คนทั้งสองต่างเมาหัวราน้ำฟุบหลับไปบนเก้าอี้ตื่นขึ้นมาอีกคราก็พบว่าเป็นเวลาสายมากแล้ว อากาศด้านนอกหนาวเหน็บแต่คนทั้งคู่มีร่างกายที่แข็งแกร่งดั่งหินผา ฝ่าความหนาวสู้รบกลางหิมะมานับสิบปีร่างกายจึงทานทนเป็นอย่างยิ่งความหนาวเล็กน้อยไม่ทำให้พวกเขาสะเทือน
ผิดกลับหนานอิงสตรีอ่อนแอผู้นั้น นางเป็นคุณหนูของเศรษฐีโรงผลิตเครื่องหอมในเมืองซูอาน บิดาของนางนอกจากจะมีกิจการค้าขายเครื่องหอมที่ส่งออกขายไปทั่วแคว้นแล้วยังเป็นเจ้าของโรงจำนำเลื่องชื่อ
หนานอิงเดิมทีไม่เคยออกไปให้ผู้ใดยลโฉมเป็นสตรีในห้องหอผู้หนึ่ง เดิมนางเป็นบุตรสาวของอนุที่เพราะความชอบของบุตรสาวที่สร้างชื่อเช่นหนานอิงบิดาจึงเลื่อนฐานะของมารดาขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง มีหน้ามีตายิ่งกว่าฮูหยินใหญ่เสียอีก
หนานอิงงดงามอ่อนหวาน เชี่ยวชาญในศาสตร์และศิลป์ทุกด้านอีกทั้งยังปราดเปรื่องในเรื่องเครื่องหอมอันได้รับคุณสมบัติส่วนนี้ตกทอดมาจากบิดา
ความงามของนางเลื่องลือไปทั่วเมือง นางกลายเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งและคิดค้นเครื่องหอมใหม่ ๆ ออกมาขายสร้างกำไรให้แก่สกุลหนานเป็นอันมาก
เพราะเป็นเช่นนี้ถึงเป็นลูกอนุแต่นางกลับได้รับความโปรดปรานจากท่านหนานเป็นอย่างยิ่ง บุรุษหนุ่มบุตรชายพ่อค้าที่ร่ำรวยต่างอยากได้นางเป็นภรรยาเอกกระทั่งมีแม่สื่อเดินเข้าออกคฤหาสน์สกุลหนานไม่ขาดสาย
ด้วยเหตุนี้ฮูหยินใหญ่จึงเกลียดหนานอิงยิ่งนัก ยิ่งเห็นท่านหนานใส่ใจเสาะหาบุรุษที่ดีพร้อมให้กับหนานอิงโดยที่ไม่ให้ฮูหยินใหญ่ยุ่งเกี่ยวทั้งยังหาคนที่ดีมากยิ่งกว่าบุตรสาวของฮูหยินใหญ่เสียอีก ยิ่งสร้างความเกลียดชังให้กับสตรีที่มีฐานะเป็นมารดาเลี้ยงเช่นฮูหยินใหญ่มากยิ่งขึ้น
หนานอิงหมั้นหมายกับคนของสกุลหวังผู้หนึ่ง เขาเป็นบัณฑิตรูปงามปีนี้สอบจอหงวนได้สำเร็จและอีกไม่นานเขาจะรับหนานอิงเป็นฮูหยินเอกของจวน สร้างความปลาบปลื้มให้กับบิดาของนางเป็นอย่างมากส่งผลให้ฐานะในจวนของมารดาของหนานอิงที่มีบุตรสาวเป็นที่พึ่งทำให้บ่าวยิ่งยำเกรงดูจะสูงกว่าฮูหยินใหญ่ไปแล้ว
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้นในวันที่นางนำเครื่องหอมที่คิดค้นใหม่ไปยังร้านค้า กลับถูกกลุ่มคนชั่วจับตัวแม้คนคุ้มกันของนางจะมีมากแต่มีหรือจะสู้โจรร้ายได้
พวกเขาเรียกร้องเงินทองจากบิดาเป็นค่าไถ่จำนวนหนึ่ง แต่ไม่คิดจะส่งนางคืนให้บิดายังคิดจะขายนางเข้าหอนางโลม หนึ่งในโจรชั่วกลับต้องใจนางไม่สามารถระงับอารมณ์ได้จึงวางยานางและคิดย่ำยี
กระทั่งทหารของซู่อ๋องและอวิ๋นอ๋องยกทัพกลับจากชายแดนมาพอดี ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ามีกลุ่มโจรบนภูเขาคอยปล้นสะดมชาวบ้าน
เหล่าทหารได้รับการไหว้วานให้ช่วยจัดการ ซู่อ๋องสั่งลูกน้องฝีมือดีขึ้นเขากำจัดโจรถ่อยจนสำเร็จในนั้นมีนางโลมที่ถูกพวกเขานำตัวมาปรนเปรออยู่หลายคน
นางโลมพวกนั้นปรนเปรอทหารหลายคนจนสำราญ หนานอิงที่กำลังกระสันอยากเพราะยากำหนัด มีใบหน้างดงามโดดเด่นจึงถูกจับตัวส่งท่านอ๋องทั้งสองเพื่อเชยชม
หนานอิงนอนสลบไม่รู้ตัว ถูกโจรจับมาอยู่ในสถานที่เย็นอยู่สองวันสองคืนโดยไม่ได้รับความอบอุ่นที่เพียงพอจึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ
หลังถูกช่วยออกมาได้ยังต้องรับศึกกามอันหนักหน่วงและสองอ๋องผู้ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับสตรีนอกจากปลดปล่อยความใคร่ยังปล่อยให้นางนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงโดยไม่มีสิ่งใดห่อหุ้นร่างกายท่ามกลางอากาศที่เหน็บหนาวแทบทั้งคืน
นั่นจึงทำให้หนานอิงจับไข้จนตัวร้อน ปากคอของนางแห้งผากนางรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างราวกับกำลังถูกใครสักคนเอามีดมาเฉือนเนื้อทีละชิ้นแม้กระทั่งเสียงครางที่หลุดออกมานางยังไม่มีแรง เมื่อขยับตัวก็คล้ายถูกเข็มเป็นพันเป็นหมื่นทิ่มตำร่างกาย เจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมาเปรอะเปื้อนใบหน้า
หนานอิงถูกทิ้งอย่างเดียวดายอยู่บนเตียง กระทั่งสองอ๋องนั้นตื่นขึ้นพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะมองมายังนางผู้ให้ความสุขอันบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนกับพวกเขาในราตรีที่ผ่านมา
หานเซียวลุกขึ้นจากเก้าอี้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างยิ่งแม้ไม่ได้นอนบนเตียงนุ่มนิ่มแต่นักรบเช่นเขาแค่เพียงได้งีบหลับอย่างเต็มตาไม่ต้องคอยหวาดระแวงด้วยเกรงศัตรูจะลอบสังหารก็เท่ากับได้นอนอย่างสุขสบายที่สุดแล้ว
เมื่อมีเสียงขยับภายในกระโจมแม้จะเป็นเสียงที่แผ่วเบาลู่หนิงหวังพลันรู้สึกตัว มือของเขากำกระบี่ที่วางอยู่ข้างกายอย่างระวังแต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยืนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ข้างกายคือน้องชายต่างสายเลือดก็ยิ้มออกมา
สิ่งที่ทำให้เขายิ้มได้คือในทุกวันได้รู้ว่าน้องชายผู้ร่วมเป็นร่วมตายกับเขามาตั้งแต่ยังเยาว์มีชีวิตอยู่
หานเซียวเดินไปหยิบผ้าสะอาดผืนหนึ่งที่ทหารเตรียมไว้ให้แต่เช้าตรู่แล้วโยนให้ผู้เป็นพี่ เขารู้สึกเหนียวตัวเป็นอย่างยิ่งจึงคิดจะอาบน้ำเสียหน่อยจึงเดินออกไปทั้งที่เปลือยร่างสั่งทหารให้นำน้ำอุ่นถังใหญ่มาให้เขาชำระร่างกายพร้อมพี่ชาย
หานเซียวยังมีน้ำใจเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างขาวโพลนยังนอนหลับอยู่บนเตียงเพื่อไม่ให้ทหารพวกนั้นเห็นเขาจึงเดินเข้ามาปลดม่านบังตาสีขาวลงเป็นการปิดบังนางเอาไว้
เขาไม่รู้ว่าลู่หนิงหวังยังต้องการนางเป็นอนุหรือสตรีข้างห้องหรือไม่จึงป้องกันสายตาผู้คนไว้ก่อน ส่วนเขานั้นไม่คิดจะผูกพันกับนางต่อ
ในเมื่อเชยชมสมใจแล้วมองหาสตรีใหม่จะไม่ดีกว่าหรือ
ลู่หนิงหวังเห็นท่าทีอันอ่อนโยนต่อสตรีของน้องชายของเขาถึงกับหัวเราะออกมา
"เจ้าชอบนางหรือ คิดจะให้นางเป็นอนุหรือ"
หานเซียวหัวเราะ
"ข้าคิดว่าท่านพี่ชอบนางเสียอีก"
ลู่หนิงหวังเบ้ปาก เขาไม่มองนางด้วยซ้ำ งดงามแล้วอย่างไรในเมื่อเขาเชยชมไปแล้วมีสิ่งใดน่าดึงดูดอีกเล่า
"ข้าไม่คิดจะนำนางกลับจวนเช่นกัน สตรีมักนำพาเรื่องวุ่นวายมาให้เจ้าเองก็รู้ดี"
ผู้เป็นน้องชายพยักหน้าเห็นด้วยกับลู่หนิงหวัง
ทหารร่างกำยำหลายนายช่วยกันยกอ่างอาบน้ำอุ่นเข้ามาด้านใน ได้ยินพวกเขาสนทนากันแต่ไม่ปริปากเพียงแต่ลอบมองไปยังคนที่ทำให้พวกเขาเสียน้ำโดยไม่รู้ตัวบนเตียงนั่น
แม้จะเห็นรางเลือนแต่ความขาวของนางใช่จะปิดบังกันได้ง่าย
"เจ้าชอบหรือ?"
ลู่หนิงหวังเอ่ยถามทหารผู้นั้นเสียงเยียบเย็น
เขาตกใจรีบคุกเข่าลงทันใด สตรีของท่านอ๋องแม้จะเป็นนางโลมหากท่านอ๋องไม่ยกให้ผู้ใดก็หาได้มีใครกล้าที่จะแตะต้องนางอีก
"หามิได้ขอรับ"
ทหารผู้นั้นก้มหน้าต่ำลง ท่าทางของเขาเป็นจริงเช่นนั้นคือไม่อาจเอื้อม
ลู่หนิงหวังผู้เห็นกองทัพเป็นชีวิตคนในกองทัพคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขเขาจึงไม่รอช้าที่จะเอ่ยว่า
"หากเจ้าชอบนางล่ะก็..."
หานเซียวรู้ว่าพี่ชายของตนจะพูดคำใดออกมา แต่แวบหนึ่งในใจเขาไม่เคยเห็นพี่ชายนอนกับสตรีใดอย่างบ้าคลั่งเช่นคืนที่ผ่านมาพลันคิดว่าบางทีนางอาจยังเป็นที่ต้องการอยู่เขาจึงยับยั้งเอาไว้ก่อนที่จะรู้สึกผิด
"เจ้าออกก่อนไปเถิด ให้ท่านแม่ทัพไตร่ตรองให้ดีก่อนเจ้าก็รู้อารมณ์ของเขาดีบางครั้งก็ผลุนผลันไปหน่อย"
ทหารผู้นั้นแม้จะเสียดายแต่ก็เข้าใจเป็นอย่างดี หากท่านแม่ทัพเปลี่ยนใจขึ้นมาคนที่แตะต้องของ ๆ เขาก็อาจจะแย่ไปตาม ๆ กัน
เสียงของคนสนทนากันดังอยู่ด้านนอกหนานอิงได้ยินบางคำชัดบางคำไม่ชัดเจน ร่างกายของนางร้อนยิ่งกว่าไฟครานี้หาใช่ด้วยยาปลุกกำหนัดแต่เป็นเพราะพิษไข้ที่กำลังเข้าเล่นงาน
นางรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะตายเสียแล้ว จู่ ๆ นางบังเกิดอาการหายใจไม่ออกร่างกายดิ้นไปมาตามสัญชาตญาณ นางยกมือทุบหน้าอกของตนเองด้วยความเจ็บปวด กระทั่งผ่านมาชั่วครู่จึงได้รู้สึกดีขึ้น
ตอนพิเศษ ลูกของข้า ความทรงจำของลู่หนิงหวังที่มีเกี่ยวกับบิดาของตนเองนั้นช่างเลือนลางจนจำไม่ได้ เขาไม่เคยรับรู้และเข้าใจความหมายของคำ ๆ นี้ จนกระทั่งเมื่อเขาได้พบเด็กชายสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงเขากับหานเซียวเป็นอย่างยิ่งเขาไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้เป็นบุตรของผู้ใดระหว่างเขาและหานเซียว ในยามนั้นเมื่อได้พบและคิดว่าใช่ใจของเขากลับหวาดหวั่นอย่างรุนแรง ว่าได้พบหนานอิงนั้นทำให้เขาหวาดกลัวแล้วการได้พบบุตรชายกลับทำให้ลู่หนิงหวังหวาดกลัวมากยิ่งกว่าลู่หนิงหวังรู้สึกสับสนเขากลัวว่าจะเป็นพ่อที่ไม่ดีพอให้เด็กรักใคร่และไม่รู้ต้องทำตัวเช่นไร เมื่อในยามนั้นหานเซียวส่งเด็กสองคนนี้มาสู่อ้อมแขนของเขา“หากอยากประลอง ก็ประลองกับองค์รักษ์ของข้า”ชั่วขณะนั้นที่หานเซียวชี้มาที่ตัวเขา ความรู้สึกหวาดหวั่นนั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งเด็กน้อยทั้งสองเดินอย่างองอาจมาหาเขาโดยไร้ความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงกระทั่งมือเล็ก ๆ สองข้างกำลังจับจูงมือของเขาคนละข้าง ในยามนั้นพลันเกิดเหงื่อชื้นขึ้นที่ฝ่ามือ ความรู้สึกไหลเวียนไปจนทั่วร่าง แต่ที่แปลกประหลาดคือความรู้สึกสับสนนั้นกลับหายไปในที่สุดมือของเขาสั่นเทาอยู่
ตอนพิเศษ อยากมีอีกเยอะ ๆในตอนที่หนานอิงกำลังชงชาโดยมีอาโจวคอยช่วยเหลืออยู่นั้นขันทีก็รีบเดินกึ่งวิ่งเข้ามารายงาน“ทูลหนานเฟย ฝ่าบาททรงว่าราชการเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงยิ้มแล้วกล่าวว่า“ดียิ่ง ว่าแต่ว่าเหตุใดเจ้าจึงดูร้อนรนยิ่งนัก”“ทูลพระหนานเฟย ท่านอาจารย์ให้กระหม่อมมาทูลว่ามีคนถวายฎีการ้องเรียนเกี่ยวกับองค์ชายทั้งสองที่ทรงแกล้งบุตรชายของท่านราชครูขอรับ แต่ฝ่าบาทเอาแต่เข้าข้างองค์ชายจึงอยากให้หนานเฟยช่วยทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงหุบยิ้มโดยทันใด บุตรชายของนางทั้งสองบัดนี้กลายเป็นองค์ชายใหญ่ลู่หานและองค์ชายรองลู่โหยวที่มีพระอาจารย์อ้ายเจิงเป็นคนลงมือสั่งสอนกับมือ เหตุใดจึงได้ไปกลั่นแกล้งบุตรชายของท่านราชครูซึ่งเป็นสหายเรียนด้วยกันได้อันที่จริงก็พี่น้องกันทั้งนั้น ด้วยบุตรชายของท่านราชครูก็คือหลานของนางเอง ด้วยภายหลังมานี้พี่สาวฝาแฝดของหนานอิงนั้นด้วยความรักตัวกลัวตายหลังจากสกุลหนานล่มสลาย นางทั้งสองก็รีบดีดตัวออกจากสกุลหนานโดยไม่คิดข้องเกี่ยวอีกกระทั่งการที่ฮูหยินใหญ่มารดาของพวกนางถูกหนานอิงจัดการพี่สาวทั้งสองก็ยังได้แต่เอ่ยคำว่าอมิตาพุทธไม่คิดแค้นก่อกรรมทำเข็ญต่อไป
ตอนพิเศษ ยามเมื่อฟื้นคืนทุกอย่างเปลี่ยนผัน ดอกเหมยในลานกว้างเบ่งบานและร่วงหล่นตกกระทบร่างสูงของบุรุษกลุ่มหนึ่งที่เดินฝ่าความมืดมิดโดยมีเพียงแสงโคมนำทางเล็ก ๆ คอยส่องกระทบพื้นบุรุษผู้หนึ่งอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำปักลายมังกร ใบหน้าคมคายหล่อเหลานัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้า แม้ว่าใบหน้านั้นคล้ายจะอมทุกข์และให้ความรู้สึกสูงส่งและเย็นเยียบ อีกทั้งให้กลิ่นอายของความเหี้ยมโหดเอาเสียดื้อ ๆบุรุษผู้นั้นสูดลมหายใจเข้าลึกสูดดมความหอมของกลิ่นบุปผาเข้าปอด นานแล้วที่เขาไม่เคยได้ทำเช่นนี้ คล้ายกลับว่าความหวังอันลางเลือนของเขาพลันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง“ฝ่าบาทระวังพ่ะย่ะค่ะ”อดีตพ่อบ้านจวนอ๋องบัดนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกงกงคนสนิทของเขา แม้จะไม่ได้ผ่านพิธีการตอนดั่งเช่นกงกงผู้อื่นแต่เมื่อเขาต้องการก็มิกล้ามีผู้ใดปริปากลู่หนิงหวังก้าวเท้าเร็วกระทั่งไปถึงหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง เมื่อผลักประตูเข้าไปด้านในก็พบอ้ายเจิงและหมอหลวงหัตถ์เทวดาอ้ายเสิ่นบิดาของเขารออยู่ด้านในคนทั้งสองทำความเคารพเขา ลู่หนิงหวังยกมือขึ้นห้าม“ไม่ต้องมากพิธี ข้ากับพวกท่านข้าขอเถิด”ถึงเขาจะเป็นฮ่องเต้ของคนในใต้หล้า ลู่หนิงหวังก็ขอสักที่ท
หนานอิงพยักหน้า จุมพิตปลายคางของหานเซียวอย่างมีความสุขที่ผ่านมาล้วนเป็นนางที่เลี้ยงดูเด็กทั้งสองเพียงลำพัง การคิดตัดสินใจก็ล้วนเป็นนางที่ชี้นำ ในยามนี้การมีหานเซียวเคียงข้างทำให้หัวใจของหนานอิงอบอุ่นยิ่งกว่าจะออกจากห้องก็ฟ้ามืดแล้ว เด็กสองคนบัดนี้วิ่งเข้ามาหานางเหงื่อของพวกเขาโทรมกาย เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น ฝ่ามือห้อเลือดเล็กน้อยทั้งยังวิ่งเข้ามาร้องไห้โฮกอดขานางพลางฟ้องเสียงสั่น“ท่านแม่ท่านลุงผู้นั้นฝึกวรยุทธ์ให้ข้า ยังให้ข้านั่งท่าม้าอะไรก็ไม่รู้อยู่หลายชั่วยาม เขายังถือไม้จะตีข้าด้วย ป้ายของท่านพ่อเขาก็เอาไปบอกข้าและน้องชายอ่อนแอ ไม่คู่ควรที่จะห้อยมัน”คนผู้นั้นทำหน้าเย็นชา เอ่ยคำหนึ่ง“เป็นบุรุษเรื่องนี้เล็กน้อยยิ่ง ยังร้องไห้งอแงราวเด็กทารก เป็นเช่นนี้จะปกป้องผู้ใดได้”หนานอิงได้ยินเช่นนั้นตกใจยิ่ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันควัน"นายน้อยองครักษ์ของท่านผู้นี้ เหตุใดทำให้ลูกชายข้าเจ็บตัวเช่นนี้ การประลองกับเด็กท่านควรออมมือให้มากมิใช่ทำให้พวกเขาบาดเจ็บ ข้าไม่ยอมท่านต้องจัดการเขาให้ข้าด้วย"“อิงอิงเจ้าใจเย็น ๆ ก่อน เขาคงไม่ได้ตั้งใจ”หานเซียวทำท่าประหลาด ทั้งยังมองคนของตนด้วยสายต
หนานอิงน้ำตาไหลพราก เมื่อเห็นว่ามารดาร้องไห้เด็กทั้งสองรีบวิ่งเข้ามากอดหนานอิงกอดลูกร้องไห้ นานหลายปีแล้วตั้งแต่บุตรชายฝาแฝดเกิดมาที่นางไม่เคยหลั่งน้ำตาอีก"ท่านแม่ท่านร้องไห้ทำไม ท่านลุงหนวดยาวผู้นี้ทำร้ายท่านหรือ ข้าจะตีเขาให้อย่าร้องนะขอรับ"หนานอิงปาดน้ำตา หานเซียวชี้ที่ตัวเอง"ข้ามิได้รังแกแม่ของเจ้า ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น"หนานอิงยิ้มให้เด็กชายทั้งสอง ก่อนจะส่งเด็กน้อยให้แม่นางเหมยเซียง"ข้าไม่ไป ข้าจะสั่งสอนลุงหนวดยาวผู้นี้ที่กล้ารังแกท่าน"หานเซียวอยากจะหยิกแก้มเด็กน้อย อยากจะโอบกอดพวกเขาแต่สองคนนี้ถือตัวและเหย่อยิ่งเป็นอย่างยิ่ง"อย่ามาแตะข้า คนแปลกหน้ามาประลองกัน"หนานอิงเอ่ยเสียงดุ"ไปอยู่กับท่านยาย แม่มีธุระจะสนทนากับคนผู้นี้"ได้ยินเสียงดุของหนานอิงเด็กทั้งสองถึงกับคอตก"ขอรับ"รับคำพร้อมกันแล้วหันหลังเดินไปหาแม่นางเหมยเซียง หานเซียวจึงเอ่ยขึ้น"หากเจ้าอยากประลอง นั่นคือองครักษ์ของข้าเจ้าประลองกับเขาได้ หากชนะจะให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้""จริงหรือขอรับ"เด็กสองคนหันมาแล้วเอ่ยพร้อมกันหานเซียวพยักหน้า องครักษ์ผู้นั้นจึงถูกเด็กถือตัวทั้งสองยอมแตะต้องตัวเขาแล้วลากจูงไปข้างนอกเพื่
หานเซียวและองค์รักษ์ของเขาแอบตามเด็กน้อยอย่างเงียบเชียบ เห็นเด็กสองคนนี้ถูกแยกออกมาจากเด็กผู้อื่นและมีอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาคอยสอนให้เป็นพิเศษก็เกิดสงสัยเป็นอย่างยิ่งเป็นถึงหลานของแม่นางเหมยเซียง เหตุใดจึงไม่ให้มาเรียนที่สำนักศึกษาทั้งที่มีเงินทองมากมายปานนั้น เขารอจนกระทั่งเด็กทั้งสองออกมาแล้วจึงแสร้งไปตีสนิทเพื่อพูดคุยด้วย"ท่านแม่บอกว่าห้ามพูดกับคนแปลกหน้า ข้าไม่บอกท่านหรอกอย่ามาหลอกเด็กเลย"กล่าวจบพวกเขาก็วิ่งด้วยฝีเท้าที่เร็วยิ่ง องครักษ์ทั้งสองต่างมองหน้ากันเด็กสองคนนี้เป็นวรยุทธ์แต่ผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้สอนพวกเขาตามเด็กมาจนถึงหอนางโลมเด็กทั้งสองปีนกำแพงกลับเข้าไปดังเดิมมีบางสิ่งบางอย่างหล่นออกมาจากสาบเสื้อ ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ทันระวัง องครักษ์ผู้หนึ่งก้มลงเก็บของกำลังจะอ้าปากบอกพวกเขาแต่สิ่งที่อยู่ในมือช่างคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งคนทั้งคู่ต่างตกตะลึงแล้วพวกเขาตามเด็กเข้าไปในหอนางโลม ขอพบแม่นางเหมยเซียงเป็นการด่วนและถามเรื่องเกี่ยวกับเด็กอย่างตรงไปตรงมาแม่นางเหมยเซียงคิดว่าคนพวกนี้ไม่กลับไปง่าย ๆ แน่ จนกว่าจะได้คำตอบจึงเอ่ยว่า"นายท่านองครักษ์อย่าได้คิดมากไปเจ้าค่ะ แม่ของเด็
หลายเดือนต่อมาคนของอ้ายเจิงเร่งรุดไปแจ้งว่าหนานอิงคลอดบุตรแล้วแต่เมื่ออ้ายเจิงเร่งออกมาพบนางเขากลับพบเพียงความว่างเปล่าอยู่ที่คฤหาสน์ที่เขาจัดเตรียมไว้ หนานอิงหายไปอย่างไร้ร่องรอยทิ้งเพียงจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ข้ากับลูกที่ผ่านมาขอบคุณท่านมาก ต่อไปพวกเราขอใช้ชีวิตตามลำพังเถิด อ้ายเจิงปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง เขาจะทำเช่นไรดีเล่าครานี้ ทำเมียกับลูกผู้อื่นหายเช่นนี้ครานี้แม้แต่หัวคงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ที่ผ่านมาหนานอิงเองก็เชื่อฟังมาตลอดมิใช่หรือ แต่เหตุใดครานี้จึงหายไปโดยไม่บอกกล่าวกันเช่นนี้กระทั่งหลานเป็นชายหรือหญิงเขาเองก็ยังไม่รู้ สตรีผู้นี้ทำให้อ้ายเจิงปวดหัวแล้วอ้ายเจิงออกติดตามหาหนานอิงแทบจะพลิกแผ่นดิน แต่กลับไม่พบแม้คนของเขาจะมีอยู่มากมายแต่เขาลืมไปว่ามือสังหารของเขาล้วนเป็นสตรีหนานอิงได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากลู่หนิงหวังให้เป็นหัวหน้ามือสังหาร แน่นอนว่าคนพวกนั้นย่อมรับคำนั่งนางและไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนของนางให้ผู้ใดรู้อ้ายเจิงจึงต้องคลำทางประดุจคนตาบอด ค้นหาตัวนางด้วยตนเอง ลู่หนิงหวังมีโทสะแล้ว เขาสั่งให้คนวาดภาพเหมือนหนานอิงประกาศหาตัวไปทั่วแคว้น หากผู้ใดจับได้จะมีรางวัลเพราะส
หนานอิงเดินเหม่อลอยมาเรื่อย ๆ นางมิได้ใช้มีดสั้นที่ลู่หนิงหวังและหานเซียวแล้วจึงเก็บเอาไว้ในหีบอย่างดี แต่นางยังพกหยกติดกายอยู่ตลอดเวลาหนานอิงรู้สึกหิวเล็กน้อยพบร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงหน้าจึงเดินเข้าไปสั่งก๋วยเตี๋ยวมาชามหนึ่ง กินอย่างซึมกะทือไร้ชีวิตจิตใจกินไปได้เพียงสองสามคำกลับรู้สึกอยากอาเจียนเป็นอย่างยิ่งหนานอิงจ่ายเงินวิ่งไปอาเจียนที่ข้างกำแพง ศีรษะมึนเล็กน้อยนางนั่งลงรอจนกระทั่งตนเองรู้สึกดีขึ้นจึงคิดว่าตนเองคงเครียดไปจึงเกิดอาการประหลาดหลายวันต่อมาอาการของหนานอิงกลับไม่หายไป แต่นางอดทนและฝืนตนเองเอาไว้นางพบลู่หนิงหวังในยามที่เขามาฝึกซ้อมยิงธนู หนานอิงกลายเป็นองครักษ์ของเขาเต็มตัวจึงต้องคอยอยู่ข้างเขาตั้งแต่เข้าวังมาลู่หนิงหวังเห็นใบหน้าของนางซีดเซียวแรงของลูกศรที่ปักลงตรงเป้าดูเบากว่าเดิมจึงเอ่ยเสียงเย็น"มีตำแหน่งเป็นถึงองครักษ์ของฮ่องเต้แต่กลับปล่อยให้ตนเองไม่สบาย มีโทษโบยสามสิบไม้"อ้ายเจิงถอนหายใจ เขาเอ่ยเบา ๆ "ฝ่าบาทอย่าทรงแกล้งนางเลย"ลู่หนิงหวังเพียงเอ่ยว่า"เห็นวาจาของฮ่องเต้เป็นคำล้อเล่นหรือ ชิชะท่านเสนาบดีผู้นี้คิดจะแข็งข้อกับข้าหรือ"อ้ายเจิงมิได้กลัวเขาอยู่แล้ว
บทที่ 140 ตอนพิเศษ เหตุการณ์หลังความตายของหานเซียวพิธีศพของหานเซียวถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและยังถูกปิดบังมิให้ผู้ใดรู้กระทั่งฝ่าบาทเองด้วยบัดนี้ภายในวังยุ่งเหยิงเป็นอันมาก ลู่หนิงหวังหลังจากจัดการกับกบฏองค์รัชทายาทถูกขับออกไปยังชายแดนทั้ง ๆ ที่ร่างกายพิการแขนขาดตาบอดบัดนี้เหตุการณ์สงบสุข ลู่หนิงหวังเองได้กวาดล้างคนขององค์รัชทายาทจนไม่มีผู้ใดกล้าก่อความไม่สงบเพียงแต่ครานี้หาได้ฆ่าคนดั่งเช่นที่เคยเกิดขึ้นอย่างเช่นในรัชสมัยก่อน ขุนนางให้ปลดจากตำแหน่งส่งไปชายแดนอันกันดารเพื่อใช้แรงงานรวมทั้งเด็กชายอายุสิบสองขวบขึ้นไปสตรีและเด็กต่ำกว่าสิบสองขวบให้ไปเป็นชาวนาปลูกข้าวให้ราชสำนักห้ามมิให้ทายาทถัดไปอีกสิบรุ่นรับราชการหรือประกอบอาชีพอื่น แม้จะถูกคัดค้านว่าอาจทำให้คนพวกนี้หาทางกลับมาแก้แค้นลู่หนิงหวังกลับหาได้สนใจ"ไม่ว่าจะฆ่ามากเท่าใดคนคนพวกนี้คิดการใหญ่อย่างไรก็ต้องหาทางกลับมาล้างแค้น เขาสังหารคนมามากในสงครามย่อมรู้ดีว่าการฆ่ามิใช่ทางออกสำหรับผู้บริสุทธิ์"คนสกุลหนานที่ยังหลงเหลือบัดนี้มาคุกเข่าที่หน้าจวนขอร้องให้หนานอิงช่วยชีวิตพวกเขา บ่าวไพร่ที่เคยดีต่อหนานอิงอาฉีจัดการตามสัญญาปล่อยพวก