พออาเจียนออกจนหมดตั้งแต่ตอนกลางวัน เสียงท้องของฉางกังก็เริ่มร้องประท้วง คุณย่าที่ทำอาหารเสร็จแล้วกำลังยกอาหารมาวางบนโต๊ะไม้เก่า ๆ ได้หันมามองเขาแล้วย่นคิ้ว
"ลู่กัง มานี่ซิ"
นางร้องเรียกให้เดินตามเข้าไปในเรือน คนถูกเรียกอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างยิ่งเพราะย่าหลิวยามนี้ต่างจากเดิมไปเสียมาก ไม่รู้ว่าคุณย่าผู้ใจดีและอ่อนโยนคนนั้นหายไปไหน แต่กลับได้แม่เฒ่าจอมโหดนี้มาแทน จะว่าไปแม่เฒ่าหลิวผู้นี้ไม่ใช่แค่อุปนิสัยเพียงอย่างเดียวที่แตกต่างจากคุณย่า ลักษณะภายนอกนั้นดูเหมือนคุณย่าตอนที่ยังอายุน้อยกว่าเดิมสิบปี นางสามารถเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่ว ร่างกายยังแข็งแรงดีมาก แม้แต่ท่าทางถือไม้เรียวตามหลานกลับบ้านก็ยังดูเดินเหินได้สะดวก
ส่วนคุณย่าที่นครฉงเทียนนั้นชรามากแล้ว อาจเป็นเพราะท่านมีโรคประจำตัวเรี่ยวแรงก็เลยลดน้อยถอยลงตามสภาพ แต่จะเอาอะไรกับความฝันได้ล่ะ...ฉางกังคิดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะ หึ ๆ ในลำคออย่างไรเสียความฝันก็คือความฝันวันยังค่ำ อย่าว่าแต่จะฝันให้คุณย่าแข็งแรงสุขภาพดีเลย ต่อให้ฝันว่าเขามีปีกงอกออกมาก็ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่จะฝันต่อไปว่าลี่อินให้อภัยเขาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก...
"เรียกไม่ได้ยินหรือ"
แม่เฒ่าหลิวตบลงที่ต้นขาตนเองหนึ่งฉาดใหญ่ ฉางเกอเห็นพี่ชายยืนเหม่อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้ยินเสียงเรียกจึงได้จูงมือฉางกังเข้าหาท่านย่า เมื่อเด็กทั้งสองได้มาอยู่ต่อหน้าหญิงแก่แล้วลู่ฉางเกอจึงได้พูดขึ้นว่า...
"คุณชายลู่มาแล้วขอรับท่านย่า"
...เฮือก! จะ เจ้าเด็กนี่มัน! ตอนให้เรียกไม่ยอมเรียก พออยู่ต่อหน้าคุณย่ามันดันเรียกเสียงั้น
"ใครสั่งใครสอนให้เรียกอย่างนี้หา!"
พอย่าหลิวถามเจ้าเด็กตัวแสบก็ชี้นิ้วมายังเขา ฉางกังถลึงตาใส่เด็กน้อยแล้วหันมายิ้มแห้งให้ผู้อาวุโส นางไม่ได้ยิ้มตอบแต่อย่างใด
"ลู่กัง หันก้นมานี่"
"จะ จะตีผมอีกแล้วเหรอเนี่ย โธ่ คุณย่า!"
"หันก้นมาเดี๋ยวนี้"
ด้วยท่าทางที่รั้งรอของเด็กชายทำให้แม่เฒ่าคว้าตัวเขามาอย่างรวดเร็ว นางกดเขาให้คว่ำหน้านอนพาดตัวลงบนตักตนเอง จากนั้นถลกกางเกงฉางกังออกจนเห็นแก้มก้นสองข้างขาวผ่องน่าหยิกอย่างกับลูกซาลาเปา
"อย่านะคุณย่า"
ฝ่ายฉางกังก็ดิ้นรนถีบเท้าไปมาเพราะคิดว่าจะถูกตีซ้ำอีก ที่ไหนได้คุณย่าเอายาแก้ฟกช้ำมาป้ายทาให้เขาอย่างเบามือ ปากก็บ่นสั่งสอนไปพลาง
"ลู่กังเอ้ย...ทีหลังก็อย่าดื้อเข้าใจหรือไม่ เจ้าตัวแค่นี้เอง น้องเจ้าก็ยังเล็กมาก พาน้องไปเที่ยวเล่นไกลตาผู้ใหญ่หากมีอะไรเกิดขึ้นเจ้าจะปกป้องตนเองและน้องได้อย่างไร เป็นพี่ต้องแลดูน้อง ไม่ใช่คอยแต่หาเรื่องให้ย่าปวดหัว"
“…”
ไม่ว่าเรื่องจริงหรือความฝันย่าหลิวก็มักห่วงใยหลานมาก่อนเป็นอันดับแรก ที่วันนี้ถูกตีก็เพราะความเป็นห่วง ฉางกังนิ่งเงียบฟังแล้วภาพถาดยาที่วางอยู่หน้าประตูก็ลอยเข้ามาในหัว ย่าหลิวเป็นห่วงเขาขนาดนั้นแต่เขาก็ยังมองข้ามเลือกที่จะเดินผ่านไปโดยไม่ใยดี ปฏิเสธความหวังดีของคนรอบตัวแล้วเอาแต่ความพอใจของตนเองเป็นหลัก ตอนนี้เขารู้เริ่มรู้สึกผิดแล้วจริง ๆ
“เข้าใจที่ย่าพูดไหม”
“เข้าใจครับ”
“ช่วยพูดจาให้เหมือนชาวบ้านเขาหน่อยซี เอาแต่เที่ยวเตร่กับเด็กในหมู่บ้านจนติดภาษาวิบัติมาหรืออย่างไร"
นางไม่ค่อยสบอารมณ์กับวาจาแปลกประหลาดของหลานชายนักจึงได้ดุเขาอีกรอบ ฉางกังรีบดึงกางเกงขึ้นมาแล้วถอยออกห่าง แก้มสองข้างแดงฉานด้วยความอาย เข้าโตเป็นหนุ่มแล้วนะ...เป็นประธานบริษัทแล้วด้วย จะมานอนแก้ผ้าเปิดก้นให้ย่าทายาให้ได้อย่างไร
“เอ้า! ดูทำเข้าซี ดื้อเสียจริงลูกชายเจ้าเชาถงนี่ คนพี่ดื้อร้าย ส่วนคนน้องดื้อเงียบ ข้าจะได้แก่ตายหรือปวดหัวตายก่อนละเนี่ย”
เงียบจากเสียงบ่นย่าหลิวก็มีเสียงหัวเราะของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นมา เงาร่างของสตรีผู้นั้นโผล่พ้นประตูหน้าบ้านเดินเข้ามาด้านใน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า นางสวมใส่หมวกฟาง บนหลังของนางมีตะกร้าที่สานด้วยไม้ไผ่ พอฉางเกอ
มองเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปกอดขาตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป