ภายในหอนางโลมบัดนี้เพื่อรักษาหนานอิงท่านหมอจำเป็นต้องฝังเข็มให้นาง ผู้ช่วยของท่านหมอจับให้หนานอิงนอนหันหลัง หญิงสาวไม่ได้เมื่อถูกผู้ช่วยทำแผลตรงศีรษะที่แตกให้ โชคดีที่บนศีรษะเป็นแผลเพียงเล็กน้อยไม่นับว่าหนักหนามาก
ท่านหมอเริ่มลงมือฝังเข็มเปิดชีพจรที่ติดขัดรวมทั้งขับเลือดลมให้เดินไปทั้งร่าง กระตุ้นการทำงานของหัวใจของนางให้กลับมาเดินเป็นปกติ
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามแผ่นหลังของหนานอิงเลยไปจนถึงก้นและขาต่างเต็มไปด้วยเข็มทองนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นท่านหมอสั่งให้คนรีบไปต้มยารออีกราวหนึ่งก้านธูปท่านหมอก็เริ่มดึงเข็มออกจากร่างของนาง
หลังการรักษาอย่างสุดความสามารถดูเหมือนว่าอาการตัวร้อนของหนานอิงจะค่อย ๆ ลดลงแล้ว ยาที่ถูกเคี่ยวจนได้ที่ถูกยกมาให้นาง
หนานอิงถูกจับกรอกยาไปหม้อใหญ่เนื่องจากนางไม่ได้สติกว่าจะจับให้นางกินได้ตามปริมาณที่ต้องการทั้งคนป้อนและคนต้มยาต่างเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามกัน
"ท่านหมอเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ"
แม่เล้าสั่งให้คนเช็ดตัวให้หนานอิงเมื่อหลังจากฝังเข็มแล้วเหงื่อของนางออกมามากจนเปียกชื้นแล้วเปลี่ยนอาภรณ์อีกครั้ง ท่านหมอยังมีสีหน้าลำบากใจ
"ชีพจรดีขึ้น นางตอบสนองต่อการฝังเข็มได้ดีหากพ้นคืนนี้ไปได้ก็คงจะเห็นหนทางรอดแล้ว"
แม่เล้าที่เพิ่งปาดเหงื่อออกจนหมด พลันเหงื่อไหลออกมาอีก เอาล่ะสิคืนนี้นางคงเปิดหอรับแขกอย่างไม่สบายใจเป็นแน่ เหตุใดจึงยังต้องรอให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปด้วย
"ข้ายังมีคนไข้ต้องไปดูหากนางอาการแย่ลงกว่านี้ให้คนไปตามข้าที่สกุลกู้ก็แล้วกัน"
"เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ"
เมื่อท่านหมอกลับไปแล้วแม่เล้าผู้นี้ถึงกับหมดแรงที่จะยืน ไม่รู้ว่าสตรีนางนี้เป็นตัวนำโชคหรือตัวซวยกันแน่เมื่อคนของนางวิ่งเข้ามารายงานด้วยหน้าตาตื่นตระหนก
"นายหญิงคนของท่านแม่ทัพมาขอพบนางแล้วขอรับ ทำเช่นไรดีพวกเขามากันหลายคนท่าทางน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งถืออาวุธมาครบมือเลยขอรับ"
สติของแม่เล้าแทบกระเจิง ไม่กี่ชั่วยามก่อนพวกเขาโยนนางในกระสอบลงบนพื้นดูท่าทางไม่ไยดี แต่บัดนี้กลับยกโขยงจะมารับคืนแล้วหรือ มากันว่องไวเพียงนี้หรือคิดจะโยนความผิดให้นาง
แล้วหากพวกเขาพบว่านางกำลังปางตายอยู่ที่นี่จะไม่ใส่ความนางต่อท่านแม่ทัพหรอกหรือว่าเป็นหอนางโลมที่ทำให้สตรีผู้นั้นเป็นเช่นนี้
"ข้า..จะเป็นลมแล้วใครก็ได้ช่วยประคองข้าที"
แม่เล้าตัวสั่นด้วยความกลัวจนจับจิต นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งหากนางผู้นั้นตายจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้หรือ?
"ใต้เท้าข้าน้อยนามเหมยเซียงเป็นผู้ดูแลหอนางโลมแห่งนี้เจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงสะบัดพัดในมือแล้วโบกเล็กน้อย เขามองสตรีผู้แต่งหน้าจัดและสวมอาภรณ์สีฉูดฉาดผู้นี้ด้วยสายตาของกุนซือผู้ปราดเปรื่อง
ไว้ใจได้หรือไม่
เพียงสายตาเย็นเยียบนั้นก็ทำให้หญิงชราตัวสั่นแล้ว นางคุกเข่าลงไม่กล้ากระทั่งจะยืนให้เสมอเขา
เห็นท่าทางของนางเช่นนั้นอ้ายเจิงจึงปรับสีหน้าให้อ่อนลง เขาจะขู่คนชราผู้หนึ่งด้วยเหตุใดกัน
"ข้าน้อยรักษานางอย่างเต็มที่ แต่หากนางไม่รอดได้โปรดอย่าใส่ความข้าน้อยเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยไม่รู้เรื่องจริง ๆ ข้าน้อยไม่รู้เรื่อง"
ด้วยความหวาดกลัวทำให้น้ำตาของนางผู้นี้พรั่งพรูออกมา คิดว่าหากสตรีผู้นั้นไม่รอดตนต้องมีความผิดแล้ว
อ้ายเจิงตีพัดเข้ากับฝ่ามือเบา ๆ ท่าทางคล้ายบัณฑิตเจ้าสำราญผู้หนึ่งแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดข้าต้องใส่ความเจ้าด้วย"
"หามิได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเพียงแต่จะอธิบายว่าข้าน้อยรักษานางอย่างเต็มที่แล้ว หากท่านใต้เท้าไม่เชื่อข้าน้อยจะพาไปดูนางเจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงเข้าใจแล้ว
"อ้อ นางไม่สบายหรอกหรือ ป่วยมากหรือไม่?"
อ้ายเจิงหันไปถามทหารแต่หาได้มีผู้ใดรู้เรื่อง นางเหมยเซียงเงยหน้าเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยว่า
"นางมาถึงที่นี่เลือดท่วมกายตัวร้อนราวกับไฟและลมหายใจรวยรินแล้วเจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงขมวดคิ้ว เหตุใดเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า เพียงเขาไม่อยู่ชั่วข้ามคืนสองพี่น้องนั่นทำร้ายสตรีสาหัสเช่นนั้นได้อย่างไร เรื่องนี้เขาต้องสอบถามให้กระจ่าง
และคนที่ต้องถามนอกจากคนสองคนที่ร่วมมือกันนั่นก็คงจะไม่มีผู้ใดอีก
"เอาล่ะ เจ้าพาข้าไปดูนางเสียหน่อย ว่าแต่ว่านางผู้นั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรและเป็นนางโลมลำดับชั้นเท่าไหร่ในหอนางโลมแห่งนี้"
อ้ายเจิงลุกขึ้นในขณะที่นางเหมยเซียงเองก็ถูกบ่าวรับใช้ของนางให้พยุงให้ลุกตามเช่นกัน นางเหมยเซียงได้ยินดังนั้นพลันสงสัยยิ่ง
"ข้าน้อยยังไม่ได้ซักถามชื่อแซ่ของนางเจ้าค่ะ ตั้งแต่มาถึงนางก็ยังไม่ฟื้นอีกทั้งนางหาใช่คนของหอนางโลมแห่งนี้"
"ไม่ใช่หรือ?"
อ้ายเจิงคิ้วตีกันยุ่ง
"ไม่ใช่แล้วเจ้ารับนางไว้ด้วยเหตุใดกัน"
ตายแล้ว นางเหมยเซียงตัวสั่นอีก หรือพวกเขาส่งสตรีผู้นั้นมาผิดที่ ส่วนนางก็เห็นแก่เงินจึงรับไว้ เช่นนี้พวกเขาจะไม่คิดว่านางสวมรอยหรือ
เมื่อเห็นว่านางเหมยเซียงอึกอัก อ้ายเจิงจึงเอ่ยเสียงเบา
"เจ้าไม่ต้องกลัวบอกความจริงมาเถิด ข้ารับรองได้เจ้าไม่มีความผิดอันใดที่ช่วยคน"
นางเหมยเซียงถอนหายใจอย่างโล่งอก ใต้เท้าผู้นี้เห็นทีจะไม่กลั่นแกล้งผู้น้อยจริง ๆ ท่าทางก็น่าเชื่อถือพึ่งพิงได้
"ข้าน้อยมิได้กล่าวเท็จเจ้าค่ะ ใต้เท้าทหารผู้นั้นนำนางมาพร้อมกับทองสองถุงใหญ่ ข้าน้อยจึงเข้าใจว่าท่านแม่ทัพต้องการให้หอนางโลมของข้าสั่งสอนนางให้ดีเพื่อปรนนิบัติท่านแม่ทัพ ทั้งหมดนี้เป็นข้าน้อยที่เข้าใจผิดเองเจ้าค่ะ"
เอาล่ะสิ อ้ายเจิงเข้าใจอย่างกระจ่าง แท้จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิดกัน
ทหารบอกเขาว่านางถูกพวกโจรจับตัวมา อยู่รวมกันกับเหล่านางโลมที่โดนจับไปด้วยพวกเขาอาจจะเข้าใจผิด หากนางไม่ใช่นางโลมแต่เป็นลูกสาวบ้านใด หากเป็นเช่นนี้ก็มิใช่เรื่องเล็กเสียแล้วหากนางกลายเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ในห้องหอผู้หนึ่ง อย่างไรสองอ๋องก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับนาง
"เจ้ารีบนำทางข้าไป ข้าต้องการพบนางผู้นั้น"
"เจ้าค่ะ"
แม้นางเหมยเซียงจะแก่ชราแล้ว แต่รูปร่างของนางยังอรชรอ้อนแอ้นเดินเหินคล่องแคล่วนัก ห้องที่ให้สตรีแปลกหน้าผู้นั้นพักนางก็เลือกสรรอย่างดีด้วยจำนวนทองก้อนโตทำให้นางไม่อาจละเลยได้
"เป็นนางเจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงนั่งลงข้างกายของนาง พิจารณาใบหน้าของหนานอิงอย่างละเอียด
สตรีผู้นี้มีรอยเขียวช้ำเต็มไปทั้งลำคอ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้แน่ชัดว่าเกิดจากสิ่งใด ใบหน้างดงามหมดจด ผิวที่โผล่ออกมาจากอาภรณ์ขาวนุ่มนวลราวเต้าหู้ ใบหน้าเรียวเล็ก ขนตางอนยาว เขาคาดว่าในยามที่ดวงตาคู่นี้ลืมขึ้นมาคงจะหวานหยดย้อยมิใช่น้อย
เขาจ้องนางเขม็งพร้อมกับจับชีพจรให้นาง เมื่อไม่รู้สึกถึงแรงหายใจกระเพื่อมขึ้นลงของคนที่ยังมีชีวิต ลำแขนของนางบอบบางยิ่ง นางเหมยเซียงอธิบายอาการของนางอย่างละเอียด
สกุลของอ้ายเจิงล้วนเก่งกาจด้านวิชาแพทย์ ท่านพ่อยังเป็นหมอหลวงประจำพระวรกายฝ่าบาทในขณะที่มารดาก็ดำรงตำแหน่งหมอใหญ่ของตำหนักใน
"ชีพจรเต้นอ่อนยิ่ง แม่นางนับว่าเจ้ายังมีวาสนาหากไม่มีเรื่องใดดลใจให้ข้ามาที่นี่เห็นทีว่าเจ้าต้องตายเป็นแน่"
"ท่านช่วยนำน้ำอุ่นมาให้ข้าสักกาได้หรือไม่"
"เจ้าค่ะ"
นางเหมยเซียงสั่งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใต้เท้าผู้นี้หล่อเหลาและดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง จากอาภรณ์ผ้าไหมอย่างดีที่เห็นเฉพาะในวังแล้วทำให้นางค่อนข้างหวาดหวั่นกับตำแหน่งที่แท้จริงของเขา
ตอนพิเศษ ลูกของข้า ความทรงจำของลู่หนิงหวังที่มีเกี่ยวกับบิดาของตนเองนั้นช่างเลือนลางจนจำไม่ได้ เขาไม่เคยรับรู้และเข้าใจความหมายของคำ ๆ นี้ จนกระทั่งเมื่อเขาได้พบเด็กชายสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงเขากับหานเซียวเป็นอย่างยิ่งเขาไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้เป็นบุตรของผู้ใดระหว่างเขาและหานเซียว ในยามนั้นเมื่อได้พบและคิดว่าใช่ใจของเขากลับหวาดหวั่นอย่างรุนแรง ว่าได้พบหนานอิงนั้นทำให้เขาหวาดกลัวแล้วการได้พบบุตรชายกลับทำให้ลู่หนิงหวังหวาดกลัวมากยิ่งกว่าลู่หนิงหวังรู้สึกสับสนเขากลัวว่าจะเป็นพ่อที่ไม่ดีพอให้เด็กรักใคร่และไม่รู้ต้องทำตัวเช่นไร เมื่อในยามนั้นหานเซียวส่งเด็กสองคนนี้มาสู่อ้อมแขนของเขา“หากอยากประลอง ก็ประลองกับองค์รักษ์ของข้า”ชั่วขณะนั้นที่หานเซียวชี้มาที่ตัวเขา ความรู้สึกหวาดหวั่นนั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งเด็กน้อยทั้งสองเดินอย่างองอาจมาหาเขาโดยไร้ความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงกระทั่งมือเล็ก ๆ สองข้างกำลังจับจูงมือของเขาคนละข้าง ในยามนั้นพลันเกิดเหงื่อชื้นขึ้นที่ฝ่ามือ ความรู้สึกไหลเวียนไปจนทั่วร่าง แต่ที่แปลกประหลาดคือความรู้สึกสับสนนั้นกลับหายไปในที่สุดมือของเขาสั่นเทาอยู่
ตอนพิเศษ อยากมีอีกเยอะ ๆในตอนที่หนานอิงกำลังชงชาโดยมีอาโจวคอยช่วยเหลืออยู่นั้นขันทีก็รีบเดินกึ่งวิ่งเข้ามารายงาน“ทูลหนานเฟย ฝ่าบาททรงว่าราชการเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงยิ้มแล้วกล่าวว่า“ดียิ่ง ว่าแต่ว่าเหตุใดเจ้าจึงดูร้อนรนยิ่งนัก”“ทูลพระหนานเฟย ท่านอาจารย์ให้กระหม่อมมาทูลว่ามีคนถวายฎีการ้องเรียนเกี่ยวกับองค์ชายทั้งสองที่ทรงแกล้งบุตรชายของท่านราชครูขอรับ แต่ฝ่าบาทเอาแต่เข้าข้างองค์ชายจึงอยากให้หนานเฟยช่วยทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงหุบยิ้มโดยทันใด บุตรชายของนางทั้งสองบัดนี้กลายเป็นองค์ชายใหญ่ลู่หานและองค์ชายรองลู่โหยวที่มีพระอาจารย์อ้ายเจิงเป็นคนลงมือสั่งสอนกับมือ เหตุใดจึงได้ไปกลั่นแกล้งบุตรชายของท่านราชครูซึ่งเป็นสหายเรียนด้วยกันได้อันที่จริงก็พี่น้องกันทั้งนั้น ด้วยบุตรชายของท่านราชครูก็คือหลานของนางเอง ด้วยภายหลังมานี้พี่สาวฝาแฝดของหนานอิงนั้นด้วยความรักตัวกลัวตายหลังจากสกุลหนานล่มสลาย นางทั้งสองก็รีบดีดตัวออกจากสกุลหนานโดยไม่คิดข้องเกี่ยวอีกกระทั่งการที่ฮูหยินใหญ่มารดาของพวกนางถูกหนานอิงจัดการพี่สาวทั้งสองก็ยังได้แต่เอ่ยคำว่าอมิตาพุทธไม่คิดแค้นก่อกรรมทำเข็ญต่อไป
ตอนพิเศษ ยามเมื่อฟื้นคืนทุกอย่างเปลี่ยนผัน ดอกเหมยในลานกว้างเบ่งบานและร่วงหล่นตกกระทบร่างสูงของบุรุษกลุ่มหนึ่งที่เดินฝ่าความมืดมิดโดยมีเพียงแสงโคมนำทางเล็ก ๆ คอยส่องกระทบพื้นบุรุษผู้หนึ่งอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำปักลายมังกร ใบหน้าคมคายหล่อเหลานัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้า แม้ว่าใบหน้านั้นคล้ายจะอมทุกข์และให้ความรู้สึกสูงส่งและเย็นเยียบ อีกทั้งให้กลิ่นอายของความเหี้ยมโหดเอาเสียดื้อ ๆบุรุษผู้นั้นสูดลมหายใจเข้าลึกสูดดมความหอมของกลิ่นบุปผาเข้าปอด นานแล้วที่เขาไม่เคยได้ทำเช่นนี้ คล้ายกลับว่าความหวังอันลางเลือนของเขาพลันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง“ฝ่าบาทระวังพ่ะย่ะค่ะ”อดีตพ่อบ้านจวนอ๋องบัดนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกงกงคนสนิทของเขา แม้จะไม่ได้ผ่านพิธีการตอนดั่งเช่นกงกงผู้อื่นแต่เมื่อเขาต้องการก็มิกล้ามีผู้ใดปริปากลู่หนิงหวังก้าวเท้าเร็วกระทั่งไปถึงหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง เมื่อผลักประตูเข้าไปด้านในก็พบอ้ายเจิงและหมอหลวงหัตถ์เทวดาอ้ายเสิ่นบิดาของเขารออยู่ด้านในคนทั้งสองทำความเคารพเขา ลู่หนิงหวังยกมือขึ้นห้าม“ไม่ต้องมากพิธี ข้ากับพวกท่านข้าขอเถิด”ถึงเขาจะเป็นฮ่องเต้ของคนในใต้หล้า ลู่หนิงหวังก็ขอสักที่ท
หนานอิงพยักหน้า จุมพิตปลายคางของหานเซียวอย่างมีความสุขที่ผ่านมาล้วนเป็นนางที่เลี้ยงดูเด็กทั้งสองเพียงลำพัง การคิดตัดสินใจก็ล้วนเป็นนางที่ชี้นำ ในยามนี้การมีหานเซียวเคียงข้างทำให้หัวใจของหนานอิงอบอุ่นยิ่งกว่าจะออกจากห้องก็ฟ้ามืดแล้ว เด็กสองคนบัดนี้วิ่งเข้ามาหานางเหงื่อของพวกเขาโทรมกาย เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น ฝ่ามือห้อเลือดเล็กน้อยทั้งยังวิ่งเข้ามาร้องไห้โฮกอดขานางพลางฟ้องเสียงสั่น“ท่านแม่ท่านลุงผู้นั้นฝึกวรยุทธ์ให้ข้า ยังให้ข้านั่งท่าม้าอะไรก็ไม่รู้อยู่หลายชั่วยาม เขายังถือไม้จะตีข้าด้วย ป้ายของท่านพ่อเขาก็เอาไปบอกข้าและน้องชายอ่อนแอ ไม่คู่ควรที่จะห้อยมัน”คนผู้นั้นทำหน้าเย็นชา เอ่ยคำหนึ่ง“เป็นบุรุษเรื่องนี้เล็กน้อยยิ่ง ยังร้องไห้งอแงราวเด็กทารก เป็นเช่นนี้จะปกป้องผู้ใดได้”หนานอิงได้ยินเช่นนั้นตกใจยิ่ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันควัน"นายน้อยองครักษ์ของท่านผู้นี้ เหตุใดทำให้ลูกชายข้าเจ็บตัวเช่นนี้ การประลองกับเด็กท่านควรออมมือให้มากมิใช่ทำให้พวกเขาบาดเจ็บ ข้าไม่ยอมท่านต้องจัดการเขาให้ข้าด้วย"“อิงอิงเจ้าใจเย็น ๆ ก่อน เขาคงไม่ได้ตั้งใจ”หานเซียวทำท่าประหลาด ทั้งยังมองคนของตนด้วยสายต
หนานอิงน้ำตาไหลพราก เมื่อเห็นว่ามารดาร้องไห้เด็กทั้งสองรีบวิ่งเข้ามากอดหนานอิงกอดลูกร้องไห้ นานหลายปีแล้วตั้งแต่บุตรชายฝาแฝดเกิดมาที่นางไม่เคยหลั่งน้ำตาอีก"ท่านแม่ท่านร้องไห้ทำไม ท่านลุงหนวดยาวผู้นี้ทำร้ายท่านหรือ ข้าจะตีเขาให้อย่าร้องนะขอรับ"หนานอิงปาดน้ำตา หานเซียวชี้ที่ตัวเอง"ข้ามิได้รังแกแม่ของเจ้า ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น"หนานอิงยิ้มให้เด็กชายทั้งสอง ก่อนจะส่งเด็กน้อยให้แม่นางเหมยเซียง"ข้าไม่ไป ข้าจะสั่งสอนลุงหนวดยาวผู้นี้ที่กล้ารังแกท่าน"หานเซียวอยากจะหยิกแก้มเด็กน้อย อยากจะโอบกอดพวกเขาแต่สองคนนี้ถือตัวและเหย่อยิ่งเป็นอย่างยิ่ง"อย่ามาแตะข้า คนแปลกหน้ามาประลองกัน"หนานอิงเอ่ยเสียงดุ"ไปอยู่กับท่านยาย แม่มีธุระจะสนทนากับคนผู้นี้"ได้ยินเสียงดุของหนานอิงเด็กทั้งสองถึงกับคอตก"ขอรับ"รับคำพร้อมกันแล้วหันหลังเดินไปหาแม่นางเหมยเซียง หานเซียวจึงเอ่ยขึ้น"หากเจ้าอยากประลอง นั่นคือองครักษ์ของข้าเจ้าประลองกับเขาได้ หากชนะจะให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้""จริงหรือขอรับ"เด็กสองคนหันมาแล้วเอ่ยพร้อมกันหานเซียวพยักหน้า องครักษ์ผู้นั้นจึงถูกเด็กถือตัวทั้งสองยอมแตะต้องตัวเขาแล้วลากจูงไปข้างนอกเพื่
หานเซียวและองค์รักษ์ของเขาแอบตามเด็กน้อยอย่างเงียบเชียบ เห็นเด็กสองคนนี้ถูกแยกออกมาจากเด็กผู้อื่นและมีอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาคอยสอนให้เป็นพิเศษก็เกิดสงสัยเป็นอย่างยิ่งเป็นถึงหลานของแม่นางเหมยเซียง เหตุใดจึงไม่ให้มาเรียนที่สำนักศึกษาทั้งที่มีเงินทองมากมายปานนั้น เขารอจนกระทั่งเด็กทั้งสองออกมาแล้วจึงแสร้งไปตีสนิทเพื่อพูดคุยด้วย"ท่านแม่บอกว่าห้ามพูดกับคนแปลกหน้า ข้าไม่บอกท่านหรอกอย่ามาหลอกเด็กเลย"กล่าวจบพวกเขาก็วิ่งด้วยฝีเท้าที่เร็วยิ่ง องครักษ์ทั้งสองต่างมองหน้ากันเด็กสองคนนี้เป็นวรยุทธ์แต่ผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้สอนพวกเขาตามเด็กมาจนถึงหอนางโลมเด็กทั้งสองปีนกำแพงกลับเข้าไปดังเดิมมีบางสิ่งบางอย่างหล่นออกมาจากสาบเสื้อ ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ทันระวัง องครักษ์ผู้หนึ่งก้มลงเก็บของกำลังจะอ้าปากบอกพวกเขาแต่สิ่งที่อยู่ในมือช่างคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งคนทั้งคู่ต่างตกตะลึงแล้วพวกเขาตามเด็กเข้าไปในหอนางโลม ขอพบแม่นางเหมยเซียงเป็นการด่วนและถามเรื่องเกี่ยวกับเด็กอย่างตรงไปตรงมาแม่นางเหมยเซียงคิดว่าคนพวกนี้ไม่กลับไปง่าย ๆ แน่ จนกว่าจะได้คำตอบจึงเอ่ยว่า"นายท่านองครักษ์อย่าได้คิดมากไปเจ้าค่ะ แม่ของเด็
หลายเดือนต่อมาคนของอ้ายเจิงเร่งรุดไปแจ้งว่าหนานอิงคลอดบุตรแล้วแต่เมื่ออ้ายเจิงเร่งออกมาพบนางเขากลับพบเพียงความว่างเปล่าอยู่ที่คฤหาสน์ที่เขาจัดเตรียมไว้ หนานอิงหายไปอย่างไร้ร่องรอยทิ้งเพียงจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ข้ากับลูกที่ผ่านมาขอบคุณท่านมาก ต่อไปพวกเราขอใช้ชีวิตตามลำพังเถิด อ้ายเจิงปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง เขาจะทำเช่นไรดีเล่าครานี้ ทำเมียกับลูกผู้อื่นหายเช่นนี้ครานี้แม้แต่หัวคงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ที่ผ่านมาหนานอิงเองก็เชื่อฟังมาตลอดมิใช่หรือ แต่เหตุใดครานี้จึงหายไปโดยไม่บอกกล่าวกันเช่นนี้กระทั่งหลานเป็นชายหรือหญิงเขาเองก็ยังไม่รู้ สตรีผู้นี้ทำให้อ้ายเจิงปวดหัวแล้วอ้ายเจิงออกติดตามหาหนานอิงแทบจะพลิกแผ่นดิน แต่กลับไม่พบแม้คนของเขาจะมีอยู่มากมายแต่เขาลืมไปว่ามือสังหารของเขาล้วนเป็นสตรีหนานอิงได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากลู่หนิงหวังให้เป็นหัวหน้ามือสังหาร แน่นอนว่าคนพวกนั้นย่อมรับคำนั่งนางและไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนของนางให้ผู้ใดรู้อ้ายเจิงจึงต้องคลำทางประดุจคนตาบอด ค้นหาตัวนางด้วยตนเอง ลู่หนิงหวังมีโทสะแล้ว เขาสั่งให้คนวาดภาพเหมือนหนานอิงประกาศหาตัวไปทั่วแคว้น หากผู้ใดจับได้จะมีรางวัลเพราะส
หนานอิงเดินเหม่อลอยมาเรื่อย ๆ นางมิได้ใช้มีดสั้นที่ลู่หนิงหวังและหานเซียวแล้วจึงเก็บเอาไว้ในหีบอย่างดี แต่นางยังพกหยกติดกายอยู่ตลอดเวลาหนานอิงรู้สึกหิวเล็กน้อยพบร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงหน้าจึงเดินเข้าไปสั่งก๋วยเตี๋ยวมาชามหนึ่ง กินอย่างซึมกะทือไร้ชีวิตจิตใจกินไปได้เพียงสองสามคำกลับรู้สึกอยากอาเจียนเป็นอย่างยิ่งหนานอิงจ่ายเงินวิ่งไปอาเจียนที่ข้างกำแพง ศีรษะมึนเล็กน้อยนางนั่งลงรอจนกระทั่งตนเองรู้สึกดีขึ้นจึงคิดว่าตนเองคงเครียดไปจึงเกิดอาการประหลาดหลายวันต่อมาอาการของหนานอิงกลับไม่หายไป แต่นางอดทนและฝืนตนเองเอาไว้นางพบลู่หนิงหวังในยามที่เขามาฝึกซ้อมยิงธนู หนานอิงกลายเป็นองครักษ์ของเขาเต็มตัวจึงต้องคอยอยู่ข้างเขาตั้งแต่เข้าวังมาลู่หนิงหวังเห็นใบหน้าของนางซีดเซียวแรงของลูกศรที่ปักลงตรงเป้าดูเบากว่าเดิมจึงเอ่ยเสียงเย็น"มีตำแหน่งเป็นถึงองครักษ์ของฮ่องเต้แต่กลับปล่อยให้ตนเองไม่สบาย มีโทษโบยสามสิบไม้"อ้ายเจิงถอนหายใจ เขาเอ่ยเบา ๆ "ฝ่าบาทอย่าทรงแกล้งนางเลย"ลู่หนิงหวังเพียงเอ่ยว่า"เห็นวาจาของฮ่องเต้เป็นคำล้อเล่นหรือ ชิชะท่านเสนาบดีผู้นี้คิดจะแข็งข้อกับข้าหรือ"อ้ายเจิงมิได้กลัวเขาอยู่แล้ว
บทที่ 140 ตอนพิเศษ เหตุการณ์หลังความตายของหานเซียวพิธีศพของหานเซียวถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและยังถูกปิดบังมิให้ผู้ใดรู้กระทั่งฝ่าบาทเองด้วยบัดนี้ภายในวังยุ่งเหยิงเป็นอันมาก ลู่หนิงหวังหลังจากจัดการกับกบฏองค์รัชทายาทถูกขับออกไปยังชายแดนทั้ง ๆ ที่ร่างกายพิการแขนขาดตาบอดบัดนี้เหตุการณ์สงบสุข ลู่หนิงหวังเองได้กวาดล้างคนขององค์รัชทายาทจนไม่มีผู้ใดกล้าก่อความไม่สงบเพียงแต่ครานี้หาได้ฆ่าคนดั่งเช่นที่เคยเกิดขึ้นอย่างเช่นในรัชสมัยก่อน ขุนนางให้ปลดจากตำแหน่งส่งไปชายแดนอันกันดารเพื่อใช้แรงงานรวมทั้งเด็กชายอายุสิบสองขวบขึ้นไปสตรีและเด็กต่ำกว่าสิบสองขวบให้ไปเป็นชาวนาปลูกข้าวให้ราชสำนักห้ามมิให้ทายาทถัดไปอีกสิบรุ่นรับราชการหรือประกอบอาชีพอื่น แม้จะถูกคัดค้านว่าอาจทำให้คนพวกนี้หาทางกลับมาแก้แค้นลู่หนิงหวังกลับหาได้สนใจ"ไม่ว่าจะฆ่ามากเท่าใดคนคนพวกนี้คิดการใหญ่อย่างไรก็ต้องหาทางกลับมาล้างแค้น เขาสังหารคนมามากในสงครามย่อมรู้ดีว่าการฆ่ามิใช่ทางออกสำหรับผู้บริสุทธิ์"คนสกุลหนานที่ยังหลงเหลือบัดนี้มาคุกเข่าที่หน้าจวนขอร้องให้หนานอิงช่วยชีวิตพวกเขา บ่าวไพร่ที่เคยดีต่อหนานอิงอาฉีจัดการตามสัญญาปล่อยพวก