายุยืนให้กินเมื่อสามวันก่อน”
“ที่แท้ก็เพิ่งจะผ่านวันเกิดมาไม่นานเองนี่”
“นี่ สองคนน่ะ! จะไปอาบน้ำได้รึยังหา!” เสียงย่าหลิวร้องตะโกนมาจากนอกเรือน ฉางกังและฉางเกอจึงรีบหอบผ้าวิ่งออกมาด้านนอก พวกเขาทั้งสองวิ่งผ่านหญิงอาวุโสตรงมายังลำธาร พอมาถึงข้างสะพานตรงที่สองพี่น้องมาอาบน้ำเป็นประจำฉางเกอก็รีบเปลื้องผ้าโดยเร็ว น้ำบริเวณนี้เป็นทางน้ำไหลผ่าน
ตื้น ๆ ต่อให้เด็กเจ็ดขวบลงเล่นก็ไม่ถือเป็นอันตรายฉางกังยืนมองเด็กน้อยเปลื้องผ้าล่อนจ้อน เขาครุ่นคิดในใจว่าจะเอาอย่างไรต่อดี...
...จะให้แก้ผ้าอาบน้ำเป็นเพื่อนเด็กเนี่ยนะ ให้ตายเถอะ
"ท่านพี่ไม่อาบน้ำหรือขอรับ"
"เฮ้อ ที่จริงฉันควรจะตื่นได้แล้ว มัวมาเล่นตลกอะไรอยู่ที่นี่นะ"
"ท่านพี่ ท่านย่าดุมากนะขอรับ"
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายตัวเล็กบอกกล่าวพี่ชายด้วยความเป็นห่วง เพราะกลัวว่าผู้เป็นพี่จะถูกย่าหวดไม้เรียวอีกหน ทว่าฉางกังกลับทอดมองเด็กคนนี้ด้วยแววตาเรียบเฉย
"อาบก็อาบ อยู่ในร่างเด็กต้องอายอะไรอีก"
พูดจบก็เปลื้องผ้าออกจนหมดแล้วเดินลงลำธารไปแช่น้ำ อุณหภูมิของน้ำในลำธารช่างเย็นเยียบหนาวสะท้านเข้าไปจนถึงกระดูก ปกติแล้วเขาอาบน้ำอุ่นจากเครื่องทำน้ำอุ่นอย่างดี พอเนื้อตัวสัมผัสอุณหภูมิธรรมชาติก็ตั้งรับไม่ทัน
"ไม่หนาวเหรอ" เขาถาม
"ไม่ขอรับ ช่วงฤดูหนาวท่านย่าจะต้มน้ำให้อาบ ช่วงนี้เป็นฤดูร้อนท่านย่าอนุญาตให้อาบน้ำในลำธารได้ เย็นชื่นใจดีขอรับ"
ก็อย่างว่า เด็ก ๆ ชอบเล่นน้ำเป็นพิเศษ ตอนที่เขายังเด็กก็เป็นเช่นนี้ประจำ เขาชอบเล่นน้ำฝนเป็นที่สุด ยิ่งเข้าฤดูฝนฉางกังเคยวิ่งเล่นเปียกปอนจนเป็นไข้หนาวสั่น คุณย่ามักจะบ่นเขาอยู่เสมอ พอโตขึ้นมาหน่อยฉางกังก็เลิกชอบเล่นน้ำฝนแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ รสชาติความสนุกมันขาดหายราวกับว่ามีคนมาขโมยความสุขในช่วงนั้นไป...
ตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่พักหนึ่ง น้ำเย็นก็สาดกระเซ็นมาเต็มหน้า เพราะฉางเกอวิดมันใส่เขาสุดแรงทำให้ฉางกังอยากจะเอาคืนบ้าง เขาดันผิวน้ำพุ่งเข้าใส่น้องชายจนเข้าตาเข้าจมูก ผู้เป็นน้องชายปล่อยเสียงไอออกมาหลายครั้งแล้วรีบกระโดดขึ้นจากน้ำหาผ้ามาคลุมร่าง
“ไม่เล่นแล้ว ท่านพี่ขี้โกง”
…หึ เรื่องแกล้งเด็กคืองานถนัด
เมื่อแกล้งเด็กได้ฉางกังก็หัวเราะชอบใจ เขาเองต้องรีบขึ้นจากน้ำเช่นกัน มิเช่นนั้นความเย็นของน้ำอาจทำให้เขาไม่สบายเอาได้ ขึ้นจากน้ำแล้วทั้งสองก็จัดการสวมใส่เสื้อผ้าใหม่เรียบร้อยจึงได้เดินตามกันกลับเรือน ในระหว่างทางเดินกลับฉางกังมีความคิดหนึ่งผุดขึ้น
เอ๊ะ…นี่เราก็ฝันมานานแล้วเมื่อไรจะตื่นเสียที หากต้องใช้ชีวิตในครอบครัวที่ยากจนขนาดนี้ไปนาน ๆ ไม่ดีแน่ ไม่สะดวกสบายเลยสักนิด เอ…หรือว่าต้องลองเอากล่องไม้โบราณนั้นมาเปิดดู หากเปิดกล่องไม้นั้นเราก็อาจจะวาร์ปไปเหมือนในละคร
เขาหมกมุ่นครุ่นคิดจนไม่รู้ตัวว่าได้เดินมาถึงเรือนแล้ว มองเข้าไปในห้องครัวเห็นย่าหลิวกำลังปรุงอาหารมื้อเย็นอยู่พลันให้บังเกิดความสงสัย หน้าที่ทำอาหารควรเป็นของสะใภ้ ทว่าตั้งแต่เขาก้าวเท้ามาที่เรือนยังไม่เห็นแม่ของเด็กคนนี้เลย
“จริงสิ ลู่เกอ”
“ขอรับ"
“ตั้งแต่ฉัน…เอ่อ ตั้งแต่เรากลับมายังไม่เห็นแม่เลย”
“ท่านแม่น่ะหรือขอรับ เวลานี้น่าจะกำลังเอาของไปขายที่ตลาดยังไม่กลับมา”
“ที่นี่มีตลาดด้วยเหรอ”
“มีขอรับ ท่านพี่กับข้าก็เคยไปมาแล้ว ที่ตลาดมีขนมอร่อยเยอะ ๆ มีของให้เล่นเยอะ ๆ มีคนเยอะ ๆ ด้วย”
…ช่างขยันพูดเสียจริงเด็กน้อยคนนี้
ตลาดในพื้นที่ชนบทจะไปมีอะไรน่าสนใจ ของราคาถูกและเก่าเก็บคงไม่มีอะไรต้องตาต้องใจเขา ที่นครฉงเทียนไม่ว่าเขาต้องการสิ่งใดแทบไม่ต้องออกไปจับจ่ายเลือกซื้อเอง แค่สั่งเข่อซิงคำเดียว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามของก็มาเกยตรงหน้า ชีวิตสุขสบายดุจราชา เพียงแค่มีเงินอยู่ในมือทุกสิ่งอย่างต่างได้มาพร้อมจบและครบหมด
ตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป